วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

The Hills Alien Abduction เมื่อถูกมนุษย์ต่างดาวลักพา

ทุก วันนี้เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวยังคงเป็นเรื่องลึกลับและยากต่อการพิสูจน์ นั้นมีมากมายเหลือจะกล่าว โดยเฉพาะเรื่องการคนที่ถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาว(Abductees) ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่อง โกหก ที่มาจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ฝัน หรืออาการหลอนประสาท บุคคลเหล่านี้มักเล่าเรื่องตนถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวโดยใช้วิธีการสะกดจิตย้อนหลัง(regressive hypnosis) ซึ่งวิธีนี้นักวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับมากนักเพราะว่าเป็นอาการของจิตสร้างขึ้น เสียมากกว่าและอาจคาดเคลื่อนโดยการชักจูงของนักสะกดจิต
บุคคล เหล่านี้มักเล่าเรื่องตนถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวโดยนี้ส่วนมากมักเป็นบุคคล ที่อยู่ในรูปความทรงจำไม่ปะติดปะต่อ มีอาการฝันร้ายและเครียดโดยพวกเขามักเข้าไปพบจิตแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่เกิด ขึ้น โดยบางครั้งสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กุมขมับเป็นอย่างมากกว่าเรื่องที่พวกเขา เล่า คือหลักฐานทางวัตถุที่ปรากฏในพวกเขาเหล่านั้น เช่น มีวัตถุประหลาดบางอย่างอยู่ในตัวของผู้ถูกลักพา หรือมีสัญลักษณ์ประหลาดปรากฏในตัว
ในอดีตจนถึงปัจจุบันมีผู้อ้างว่าเคยถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวหลายราย แต่มีน้อยมากที่เป็นกรณีน่าศึกษา เช่นคู่สามีภรรยาคู่นี้...



สองสามีภรรยาตระกูลฮิลส์ (
The Hills Alien Abduction)

เหตุการณ์ที่ทำให้หลายคนเชื่อกันว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงนั้น ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน ค.ศ.1961 ในรัฐนิวแฮวเชียร์ สหรัฐอเมริกา ในเวลานั้นคนผิวสีแต่กับคนผิวขาวสังคมจะมองด้วยสายตาแปลๆ เช่นเดียวกับครอบครัวฮอลส์ ที่สามีชื่อ บาร์นีย์ ฮิลส์(Barny Hills) วัย 39 ปี พนักงานไปรษณีย์ และนางเบ็ตตี้ ฮิลล์(Betty Hilly) ผู้เชี่ยวชาญประจำกรมคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ที่กำลังอยู่ระหว่างพักผ่อนตากอากาศรำลึกความหลังเก่าๆ ที่แคนาดา โดยวันนั้นเป็นวันที่ 19 กันยายน 1961 เวลาประมาณ 4 ทุ่ม ในขณะที่บาร์นีย์ขับรถกลับบ้าน บาร์นีย์ก็สังเกตว่ามีดวงดาวหนึ่งเคลื่อนไหวแปลกๆ เขาจึงหันมาบอกภรรยาให้สังเกตสิ่งที่เขาเห็น จนกระทั้งบาร์นีย์ขับรถจนมาถึงเมืองนอร์ธ วู้ดสต็อค เขาก็ยังเห็นดวงดาวที่เคบื่อนที่ผิดปกติอยู่ เมื่อมาถึงเมืองอินเดียน เฮดจึงตัดสินใจหยุดรถและออกมาดูอีกครั้งให้แน่ใจ โดยใช้กล่องส่องทางไกลส่องดวงดาวนั้น เขาก็พบว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่ดาวหากแต่เป็นยานประหลาดลำหนึ่งที่ลอย ได้ และยานดังกล่าวได้ลอยท่ห่บาร์นีย์อย่างช้าๆ ด้วยความกลัวบาร์นีย์จึงรีบขึ้นรถและขับหนีออกไป พอมาดูอีกทีก็พบว่ายานดังกล่าวหายไปแล้ว แต่ในขณะที่เขาขับรถไปสักพัก เขาก็ได้ยินเสียงแหลมปี้ปๆแม้ว่าเขาจะรู้สึกขับมาแค่ 2 นาที แต่เมื่อเหลือบไปมองหลักกิโลก็พบว่าเขามาไกลประมาณ 35 ไมล์แล้ว

เบ็ต ตี้และบาร์นีย์ขับรถกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ หลักจากพบยานบินแล้ว ทั้งคู่ก็หลับด้วยความเหนื่อยอ่อนทันที และวันรุ่งขึ้นเบ็ตตี้ก็ตื่นนอน และโทรศัพท์ไปหาน้องสาวของเธอเล่าเรื่องที่พบยานบินให้ฟัง และน้องสาวของเธอได้แนะนำให้ไปที่ฐานทัพอากาสพีท(Pease Air Forve Base) เพื่อเล่าเหตุการณ์นี้ให้เจ้าหน้าที่ฟัง ซึ่งทางนั้นก็ได้บอกให้พวกเธอว่า “มรเวลานั้น เรดาร์ของพวกเขาก็ตรวจพบยานบิน UFO เช่นกัน)

จาก นั้นเรื่องเหล่านี้ก็ปรากฏในสื่อแขนงต่างๆ และแพร่หลายในเวลาต่อมา สองสามีภรรยาถูกนักข่าวจำนวนมากสอบถามประเด็นการสูญเสียความทรงจำในช่วงเวลา ดังกล่าว แต่ว่าสองสามีภรรยานั้นจำเรื่องเกิดขึ้นไม่ได้เลย ทั้งสองจึงไปพบจิตแทย์และนักประสาทวิทยาผู้เชี่ยวชาณ ดร.เบนจามิน ไซมอน(Dr. Benjamin Simon)ทิ่ เมืองบอสตัน รัฐเมสซาซูเซทท์ โดยได้ใช้วิธีสะกดจิตแบบย้อนหลังเพื่อปลดล็อกความทีรงจำที่สูญหายไปสอง ชั่วโมงดีงกล่าว ภายหลังการรักษาสองสามีภรรยานานกว่า 2 เดือน หมอก็ออกมาแสดงความเห็นว่า สองสามีภรรยาถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาและถูกมนุษย์ต่างดาวนำตัวพวกขึ้นขึ้นยาน บิน ทำการทดลองทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ต่างๆ ก่อนที่จะถูกมนุษย์ต่างดาวปล่อยตัวไป โดยสะกดจิตห้ามเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ระหว่าง ที่บำบัดด้วยการสะกดจิตนั้นสองสามีภรรยาได้บรรยายเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่ จับพวกเขาไปว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่หัวล้านเลี่ยนสูงประมาณ 5 ฟุต มีผิวสีเทา หัวลักษณะคล้ายลูกแพรและตาวาวเหมือนแมว” และรายละเอียดต่อมา มนุษย์ต่างดาวดังกล่าวก็กลายเป็นตัวมาตรฐานที่คนทั่วไปที่อ้างว่าเคยพบเห็น ในชื่อว่า Grays นอก จากนี้ยังไม่มีการทดลองทั่วร่างกายและจิตใจของสองสามีภรรยาดังงกล่าว เพื่อหาข้อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ โดยผลตรวนเนื้อเยื่อ ผิวหนัง ผม และเล็บมีการนำไปพิสูจน์ แต่ผลการทดสอบนั้นไม่เปิดเผย ทำให้ผลสรุปแล้วกรณีครอบครัวฮอลล์ยังคงเป็นกรณีศึกษาและถกเถียงจนถึง ปัจจุบัน

ที่มา : http://writer.dek-d.com/cammy/writer/viewlongc.php?id=486572&chapter=216

ร่องรอยปริศนาบนท้องทุ่ง

 
ผู้ไปชมกำลังเพ่งดูสัญลักษณ์ที่เกิดในปี  1994  ทุ่งเกษตรของประสาทโอลิเวอร์  เมืองวิลท์เชอร์  อังกฤษ
     เรื่องราวแห่งการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวหรือยานจากอวกาศ (ยูโฟ-UFO) นั้น นับวันแต่จะเพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการได้พบเห็นจานบินในที่โน่นที่นี่แล้ว ก็ยังปรากฏมีหลักฐานที่พวกเขาทิ้งไว้ในรูปลักษณ์ต่างๆ ตั้งแต่โบราณกาล ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นหมู่แท่งหินประหลาดขนาดยักษ์ เช่น สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ หรืออาคารสูงใหญ่เช่น "หอดูดาว" ที่เมืองกีเชนอิทชา ของมายาหรือภาพปริศนาตามถ้ำต่างๆ ทั่วโลก
    และบัดนี้พวกเขาได้ก้าวเข้ามาใกล้พวกเราอีกขั้นหนึ่งแล้วครับ โดยมาทำเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ (SIGN) ขนาดมหึมาบนพื้นโลก ซึ่งสามารถมองลงมาจากฟากฟ้าได้เห็นเด่นชัด สัญลักษณ์เหล่านี้มีรูปแบบต่างๆ กันและปรากฏขึ้นบ่อยครั้งในปัจจุบัน จะเป็นได้ไหมครับว่า พวกเขาซึ่งลงมายึดหัวหาดบนพื้นโลกแล้ว ได้ส่งสัญญาณสื่อสารไปยังพวกพ้องเพื่อเตรียมปฏิบัติการบางอย่างในอนาคตเร็วๆ นี้
    อย่ากระนั้นเลย เราเร่งมาทำความรู้จักและศึกษาสัญลักษณ์เหล่านี้ เพื่อจะได้ป้องกันตัวไว้ล่วงหน้าได้บ้าง ดีไหมครับ

วงกลมแห่งทุ่งเกษตร
    สัญลักษณ์ (SIGN) นี้ รู้จักกันดีในชื่อ วงกลมแห่งทุ่งเกษตร (CROP CIRCLES) ลักษณะโดยทั่วไปจะเป็นรูปเรขาคณิตขนาดใหญ่บนทุ่งธัญพืช โดยต้นหญ้าหรือข้าวโพดจะเอนล้มราบกับพื้นเป็นวงกลมที่มีขอบคมเนียนมาก แต่ลำต้นของมันไม่ได้หักเสียหายแต่อย่างใด สามารถเติบโตต่อไปจนถึงเวลาเก็บเกี่ยวมันมีตั้งแต่วงกลมเดียวไปจนถึงหลายๆ วง และมีเส้นสายประสานกันเป็นรูปลักษณ์พิสดารซับซ้อนเหมือนดั่งได้รับการออกเบบมาอย่างดี
รูปทรงเรขาคณิตบนท้องทุ่ง  ชีสฟูต  เฮด, แฮมพ์เชอร์  ในปี  1993   ป่านนี้นักวิเคราะห์ก็ยังแปลความหมายกันอยู่
    แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา? และมันมีความหมายอันใดแฝงอยู่หรือไม่?

คำบันทึกในคัมภีร์โบราณ
   ความจริงแล้วมีบันทึกเรื่องของสัญลักษณ์ประหลาดนี้มาตั้งแต่โบราณกาล เช่นมีระบุในม้วนคัมภีร์แห่งเด๊ดซี่ (ZDEA SEA SCROLL) และในจารึกประวัติศาสตร์ยุโรป สมัยกลางหลายเล่ม ส่วนในปัจจุบันนั้นถ้าหากนับ เฉพาะแค่ 20 ปีมานี้ ได้มีรายงานถึงการพบวงกลมแห่งทุ่งเกษตรในประเทศต่างๆ ทั่วโลกถึงกว่า 10,000 แห่ง แต่ที่พบมากและมีลักษณะน่าทึ่งที่สุดก็ได้แก่ที่ มณฑลเวสเส็กซ์ (WES-SEX) ทางตอนใต้ของอังกฤษครับผม
รูปทรงพระจันทร์เสี้ยวที่อีสต์มีออน แฮมเชอร์  เมื่อกรกฎาคม  1995
    วงกลมที่ทุ่งเกษตรเวสเส็กซ์นั้น มีทั้งขนาดที่ใหญ่กว่าสนามฟุตบอลและมีลวดลายสลับซับซ้อนเหลือเชื่อกับขนาดเล็กซึ่งออกแบบอย่างง่ายๆ แม้จะถูกเรียกว่า "วงกลม" แต่มีหลายรูปที่มีลักษณะออกทางยาว บางรูปคล้ายแมลงหรือสัตว์บางชนิด หลายรูปเป็นการผสมผสานกันระหว่างวงกลม เส้นตรงและรูปทรงเรขาคณิตต่างๆ
รูปแบบปฏิทินมายา  หรือ "อสรพิษนิทรา"  ที่อาเวบิวรีย์  ปี  1994

ขนาดที่ใหญ่โต
    แต่ที่มหัศจรรย์ยิ่งก็คือ แม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่โตมโหฬารและรูปทรงซับซ้อน หากทว่ามันมาปรากฏขึ้นให้เห็นเป็นรูปสมบูรณ์ในเวลาชั่วข้ามคืน เรียกว่าพอชาวไร่ตื่นขึ้นมาตอนเเช้าก็ได้เห็นมันปรากฏต่อหน้าราวกับเทวดา (หรือ UFO) เสกสรรขึ้นมาฉะนั้น (ก็เมื่อเย็นวานยังเป็นไร่ข้าวโพดอยู่เลยนี่นา) หรืออย่างเช่นสัญลักษณ์ที่ปรากฏในเช้าตรู่หนึ่งของเดือนกรกฎาคม 1995 ที่ทุ่งลิทช์ฟิลด์ เมืองวิลท์เชอร์ (ดูภาพประกอบ) ทั้งๆ ที่อยู่ริมถนน ซึ่งมีรถราวิ่งนับพันคัน แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นตอนกำลังสร้างหรอกครับ
สัญลักษณ์ที่ลิทช์ฟิลด์,  วิลท์เชอร์  ริมถนนหลวง  ในเดือนกรกฎาคม  1995
     จะว่าเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ (แกล้งทำขึ้นมาเพื่อแหกตามนุษย์ด้วยกัน) ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ใครเลยจะสามารถ "เสก" มันขึ้นมาโดยใช้เวลาอันสั้นขนาดนี้และไม่ได้ทิ้งร่องรอยเลอะเทอะแห่งการปฏิบัติการไว้ให้เห็นด้วย

แหกตาหรือปล่าว
     แต่ก็มีครับ ชาวไร่บางคนแอบอ้างว่าเขาเป็นคนสร้างวงกลมประหลาดเหล่านี้ขึ้นโดยการไช้ไม้กระดานตรึงกับหมุดตรงกลางแล้วหมุน "กวาด" ต้นหญ้าเอนราบเป็นวง หากทว่านักวิชาการที่ไปสำรวจวงกลมปริศนาไม่เชื่อ เพราะลักษณะต้นข้าวที่ล้มเอนนั้นไม่ได้เกิดจากการกวาด หากแต่เอนชี้ออกไปนอกวงคล้ายกับถูกพลังงานลึกลับ "หมุนเหวี่ยง" ออกไปมากกว่า

ปลายต้นข้าวจะชี้ออกไปนอกวงเหมือนแรงหมุน
    และนอกจากนั้น เมื่อเก็บเอาธัญพืชบนสัญลักษณ์เหล่านี้ไปวิเคราะห์ก็ได้พบข้อมูลสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า วงกลมแห่งทุ่งเกษตรนั้นมิได้เกิดขึ้นจากวิธีการ "ธรรมดา"

ความผิดปรกติของเมล็ดธัญญพืช
    โดย ดร.ดับเบิลยู เลเวนกู๊ด แห่งสถาบันแมสซาชูเสตต์ รายงานว่า มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในเซลล์ของเมล็ดข้าว เซลล์ที่ควบคุมการเติบโตจะยาวและบวมขึ้นกว่าปกติ ซึ่งเมื่อนำเอาเมล็ดข้าวเหล่านี้ไปเพาะปลูกอัตราการเติบโตของต้นข้าวจะสูงกว่าต้นอื่นๆ และบางต้นยังมีลักษณะพิเศษแปลกปลอมออกไปอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าพลังงานที่เหวี่ยงหมุนต้นข้าวให้แบนราบแบะเป็นรูปสัญลักษณ์นั้นไม่ได้ยับยั้งการเติบโตของมัน อีกไม่กี่วันต่อมา มันก็กลับตั้งลำต้นขึ้นตรงและงอกงามไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว
ลำต้นข้าวที่โค้งดั่งถูกความร้อนฉับพลัน  ทำให้เซลล์ขยายใหญ่และยาวขึ้น
     ดร.ไมเคิล คอรอสท์ แห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ค ก็เป็นนักวิชาการอีกผู้หนึ่งซึ่งรายงานว่า ได้ตรวจสอบพบกัมมันตรังสีขนาดเจือจางบนพื้นดินในวงกลมสัญลักษณ์ นอกจากนี้ห้องแล็บของรัฐก็ยังพบว่า ปริมาณไนโตรเจนบนพื้นดินต่ำกว่าปกติ รวมทั้งพวกตัวหนอนและไส้เดือนตลอดจนปริมาณความชื้นก็หดหายไปด้วย ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า พลังงานที่นำมาใช้นั้น น่าจะเป็นพลังงานนิวเคลียร์ (จากยานอวกาศ?)
ผู้มาเยือนจากนอกโลก
     ครั้นเมื่อสำรวจข้อมูลจากพยานผู้พบเห็นต่างให้การว่า ในตอนเช้าตรู่ขณะที่เดินออกไปในท้องทุ่ง พวกเขาได้เห็นแสงเรืองรองและได้ยินเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็ยยานชนิดใด ในบริเวณที่เกิดวงกลมขึ้นในตอนสายๆ ของวันนั้น มีบางรายที่แจ้งว่าขณะกำลังร่อนเครื่องบินส่วนตัวอยู่เหนือบริเวณสัญลักษณ์ จู่ๆ ระบบไฟฟ้าของเครื่องบินก็ดับวูบไปโดยไม่รู้สาเหตุ
ปี  1994   รูปลักษณ์  จะคล้ายคลึงแมลง
เป็นผลจากพลังงานนิวเคลียร์
    ลูซี พริงเกิล แห่งศูนย์ศึกษาวงกลมแห่งทุ่งเกษตร (Center of Crop Circle studies) ของอังกฤษ ได้สำรวจด้านสุขภาพอนามัยของประชากรผู้สัมผัสกับวงกลมเหล่านี้จำนวนกว่า 500 ราย พบว่าพวกเขาได้เกิดความผิดปกติต่างๆ กัน บางรายมีอาการเจ็บป่วยฉับพลัน แต่บางรายก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บหลายคนมีอาการมึนงง และอารมณ์ปรวนแปรไป อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากรังสีพลังงานนิวเคลียร์ได้หรือไม่
สัญญลักษณ์ประหลาดที่ยาวถึง  43  เมตร  บนท้องทุ่งเวอร์แนม ดีน ,  วิลท์เชอร์  ในเดือน สิงหาคม  1997
     ในขณะที่พลังงานที่ใช้สร้างวงกลมไม่ได้ส่งผลกระทบถึงชีวิตสัตว์จำพวกแมลงหาก ทว่าบรรดาสัตว์ในบริเวณท้องทุ่งจะพากันหลีกเหลี่ยงวงกลมสัญลักษณ์ เช่น ฝูงนกจะบินแยกอ้อมวงกลม แล้วไปบรรจบรวมฝูงกันใหม่เมื่อพ้นจากวงกลมไปแล้ว
ปี 1995   ถัดมาจะออกไปในรูปแบบกลุ่มดวงดาวในอวกาศ
    ชาวไร่เจ้าของท้องทุ่ง ซึ่งวงกลมสัญลักษณ์อุบัติขึ้น แม้ว่าจะมีผลพลอยได้จากการเก็บค่าเข้าชมจากผู้คนที่แห่กันไปดู แต่เขาก็ ไม่สู้เป็นสุขเท่าใดนัก เพราะสัญลักษณ์ หรือ SIGN เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่ส่งไปถึง "สิ่ง" ซึ่งอยู่อีกดวงดาวหนึ่งในจักรวาลอันไกลโพ้น และไม่รู้ว่าเมื่อใดสัญลักษณ์นี้จะ "บอก" ไปยังพวกของเขาให้….  บุกโลกมนุษย์ได้แล้ว
ที่มา : ไทยรัฐ ซันเดย์  สเปเชียล  
http://www.rmutphysics.com 

In the Origin of Human

origin_banner.gif




illo_sheepclone.gif


เขียนโดย Sonic


เอาล่ะครับ ในที่สุดก็เริ่มกันเสียทีกับซีรี่ส์มหายาว ที่ผมตั้งใจจะทำมานานแสนนานแล้ว เนื่องจากว่ามัน "ย-า-ว" เอา มากๆ ดังนั้นอาจต้องใช้เวลาหน่อยกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งระหว่างนั้นอาจมีเรื่องราวเล็กๆมาแทรกบ้างเป็นการสลับฉาก หวังว่าแฟนเก่าคงไม่ว่าอะไร อ้อ... การอัพเดทอาจจะทิ้งระยะสักนิด เพราะช่วงนี้ผมกำลังจะสอบเรียนต่อครับ MIT ในเมืองไทยนี่แหละ ก็คงต้องอ่านตำราบ้างสักหน่อย เวลาที่มีให้ Mysterious World ก็อาจจะน้อยลงบ้าง แต่นายโซนิคสัญญาครับ ว่าจะพยายามหาเวลานำเอาเรื่องดีๆมาเล่าสู่กันฟังเหมือนเคยอย่างแน่นอน ก็คอเดียวกันนี่น๊า จะทิ้งกันไปไหนได้

มีผู้สนใจบางท่านเคยให้คำแนะนำกับนายโซนิคว่า เรื่องที่ผมเขียนนั้น ออกมาค่อนข้างหลายหลายแนว แต่ที่น่าสนใจที่สุด(แฮะๆ ตรงกับความคิดผมเลย)ก็คือเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศ บังเอิญว่าพระเจ้าของนายโซนิคเนี่ยรู้สึกจะมาจากหลายแหล่งหลายดวงเหลือเกิน แถมอารยธรรมที่พวกเขาสร้างนั้นก็กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วโลก บางอารยธรรมเช่นอียิปต์กับสุเมเรียนนั้น น่าจะมารวมกันนับเป็นแหล่งเดียวได้อยู่ แต่บางอารยธรรมนั้นก็แตกต่างกันจนสุดกู่ ทำให้เชื่อถือได้ลำบากว่ามาจากต้นตอหรือพระเจ้ากลุ่มเดียวกัน


ครั้นผมจะอ้อมแอ้มว่า มาจากดาวคนละดวงหรือคนละขอบจักรวาลมัน ก็ออกจะกำปั้นทุบดินไปหน่อย ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นเป็นไปได้ค่อนข้างสูง หลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันก็บ่งชี้ไปอย่างนั้น ผมนั่งคิดนอนคิดอยู่นานพอสมควรว่าจะเก็บสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ มาร้อยให้เป็นเรื่องเดียวกันได้ยังไง ซึ่งก็พอดีมีเพื่อนเค้าส่ง document ซึ่งเอามาจากเว็บไซต์ของฝรั่งมาให้ เจ้าเอกสารดังกล่าวมีแนวคิดที่น่าสนใจมากครับ แถมตรงกับสิ่งที่ผมกำลังจะทำเสียด้วยสิ อย่ากระนั้นเลย ลอกเค้าโครงของเขามาแล้วใส่รายละเอียดของเราลงไปดีกว่า ว่าแต่เราจะเริ่มกันตรงไหนดีล่ะ?



:: First Step ก่อนเข้าเรื่องของเรา::

" คนเราเลือกเกิดไม่ได้", "ชีวิตที่เลือกไม่ได้", "มันคือพรหมลิขิต คือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า" คำพูดพวกนี้ดูจะไม่มีปัญหาเสียแล้วสำหรับปัจจุบัน ในยุคที่วงการวิทยาศาสตร์สามารถทำให้มนุษย์สามารถ เลือกที่เกิดได้ สามารถทำให้มนุษย์ได้เลือกเป็นอย่างสิ่งที่เขาอยากเป็น มีรูปร่างอย่างที่อยากมี มีสติปัญญาที่เฉียบแหลมตามต้องการ ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด ที่สะเทือนทั้งโลกทั้งวงการวิทยาศาสตร์(และอาจจะรวมไปถึงสวรรค์...ถ้าสวรรค์ มีจริง) มนุษย์ได้อำนาจหลายๆที่จะครองโลกมาจากวิทยาศาสตร์ แต่ทว่า ไม่เคยมียุคไหนเลยที่มนุษย์จะมีอำนาจที่ทรงพลานุภาพและยิ่งใหญ่ขนาดนี้อยู่ ในมือ มันเป็นอำนาจที่สงวนไว้ในมือของพระเจ้าโดยเฉพาะ อำนาจที่จะจัดการแล้วก็ลิขิตชีวิต หลายๆคนกำลังวิตกว่า เราเดินไปถูกทางหรือไม่ในขณะนี้ และอะไรจะเกิดขึ้นหากราแตะต้องอำนาจที่ไม่ควรแตะ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวซ้ำสองหลังจากเรื่องแรกสุดอุบัติมาเมื่อกว่าห้าสิบ ปีที่แล้ว เรื่องของความลับแห่งพลังของอะตอม

ผมกำลังพูดถึงเทคโนโลยีทางชีววิทยาด้านพันธุวิศวกรรม การตัดต่อและตบแต่งดัดแปลง DNA หลายๆคนคงคุ้นเคยกับคำนี้แบบสั้นๆว่า Clone (ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพันธุวิศกรรมก็ตาม) ความรู้แขนงนี้จะมีประโยชน์หรือโทษกับมนุษย์อย่างไรบ้างผมคงไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากหลายวงการได้พูดกันอย่างกว้างขวางและถกเถียงชี้แจงกันไปหลายตลบ แล้ว ถ้าสนใจน่าจะหาหนังสือหรือบทความอ่านได้ไม่ยาก ผมจะไม่ชี้ลงไปล่ะนะครับว่าถูกหรือผิด เพราะบรรทัดฐานในการวัดความถูก-ผิดของเรื่องนี้ มันขึ้นอยู่กับจุดยืนของมนุษย์ว่าจะยืนมองมันจากมุมไหน ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับผมและเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเราโดยตรงก็คือ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง กำลังจะเจริญรอยตามภาพยนต์เรื่อง Jurassic Park นั่นคือ Clone มนุษย์โบราณขึ้นมา เพื่อเสาะหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของมนุษย์ โครงการนี้กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งก็คงได้คำตอบออกมาให้พวหเราได้ในไม่ช้า เพียงแต่ว่าปัญหาที่มีก็คือ แม้ในวงการโบราณคดีก็ ยังยุ่งเหยิงกับเรื่องราวของกำเนิดมนุษย์อยู่ ในขณะที่กลุ่มหนึ่งกำลังศึกษาโฮโมเซเปี้ยนรุ่นแรกซึ่งอายุไม่แสนปี อีกกลุ่มก็ไปขุดพบซากมนุษย์โบราณที่ดูเหมือนจะพัฒนาไปมากกว่ากลุ่มแรกแต่ อายุดันย้อนหลังไปมากกว่าสามล้านปี

มันหมายความว่ายังไงกันครับ? เกิดอะไรขึ้นกับการวิวัฒน์ของมนุษย์กันแน่ มิหนำซ้ำจากเทคโนโลยีนี้ เราก็ได้พบความกับปริศนาที่ ดำมืดเข้าไปใหญ่ นั่นก็คือกำเนิดของมนุษย์น่าจะมีที่ไปที่มาจากเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมที่เรา ใช้อยู่ในปัจจุบันเสียด้วย มีใครบางคนเล่นตลกกับข้อมูลใน DNA ของบรรพบุรุษเราเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เรื่องนั้นเราจะค่อยๆพูดถึงกันทีหลังนะครับ ขอสรุปพัฒนาการด้านพันธุวิศวกรรมศาสตร์แบบย่อๆให้ท่านฟังกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่านายโซนิคเอาแต่พล่าม หาสาระไม่ได้ :-)



dolly_a01.jpg


A Brief History of Assisted Reproduction and Nuclear Transfer

# 1790: มนุษย์เริ่มเข้าใจกลไกลโดยสมบูรณ์ของการสืบพันธุ์
# 1866: มีการนำแนวคิดของธนาคารอสุจิออกมาใช้
# 1940: ทดลองเพาะไข่ของเพศหญิงในห้องปฏิบัติการ
# 1952: Robert Briggs และ T. J. King แห่ง Institute for Cancer Research ทดลองโคลนเนื้อเยื่อของมนุษย์ซึ่งประสบผลสำเร็จในเบื้องต้น แต่เนื้อเยื่อนั้นมีอายุได้ไม่นาน
# 1953-60's: ประสบความสำเร็จในการศึกษา พัฒนา และรักษาเชื้ออสุจิจากเพศผู้
# 1962: ประสบความสำเร็จเบื้องต้นในการโคลนเซล โดยอาสัยเซลจากกบตัวผู้ แต่เหมือนเคยคือเนื้อเยื่อที่โคลนออกมามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก
# 1978: เริ่มมีการทดลองการเพาะเนื้อเยื่อ การเร่งอัตราเติบโตของเนื้อเยื่อ แต่คราวนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
# 1981: มีรายงานของการประสบความสำเร็จในการโคลนหนูทดลองจากเอมบริโอของหนู
# 1986: Steen Willadsen แห่ง the Institute of Animal Physiology ในอังกฤษ ทำการทดลองโคลนแกะ และสัตว์ชนิดอื่นเช่น วัว แพะ ในเวลาต่อมา
# 1997: เวลาที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ เดือน ก.พ. เจ้าแกะดอลลี่ สัตว์โคลนนิ่งตัวแรกที่โคลนขึ้นมาจากเซลที่ไม่ใช่เอมบริโอได้ถือกำเนิดขึ้น ความสำเร็จนี้มีเบื้องหลังของการลองผิดลองถูกและความล้มเหลวอยู่มากมาย และความสำเร็จนี้พึงได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องเพื่อสรรเสริญความพยายาม ของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้
# 1997: The Oregon Regional Primate Center ประสบความสำเร็จในการโคลนลิงฝาแฝดสองตัวขึ้นมาจากตัวอ่อนเพียงตัวเดียว นี่คือความสำเร็จครั้งแรกในการพยายามโคลนสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ขั้นตัวอ่อน
# 1997: ตุลคาคม - British scientists สร้างตัวอ่อนของกบที่ไม่มีหัวได้สำเร็จ และทำให้หัวของมันงอกออกในเวลาต่อมา.. เทคนิคนี้อาจนำไปสู่การสร้างโคลนของมนุษย์ไร้หัว ที่สามารถงอกหัวออกมาใหม่เหมือนกับหางจิ้งจกอันเป็นคุณสมบัติพิเศษที่มีใน สัตว์เลื้อยคลาน เหตุการณ์ชักจะเหมือนปาฏิหารย์ขึ้นทุกทีๆ
#ฯลฯ


ครับจะเห็นแล้วว่าอำนาจของวิทยาศาสตร์นี่ไม่ใช่ธรรมดาๆเลย จากข้างล่างนี้ เรื่องของซุนหงอคงที่สามารถดึงขนมีร่างแปลงถึง 72 ร่าง และบรรดาสัตว์ประหลาดในตำนานทั้งหลายแหล่ที่ถูกเนรมิตรขึ้นโดยเทพเจ้า ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอีกแล้ว เพราะในปัจจุบัน มนุษย์เรา-(ผู้พยายามจะทำตัวเป็น)พระเจ้ารุ่นใหม่ ก็ทำอะไรๆได้ไม่แพ้พระเจ้าในตำนานเหมือนกัน


1998: กรกฎาคม - นักวิจัยจาก the University of Hawaii ประกาศผลสำเร็จของการโคลนหนูทดลองออกมากว่า 50 ตัว ที่สำคัญก็คือมีหนูทดลองต้นฉบับเพียงหนึ่งตัวที่เอาเซลของมันมาโคลนเป็นหนู รุ่นที่สอง และจากเซลของโคลนรุ่นที่สองพวกเขาก็สามารถโคลนหนูรุ่นที่สามออกมาได้ อะไรมันจะปานนั้นครับ? และแน่นอนว่า โคลนทุกตัวเหมือนต้นฉบับทุกประการที่เหลือก็การศึกษานิสัยและพฤติกรรมล่ะ ครับ ว่าจะเหมือนตัวต้นฉบับไหม

อย่างที่เราทราบกันว่า เรื่องของโคลนนิ่งถูกคัดค้านอย่างรุนแรงในหลายๆวงการ เพราะชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับสัตวทดลองนั้นไม่มีใครรับรองได้ว่ามันจะออกดี หรือสวยงามอย่างที่หวัง นั่นคือกับสัตว์..แต่ถ้าเป็นคนล่ะครับ? คนที่มีชีวิตจิตใจที่เกิดขึ้นมาจากการโคลนนิ่ง จะยังมีอะรมารับประกันชะตากรรมของเขาหรือไม่ ถ้าการทดลองผิดพลาดจะเกิดอะไรขึ้น? ทำลายทิ้งเหมือนสัตว์ในห้องทดลองยังงั้นรึ? หรือว่ากวาดล้างแบบที่พระเจ้ากระทำกับมนุษย์ - มนุษย์ที่ไร้คุณสมบัติที่พระองค์ต้องการโดยการบันดาลให้น้ำท่วมโลก แล้วก็คัดเอาเฉพาะตัวอย่างที่ดีๆ(เช่น โนอาห์)เก็บเอาไว้


dolly3.jpg


1999: Dr. Richard Seed ได้ประกาศว่า ขณะนี้ห้องแล็บของเขา (และเชื่อว่าอีกหลายๆที่ในโลก) มีความพร้อมที่จะดำเนินการโครงการโคลนนิ่งมนุษย์แล้ว ซึ่งในช่วงนั้นสหรัฐได้ออกกฏหมายเกี่ยวกับการโคลนนิ่งขึ้นมาเช่นกัน ถึงกระนั้นองค์กรเอกชนก็ได้ประกาศตูมเรื่องการโคลนนิ่งเชิงธุรกิจออกมามาก มาย นี่ยังไม่นับรวมไปถึงหน่วยงานของรัฐบาลแต่ละประเทศซึ่งกำลังเร่งดำเนินการ ทดลองอยู่อย่างลับๆอีกด้วย

Evolution of Grandchild of ADAM and EVE


สองชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีในฐานะบรรพบุรุษของมนุษย์ตามที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ปัญหาถกเถียงกันมานานว่าเรื่องของการสร้างมนุษย์ในบทเยเนซิสนั้นเป็นเรื่อง จริงหรือแค่ความเชื่อทางศาสนามีมานานแล้ว นักวิทยาศาสสตร์บางกลุ่มหลีกเลี่ยงการตอบปัญหานี้เนื่องมาจากมันกระทบความ รู้สึกของมหาชนเกินไป ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มผู้ไม่สนใจอะไรนอกจากข้อเท็จจริงทางวิทยา ศาสตร์ก็ได้เริ่มงานของพวกเขา นักวิทยาศาสตร์แห่ง University of Munich และ Pennsylvania State University ได้รายงานถึงการวิจัยของพวกเขาว่า จากการศึกษาข้อมูลที่ได้มาจากการสกัด DNA จากโครงกระดูกของมนุษย์นิแอนเดอร์ธัล ที่ขุดได้จากเขต Dusseldorf ในปี 1856 พบว่า มีความไม่เกี่ยวเนื่องกันหลายประการในข้อมูลที่อยู่ใน DNA ของมนุษย์โบราณและโมเดิร์นแมนเช่นพวกเรา และดูเหมือนว่าหากทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเป็นจริง มันก็มีห่วงโซ่ทางวิวัฒนาการที่หายไปอยู่อีกหลายเปลาะกว่าที่คิดกันไว้ใน อดีต เพราะจากข้อมูลที่ออกมา เราและมนุษย์โบราณเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าเป็นญาติห่างๆกันเท่า นั้น ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสามารถวิวัฒนาการตามธรรมชาติจนออกมาเป็นมนุษย์ยุคใหม่ อย่างพวกเราได้เลย หรือ(ขอเน้นคำนี้หน่อยเหอะ)ถ้ามี เราก็ยังไม่พบเจ้าห่วงโซ่ที่ว่านั้นแม้กระผีกริ้น ซึ่งคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์และนักมานุษยวิทยาล่ะครับ ว่าคำตอบที่เราต้องการทราบกันนั้นจะออกมาในรูปแบบใด


dna_infograph1.jpg


ความรู้เกี่ยวกับ DNA เข้ามาช่วยตรงนี้ได้มากครับ อย่าเพิ่งตกใจไป ผมจะไม่สาธยายทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ให้ยาวยืดหรอกน่า ปูพื้นแค่นิดนึง(ไม่รู้จะเป็นการสอนหนังสือสังฆราชไหม เพราะเรื่องพวกนี้ผมคิดว่าทุกท่านคงจะทราบกันดี หลายท่านอาจจะรู้มากกว่านายโซนิคด้วยซ้ำ)ว่า ในโครงสร้างของ DNA นั้น จะมีส่วนที่ใช้เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะสามารถถ่ายทอดต่อผ่านไปให้ลูกหลานได้ ซึ่งแน่นอนครับหากว่าเราสามารถแกะเอาข้อมูลที่เก็บไว้ออกมาอ่านหรือตีความ ได้ เราก็จะสามารถทราบเส้นทาง รายละเอียดของการวิวัฒนาการได้เช่นกัน และสามารถบอกได้ด้วยซ้ำว่าบรรพบุรุษคนแรกของสายพันธุ์ที่เราศึกษานั้นมี ชีวิตอยู่ในช่วงไหน สูงเท่าไหร่ ฟันผุกี่ซี่ อ้าว... ไม่ได้ล้อเล่นนะครับนี่เรื่องจริง นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ข้อมูลใน mitochondria ใน DNA ของเพศหญิงเพื่อตามรอยของบรรพบุรุษของเรา พวกเขาเรียกโค้ดเนมของบรรพบุรุษชายและหญิงว่า อาดัมกับอีฟ อย่างที่ปรากฏอยู่ในไบเบิล และได้พบว่า "อีฟ" น่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณหนึ่งแสนปีที่ผ่านมาแล้ว ในขณะที่อาดัมมาเกิดในช่วงหลังเล็กน้อยประมาณหมื่นถึงสองหมื่นปีหลังจากอีฟ อ้าว... นี่มนุษย์ผู้ชายไม่ได้เกิดก่อนอย่างที่ระบุไว้ในไบเบิลหรอกรึ?


มันก็ไม่แน่นัก อีฟอาจจะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายใน สายพันธุ์ที่เราศึกษาอยู่ที่เหลือรอดมาในขณะ นั้น หล่อนอาจมาพบกับอาดัม(ซึ่งเป็นเพศผู้ที่อยู่อีกสายพันธุ์หนึ่ง)และมีความ สัมพันธ์กันจนผสมผสานมีลูกมีหลานเป็นพวกเรา เพียงแต่ว่าอาดัมเป็นสายพันธุ์ที่อายุน้อยกว่าเท่านั้นเอง จากการศึกษาบอกรายละเอียดเรามากขึ้นว่า สายพันธุ์ของมนุษย์เพศชายมีอายุน้อยกว่าหญิงประมาณสองหมื่นเจ็ดพันปี และถือกำเนิดขึ้นในช่วงประมาณ 37,000 - 49,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว เอาล่ะครับถ้าเราจะเอาตรงนี้มาเป็นบรรทัดฐานในการสาวรอยบรรพบุรุษของเรา เราก็น่าจะได้เวลาอย่างคร่าวๆที่บรรพบุรุษเราถือกำเนิดขึ้นมาคือประมาณไม่ เกินห้าหมื่นปี นับว่าใกล้เคียงกับที่นักมานุษยวิทยาประมาณเอาไว้ มาดูกันนะครับว่าเค้าประมาณเอาไว้อย่างไร


missinglinkdebate.jpg


ภาพด้านซ้ายเป็นผังวิวัฒนาการของมนุษย์ครับนับช่วงเวลาเป็นล้านปี นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเมื่อประมาณ 3-4 ล้านปีมาแล้ว สัตว์คล้ายมนุษย์ หรือ โฮมินิด ที่ชื่อ ออสตรัลโลพิทธิคัสมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกา(เพราะเป็นร่องรอยที่เก่าที่สุด ที่ค้นพบ) จากฟอสซิลที่ศึกษาทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่าออสตรัลโลพิทธิคัสมีลักษณะคล้าย กับมนุษย์มากกว่าลิง จากการศึกษานี้ทำให้เกิดข้อถกเถียงตามมาว่าโฮมินิดเหล่านี้จะเป็นบรรพบุรุษ สายตรงของมนุษย์หรือไม่ (Hominid = คล้ายมนุษย์ ส่วนคล้ายลิงเราจะเรียกว่า Pongid) ดังนั้นนักวิทยศาสตร์บางท่านจึงได้แต่สันิษฐานว่า ออสตรัลโลพิทธิคัสอาจมีบรรพบุรุษร่วมกันในอดีตกับมนุษย์ กล่าวคือวิวัฒนาการมาจากสายทางเดียวกัน และเมื่อประมาณสองล้านปีก่อน ปรากฏว่ามีโฮมินิดพันธุ์ใหม่ค่อยๆแผ่ขยายตัวอย่างช้าๆ เรียกว่าพันธู์โฮโมอาบิลิสและวิวัฒนาการไปเป็นโฮมินิดอีกพันธุ์หนึ่งในช่วง ประมาณล้านถึงสองล้านปีก่อน เรียกว่าโฮโม อิเลคตัส ซึ่งเรื่องราวของมนุษย์ทั้งสองพันธุ์นี้ปัจจุบันก็ยังมีรายละเอียดที่ไม่ ชัดเจนนัก แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างโฮโมอิเล็คตัส กับสัตว์คล้ายมนุษย์ในยุคก่อนๆเช่น ออสตรัลโลพิทธิคัสกับ โฮโมอาบิลิส ได้แก่เรื่องของสมองและรูปร่าง ในช่วงเวลาไม่เกินสองล้านปีก่อน มีโฮมินิดพันธุ์หนึ่ง(ซึ่งอาจเป็นต้นตระกูลของมนุษย์โดยตรง) กลับมีสมองขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งโตกว่าสมองของออสตรัลโลพิทธิคัสถึง สองเท่าตัว รูปร่างก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สมองของโฮมินิดสายนี้โตขึ้นและรูปร่างเปลี่ยนไป ปัจจุบันยังเป็นเรื่องที่ขบไม่แตกในวงการวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราก็ได้แต่คำตอบที่อ้อมแอ้มของพวกเขาว่า องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สมองของโฮมินิดขยายตัวขึ้น ก็คงมาจากการกินเนื้อและระบบย่อยอาหารที่ดีขึ้น แต่กระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาม-า-ก-ก-กและย-า-ว-วนานมากครับ กว่าจะเป็นอย่างที่ว่า เพราะฉะนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมี"อะไร"หรือ"ใคร"ที่เข้ามาสอดแทรกตัวกลางขั้นตอนวิวัฒนาการของมนุษย์เรา


Homo Sapien - ประมาณ 250,000 ปีถึงปัจจุบัน โฮโมเซเปี้ยนหรือมนุษย์ฉลาดวิวัฒนาการมาจากโฮโม อิเล็คตัส ดังนั้นมนุษย์จึงเริ่มเกิดมาไม่นานเมื่อเทียบกับโฮมินิดสายอื่นๆ และมนุษย์ในแบบปัจจุบันจริงๆมีประวัติศาสตร์ความเป็นมา เริ่มต้นเมื่อประมาณห้าหมื่นกว่าปีมาแล้ว ซึ่งอยู่ในช่วงกลางๆยุคน้ำแข็งยุคสุดท้ายของโลกและเริ่มประวัติศาสตร์ของ มนุษย์ที่แท้จริงเป็นลำดับขั้นดังนี้

# 50,000 ก่อน ค.ศ. กำเนิดมนุษย์แบบปัจจุบัน
# 50,000-10,000 ก่อน ค.ศ. เป็นยุคสังคมอนารยะของมนุษย์(ป่าเถื่อน)
# 10,000 ก่อน ค.ศ. เริ่มต้นเกษตรกรรมและอารยธรรม
# 5,000 ก่อน ค.ศ. เริ่มใช้ตัวอักษรเขียนหนังสือและบันทึกเรื่องราว อันเป็นผลพวงความก้าวหน้าของอารยธรรมทางการเกษตร



นี่คือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่พวกเราร่ำเรียนกันมา ณ จุดนี้ผมขอให้ทุกท่านวางมันลงหรือปาทิ้งไปก่อนก็ได้ เพราะจากนี้ไปจะเป็นหลักฐานหรือเงื่อนงำประหลาดๆ ที่ส่อให้เห็นว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นมันผิดโดยสิ้นเชิง บอกกล่าวเอาไว้ก่อนว่า ผมจะลากเอามนุษย์ต่างดาวและพระเจ้าจากอวกาศเข้ามาเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด หลักฐานที่เอามาก็รับรองความน่าเชื่อถือได้โดยนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่นักลึกลับศาสตร์ที่ผมชอบเอามาอิงเหมือนที่ผ่านๆมา ดูกันไปทีละชิ้นไหมครับ ว่าหลักฐานเหล่านี้มันชวนให้สังคายนาประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติกันใหม่หรือ เปล่า


butt.gif
Skulls from Ica, Peru and Merida, Mexico


ภาพถ่ายที่ท่านจะได้เห็นต่อไปนี้ เป็นฝีมือของ Robert Connolly ผู้มีโปรเจ็คที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลกเพื่อหาหลักฐานของอารยธรรมโบราณ ผมยังไม่มีข้อมูลโดยละเดียดเกี่ยวกับกะโหลกที่จะนำมาให้ท่านชม แต่จากภาพเราน่าจะเห็นถึงความพิเศษของตัวอย่างที่นำมา จากลักษณะของกระโหลกเราสามารถบอกได้ทันที่ว่า เจ้าของกระโหลกเหล่านั้นจัดอยู่ในสายพันธุ์ Homo เช่นเดียวกับพวกเรา เพียงแต่รูปร่างของกระโหลกศีรษะเท่านั้นที่ดูแปลกออกไป กระโหลกที่มีความยาวและลักษณะเป็นโคนเช่นนี้ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าเป็น กระโหลกของมนุษย์สายพันธุ์ใด เนื่องจากเรายังไม่มีตัวอย่างที่มากกว่านี้ มีนักวิทยาศาสตร์บางเสนอไอเดียว่า กระโหลกนี้อาจจะเป็นของมนุษย์ที่ชาวอียิปต์โบราณยกย่องเป็นเทพเจ้า ลองมองดูลักษณะของกระโหลกแล้วนึกถึงภาพทรงผมหรือหมวกของชาวอียิปต์ที่มี ลักษณะยาวเป็นโคนดูสิครับ รับกับกระโหลกเหล่านี้เป๊ะๆ


ica-skull-a06.jpg

เป็นไงครับ เป็นไปได้ไหมว่าที่ผู้นำบางคนหรือเทพบางองค์ของอียิปต์โบราณมีหมวกและทรงผม เก๋ๆแบบนี้ เพราะพวกเขามีลักษณะของกระโหลกอย่างในรูป?

ica-skull-a05-vert.jpg


สำหรับภาพที่ท่านเห็นด้านบน เป็นภาพที่ได้จากแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีที่ Al Ubaid ในประเทศอิรัค มีอายุประมาณ 5900-4000 ปีก่อน ค.ศ. หรือเกือบแปดพันปีมาแล้ว นักโบราณคดียังไม่สามารถเชื่อมต่อสิ่งที่ค้นพบในแหล่งโบราณคดี Al Ubaid กับอารยธรรมส่วนอื่นของชาวสุเมเรียนได้ แต่คาดว่ารูปดังกล่าวน่าจะหมายถึงเทพเจ้าหรือกษัตริย์ของพวกเขา ซึ่งศิลปินผู้สร้างนั้นอาจจะจงใจทำออกมาให้เป็นรูปสัญลักษณ์ แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะดูลักษณะของหัวแล้วก็อะไรบางอย่างที่เหมือนหมวกแล้ว มันทำให้นึกถึงนักบินอวกาศยังไงก็ไม่รู้ ที่สำคัญก็คือลักษณะศีรษะของกษัตริย์หรือเทพเจ้าดังกล่าว ก็ทำให้เราอดเชื่อมโยงมันเข้ากับกระโหลกศีรษะที่พบในเปรูดังภาพด้านบนไม่ได้

น่าเสียดายที่กระโหลกดังกล่าวมีการขุดพบอยู่ไม่กี่ชิ้น มิฉะนั้นเราอาจได้เพิ่มสายพันธุ์ใหม่ของมนุษย์เข้าไปในสารบบมานุษยวิทยาก็ เป็นได้ มานึกอีกแง่หนึ่ง ถ้าสายพันธุ์ดังกล่าวเคยดำรงชีวิตเป็นสังคมอยู่บนโลกเราจริง เราก็น่าจะพบหลักฐานมากชิ้นกว่านี้ในบริเวณใกล้เคียง ถ้าไม่พบก็เป็นไปได้ว่าพวกเขามีกันอยู่เพียงไม่กี่คนและไม่ได้มีถิ่นฐานอยู่ บนโลกพระเคราะห์ใบนี้ หน้าต่อไปจะเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์ความรู้สึกสักนิด ย้ำกันอีกหนว่าอ่านเรื่องของนายโซนิคเนี่ยต้องใช้วิจารณญาณกันสักหน่อยนะ ครับ อย่าเชื่อโดยไม่ทันคิด(แต่หลักฐานของผมเชื่อได้นา ผ่านการพิจารณาแล้วว่าไม่ใช่เรื่องที่เมคขึ้นเสียทั้งหมด) หรือปฏิเสธทันที่ที่ได้ฟังเลยนะครับ...


sumer-butt.gif Footprints From The Dawn Of Man

หน้าที่ แล้วเราได้พูดถึงวิวัฒนาการโดยคร่าวๆของมนุษย์ ซึ่งหาอ่านจากตำราเล่มไหนส่วนใหญ่ก็จะคล้ายๆแบบนี้ เอาเป็นว่าถ้าเราเชื่อตามทฤษฎีเดิมว่ามนุษย์(หรือสิ่งมีชีวิตจำพวกมนุษย์) ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ 2- 3 ล้านปีก่อน ผมก็คงจะมีคำถามสักหนึ่งข้อสำหรับใครก็ได้ ที่จะช่วยเฉลยให้นายโซนิคหายข้องใจว่า...


:: มีใครบอกได้ไหม ว่านี่มันรอยเท้าของใครฟะ? ::

รู้จักไทรโลไบต์ไหมครับ? มันเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่อาศัยอยู่ในน้ำในยุคดึกดำบรรพ์นู้น ปัจจุบันไทรโลไบต์สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ทรากฟอสซิลให้ มนุษย์รุ่นหลังได้ศึกษา นักวิทยาศาสตร์บอกกับพวกเราว่าไทรโลไบต์ นับเป็นหนึ่งในจำนวนสิ่งมีชีวิตโบราณที่สุดกลุ่มหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่บนโลก มันเป็นบรรพบุรุษของสัตว์จำพวกปูและกุ้ง มีชีวิตอยู่ในช่วง 320 ล้านปีก่อนและสูญพันธุ์ไปจากโลกเมื่อราวๆ 280 ล้านปีมาแล้ว นานจนจินตนาการไม่ออกใช่ไหมล่ะครับ แน่นอนว่านานก่อนหน้าที่มนุษยชาติจะถือกำเนิดขึ้นมาโขนัก(3 ล้านปีก่อนหน้านี้)

William J. Meister มีงานอดิเรกคือสะสมฟอสซิลของไทรโลไบต์ซึ่งอยู่ในภูเขาบริเวณรัฐยูทาห์ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 1968 เขาบังเอิญได้พบรอยเท้ามนุษย์ซึ่งฝังอยู่ในดินบริเวณที่เขาขุด มันเป็นหินซึ่งมีรอยเท้ามนุษย์โบราณพิมพ์ติดอยู่ และเซอร์ไพรส์ครับท่าน... มีซากของไทรโลไบต์ติดอยู่ด้วย!! สถานที่ที่เขาพบรอยเท้ามนุษย์ดังกล่าวอยู่ที่ Antelope Springs ประมาณ 43 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเดลต้า มลรัฐยูทาห์

ด้วยความตื่นเต้นแบบสุดๆ เขาใช้ค้อนและเครื่องมือขุด กระเทาะหินออกมาอย่างระมัดระวัง แทบไม่น่าเชื่อเลย สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขาก็คือ รอยเท้าประทับเท้าข้างขวาของมนุษย์พร้อมด้วยตัวไทรโลไบต์ในหินก้อนเดียวกัน รอยประทับนี้คาดว่าเป็นรอยที่เจ้าของเท้าเหยียบลงไปในดินโคลน ซึ่งภูเขานี้เคยเป็นทะเลมาก่อน เวลาที่ผ่านไปก็ได้ทำให้ดินนี้แข็งเป็นหินและฝังรอยประทับเอาไว้ นี่มันอะไรกันครับคนที่ไหนถึงได้ไปมีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกับตัวไทรโลไบต์ 300 - ล้านปีก่อน... และที่มหัศจรรย์ไปยิ่งกว่านั้น อย่างที่ท่านสามารถเห็นได้ด้วยตาของท่านเองจากในภาพ เท้าข้างนั้นดันสวมรองเท้าเสียอีกแน่ะ

รอยเท้าดังกล่าวยาวประมาณ 10 นิ้ว เป็นเท้าขวาอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะรูปทรงของส่วนส้นเท้ามันชี้อยู่เห็นๆ แถมด้วยซากของตัวไทรโลไบต์ที่กับฝ่าเท้าอีก ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของรอยเท้าข้างนี้ เขาได้ทำกรรมขนานใหญ่คือเหยียบตัวไทรโลไบต์จนแบนแต๋ติดเท้า กลายเป็นหลักฐานรุ่นเก๋ากึ๊กให้คนรุ่นใหม่อย่างเราฉงนใจกันเล่นๆ



glenrose-foot-a02.jpg


จากนั้นเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 1968 Antelope Spring ได้ถูกนักธรณีวิทยานาม Dr. Clifford Burdick เข้ามาสำรวจบ้าง ด้วยเวลาไม่นานนัก ดร.คลิฟฟอร์ด ก็ได้พบรอยเท้าของเด็กประทับอยู่ในหินเช่นกัน ท่านด็อกกล่าวว่า มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากที่ได้พบรอยเท้าเช่นนี้ นี่เป็นรอยเท้าเด็กมีความยาวประมาณ 6 ฟุต ถือเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ทางโบราณคดีเลยทีเดียว
ครั้งสุดท้ายที่ค้นพบ หลักฐานสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ เดือน กันยายน 1968 Mr. Dean Bitter แห่ง Salt Lake City public schools system ได้พบรอยประทับเท้าแบบเดียวกันอีกสองรอยในบริเวณ Antelope Spring คราวนี้ไม่ยักกะมีไทรโลไบต์แบนแต๋ติดอยู่ครับ แต่พบไทรโลไบต์และสัตว์น้ำตัวเล็กๆอีกหลายชนิดกลายเป็นหินฝังอยู่ในก้อน เดียวกัน ...คนจากโลกนี้หรือโลกไหนครับที่มาฝากรอยเท้าเอาไว้บนโลก ในสมัยที่มนุษย์ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยซ้ำ หึ หึ อย่าบอกนะว่าพี่หนุ่ยอำพล...

"It happened after the sons of men had multiplied...that daughters were born to them...and when the angels beheld them...they took wives...and they conceiving brought forth giants."

~ The Book of Enoch ~


"There is an infinite variety of ways in which, since 1859, the general concept of evolution might have been demolished. Any topsy-turvy sequence of fossils would force us to rethink our current theory."


~ Steven M. Stanley ~


ในปี 1908 ณ ไซต์ขุดค้นทางโบราณคดีที่ Glen Rose มลรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นแหล่งขุดค้นหลักฐานที่สำคัญในยุคครีเตเชียส (Cretaceous; dating from 135 million to 65 million years ago) นักสำรวจได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้โลกต้องหันมาทบทวนทฤษฎีวิวัฒนาการ เสียใหม่ มันเป็นรอยเท้าของมนุษย์โบราณขนาดมหึมา ซึ่งประทับอยู่บนพื้นที่กลายเป็นหิน นั่นคงไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่ถ้าหากว่า บริเวณใกล้ๆรอยประทับเท้านั้นไม่มีรอยเท้าของกิ้งก่าโบราณบางชนิด ที่เราเรียกว่าไดโนเสาร์รวมอยู่ด้วย...


glenrose-foot-a01.jpg


Clifford L. Burdick และ Roland T. Bird นักโบราณคดีได้ทำการสำรวจรอยเท้าดังกล่าวอย่างใกล้ชิด Bird เป็นนักชีววิทยาและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์ยุคโบราณ หลังจากทำงานอย่างหนักถ้อยแถลงที่ทีมสำรวจนี้มีต่อ American Museum of Natural History ได้ทำให้ใครต่อใครพากันอึ้งไปหมดครับ เพราะตรงรอยประทับเท้าดังกล่าว นอกจากรอยเท้ามนุษย์แล้วยังมีรอยขนาดใหญ่ที่เจ้าของเท้ามีนิ้วเท้าสามนิ้ว ประทับซ้อนกันอยู่ ครับ มันเป็นรอยเท้าของสัตว์โบราณไดโนเสาร์ไม่ผิดแน่ และจากการวัดอายุ รอยเท้าทั้งสองอยู่ในยุคสมัยเดียวกันครับไม่ได้เกิดจากการทับรอยเมื่อเวลา ผ่านไปอย่างที่หลายๆคนกำลังคิดอยู่ แปลกดีแฮะ

จะไม่แปลกได้อย่างไรเล่าครับ ในเมื่อไดโนเสาร์น่ะมีอยู่ในยุคครีเตเชียสและจูราสสิค ตั้ง 135-65 ล้านปีที่ผ่านมาแล้วนะครับ ส่วนมนุษย์นั้นเพิ่งจะมามีตัวตนเมื่อประมาณ 4 ล้านปีที่ผ่านมานี่เอง ไกลกันจนสุดกู่ การพบว่ามนุษย์(หรืออย่างน้อยก็สัตว์จำพวกมนุษย์)กับไดโนเสาร์เป็นสิ่งมี ชีวิตร่วมสมัยกันเนี่ย แทบจะหักล้างทฤษฎีวิวัฒนาการไปจนหมดสิ้น นักวิทยาศาสตร์จากหลายวงการคิดกันหัวแทบแตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะยิ่งนานวันหลังฐานที่พบก็สร้างความงุนงงให้กับพวกเขามากขึ้นทุกที (หลักฐานทั้งหลายผมจะค่อยๆเอามาให้ชมในบทถัดๆไปครับ) นายโซนิคก็อยากจะบอกพวกเขาล่ะนะครับว่าอย่าคิดมาก ให้ปลงแล้วก็หันหน้าเข้าวัดซะอะไรๆอาจจะดีขึ้น ปู้โธ่... ศาสนาพุทธของเรารู้มาตั้งนานแล้วสำหรับเรื่องนี้ พระพุทธองค์เองก็ยังเคยตรัสไว้ว่า โลกของเรานี้เคยมีอารยธรรม เคยมีมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดแล้วก็แตกดับถึงแก่กาลล่มสลายมานับ ไม่ถ้วน หัดไปศึกษาเรื่องวัฏสงสารมั่งนะท่านด็อกทั้งหลาย เผื่อจะได้เห็นทางสว่างขึ้นมาบ้าง

ยังมีกระทาชายนามว่า Max Han ชอบใช้เวลาในวันหยุดไปตกปลากับครอบครัวของเขาที่ Texas มีอยู่วันหนึ่งเขาได้พบกับหินก้อนหนึ่งโดยบังเอิญบริเวณริมตลิ่ง Han รู้สึกประหลาดใจกับอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับแท่งไม้ที่โผล่ออกมาจาก หินก้อนหนึ่ง มันดูเก่าและเหมือนฟอสซิลของไม้ ด้วยความอยารู้เขาจึงงัด ขุด และนำเอาหินก้อนนั้นออกมา เมื่อเจาะหินออกมาได้ Han ก็พบกับเครื่องมือโบราณชิ้นหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายฆ้อนอย่างที่เห็นในภาพ Han นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเพราะเขาเองก็ไม่สันทัดกรณีมากนัก แต่คิดว่ามันน่าจะเป็นของเก่าครับ... เขาคิดไม่ผิดเลย เพียงแต่ว่าอายุของฆ้อนนั้น มันดันเก่ากว่าที่ Hanจินตนาการเอาไว้มาก
ด้ามของฆ้อนมีลักษณะคล้ายไม้ที่กลายเป็นควอทซ์ ส่วนตัวหัวนั้น ผลการวิจัยจาก ห้อง Lab Betel บอกว่า มันมีส่วนประกอบของแร่ที่ดูแปลกไปจากปัจจุบัน คือ เหล็ก 96% คลอรีน 2.6% กับกำมะถัน 0.74 % แต่ไม่ยักกะมีคาร์บอน สิ่งที่แปลกเอามากๆก็คือ ภายใต้กาลเวลาที่เปลี่ยนไป หัวของฆ้อนไม่ปรากฏสนิมเหล็กให้เห็นเลย เพราะว่าโลหะที่ใช้ทำผ่านการถลุงจนกลายเป็นโลหะผสมที่บริสุทธิ์มาก แถมในเนื้อโลหะก็แน่นไม่มีฟองอากาศแม้สักกระผีกริ้น


hamrpc.jpg


นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เจ้าฆ้อนโบราณด้ามนี้แม้จะเป็นอุปกรณ์ง่ายๆ แต่มันถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีสูงมาก แม้แต่การหลอมหัวฆ้อนให้บริสุทธิ์และปราศจากฟองอากาศ ปัจจุบันเทคโนโลยีในวงการอุตสาหกรรมยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วฆ้อนด้ามนี้มีอายุเท่าไหร่กันนะ? คำตอบไม่ยากเลยครับเพราะหินที่ฆ้อนนี้ฝังอยู่ เป็นดินที่กลายเป็นคอนกรีตที่วัดอายุได้ง่ายมากมันอยู่ในยุคครีเตเชียสต อนปลาย ซึ่งตำราเรียนของเราบอกว่า อยู่ในช่วงเวลา 140ล้านปีที่ผ่านมาแล้ว ในช่วงที่ไดโนเสาร์ยังครองโลกอยู่... ในเมื่อ 140ล้านปีก่อนยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนเกิดขึ้นมาในโลก ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนทำฆ้อนอันนี้ขึ้นมาล่ะครับ? ไดโนเสาร์เหรอ? คงเป็นภาพที่ดูไม่จืดจริงๆถ้าเวโลซีแรพเตอร์ เที่ยวไล่ล่าหาอาหารด้วยการแบกฆ้อนยักษ์อันนี้ไปไล่ทุบหัวเหยื่อ ว่าแต่นิ้วแบบนั้นของไดโนเสาร์จะแบกฆ้อนได้ยังไงก็ไม่รู้สินะ ส่วนคำตอบที่ว่าฆ้อนอันนี้ใครเป็นคนทำและใครเป็นคนใช้นั้น นายโซนิคคิดว่าทุกท่านน่าจะได้คำตอบเลาๆอยู่ในใจบ้างแล้ว


เทคโนโลยีจิ๋วอายุแสนปี
เอาล่ะครับ ดูฆ้อนยักษ์กันมาแล้วทีนี้เราลองมาดูของขี้ ปะติ๋วกันสักหลายๆชิ้นดีไหมครับ เป็นวัตถุโบราณที่คาดอายุว่าจะอยู่ในยุคเพลสโตซีน (Pleistocene: ประมาณ 2 ล้านปีที่ผ่านมาแล้ว) วัตถุในภาพที่เห็นขุดพบบริเวณเทือกเขายูราลในรัสเซีย จากรายงานเท่าที่ได้ในปัจจุบันโดยสถาบัน Central Scientific Research Institute for Geology and Prospecting for Precious and Non-Ferrous Metals (ZNIGRI) (ชื่อยาวจริงๆ..) ในมอสโคว์กล่าวว่า ชิ้นส่วนต่างๆที่ขุดพบนั้นน่าจะเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีที่มาจากต่างดาว หลังจากต้นปี 1990 เป็นต้นมา ได้มีการสำรวจบริเวณนั้นอย่างกว้างขวางและพบวัตถุปริศนาอีกมากมายหลายชิ้น โดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำ Narada, Kozim, และ Balbanyu ในบริเวณเทือกเขายูราลด้านตะวันออก วัตถุเล็กๆดังกล่าวถูกขุดพบมากมายนับพันชิ้น โดยมากจะพบในชั้นดินที่ลึกลงไปประมาณ 10 -40 ฟุต

russcrew1.jpg


วัตถุประหลาดดังกล่าวมีขนาดที่น่าทึ่งมากครับ คือตั้งแต่ใหญ่สุดประมาณ 3 เซ็นติเมตรจนถึงเล็กสุดซึ่งมีขนาดเพียง 0.003 มิลลิเมตร หรือ 1/10,000 นิ้วนั่นเชียว ก็ดังที่เห็นในภาพแหละครับ วัตถุพวกนี้มีลักษณะเป็นเกลียวจิ๋วและตอนแรก นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่แน่ใจนักว่ามันใช้ทำอะไรได้ มีนักโบราณคดีบางคนตั้งทฤษฎีว่าน่าจะเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง โธ่เอ๋ย... ใครกันครับจะทำเครื่องประดับจิ๋วมหาจิ๋วแบบนี้ออกมาใส่กัน ครั้งจะเป็นเครื่องกลหรืออะไรเทือกนั้นมันก็เล็กไปอีกนั้นแหละ หลายชิ้นมองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น นับเป็นนาโนแม็คคานิคส์โดยแท้เลยครับ วัตถุดังกล่าว ทำมาจากโลหะผสมหลายประเภทส่วนใหญ่จะเป็นทังสเตน โมลิบดินัม และทองแดง ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าทังสเตนและโมลิบดินัมเป็นโลหะที่มีน้ำหนักอะตอมมาก มีจุดเดือดสูง การจะหลอมและผสมนำมาใช้งานจำต้องใช้ความร้อนมหาศาลและเทคโนโลยีทาง อุตสาหกรรมที่สูงมาก เพราะแม้ในปัจจุบันเราก็ยังใช้โลหะสองประเภทนี้ในอุตสาหกรรมบางอย่างเท่า นั้น (เช่นในอุตสาหกรรมหลอดไฟฟ้า หรือ การผลิตยุทโธปกรณ์) Dr. Valerii Ouvarov แห่ง the Russian Academy ofSciences ในเซนต์ปีเตอสเบิร์กได้ทำการวิเคราะห์วัตถุลึกลับเหล่านี้ และก็ได้แต่ส่ายหน้าเนื่องจากความสนเท่ในที่ไปที่มาของมัน

ปัจจุบัน เราทราบกันเพียงว่า วัตถุชิ้นจิ๋วดังกล่าว น่าจะเป็นส่วนประกอบของเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าในปัจจุบัน เราไม่ทราบว่ามันถูกนำมาใช้ทำหน้าที่อะไรเมื่อครั้งกระโน้น แต่อายุอานามของมัน ถูกแถลงจากนักวิทยาศาสตร์รัสเซียว่า มีช่วงอายุอยู่ราวๆเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนอย่างแน่นอน


russcrew5s.gif

สำหรับด้านบนคือภาพขยายของชิ้นส่วนเกลียวลึกลับพวกนี้ ซึ่งปัจจุบันเราก็ยังไม่ทราบว่าใช้ทำอะไรได้บ้าง




sumer-butt.gif นี่คือ... ขั้วไฟฟ้าสมัยครึ่งล้านปีที่แล้ว...

เป็นวัตถุประหลาดอีกชิ้นหนึ่งที่ไม่ทราบที่มาของมัน มันถูกห่อหุ้มด้วยดินที่กลายเป็นหินมากว่าครึ่งล้านปี เจ้าวัตถุชิ้นนี้เป็นที่รู้จักกันในนามของ the Coso artifact ถูก ค้นพบที่ยอดเขาในแคลิฟอร์เนีย ลักษณะของมันเหมือนขั้วไฟฟ้าหรือปลั๊กอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำมาจากโลหะแข็งและเปล่งประกาย นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยมันบอกว่า เจ้าวัตถุชิ้นนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีเดียวกับการสร้างซูเปอร์คอนดัคเตอร์ หรือตัวนำยิ่งยวดในปัจจุบัน เป็นที่น่าเสียดายครับ ที่บริเวณนั้นไม่มีใครพบหลักฐานอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน ไม่อย่างนั้นเราอาจจะได้เงื่อนงำพอที่จะคลำทางไปสู่ต้นกำเนิดของขั้วไฟฟ้า อายุห้าแสนกว่าปีนี้ได้

spark_plug_2a.jpg 
นาซก้า อารยธรรมยุคพระเจ้าครองโลก

-- Ica Stone แห่งเปรู

บนแถบยอดเขาแอนดีสแห่งทวีปอเมริกาใต้ ณ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริเวณที่แห้งแล้งที่สุดในโลก มีที่ราบขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของปริศนาชิ้นเบ้อเริ่มชิ้นหนึ่งของโลก ปริศนาที่ว่าเราๆท่านๆจะคุ้นเคยกันดีกับภาพอันมหึมาของลายเส้นบนพื้นโลก นาซก้า คือชื่อของที่ราบแห่งนั้น

ที่ราบนาซก้าปัจจุบันอยู่ในดินแดนของทวีปเปรู ซึ่งประเทศนี้ได้มีปริศนามากมายทิ้งเหลือไว้ให้โลกได้ขบคิด เช่นเรื่องของอารยธรรมอินคา ที่มีเทวสถานอันโอฬารและมั่งคั่งไปด้วยทองคำ ความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรมของชนเผ่านี้เรียกได้ว่าคือหนึ่งในความ มหัศจรรย์ของอารยธรรมมนุษย์ ซึ่งนอกจากเมืองของชาวอินคาแล้ว ก็มีที่ราบนาซก้านี่แหละครับที่นักโบราณคดีพากันสนใจ เพราะที่ราบดังดังกล่าว ได้ปรากฏคลองหรืออะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงยาวเหยียด ลากไปมากลายเป็นรูปเรขาคณิตหน้าตาท่าทางประหลาด และที่สำคัญคือรูปพวกนี้ สามารถมองเห็นได้เฉพาะจากทางอากาศเท่านั้น เรียกว่าต้องอยู่บนเครื่องบินนั่นแหละครับ ถึงจะพอมองเห็นเป็นรูปร่าง ข้อนี้เองที่ทำให้หลายต่อหลายคนสงสัยกันว่า คนโบราณ(ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใคร)ที่สร้างลายเส้นเหล่านี้ขึ้นมา เขามีจุดประสงค์ใดหนอ ถึงได้สร้างภาพลายเส้นที่มองเห็นได้จากเฉพาะทางอากาศนี้ ขึ้นมา ทั้งที่สมัยนั้นพวกเขาก็ไม่น่าจะมีเครื่องบินใช้สักนิด นักโบราณคดีบางคนเรียกลายเส้นเหล่านี้ว่าสนามบินโบราณครับ เพราะมันคล้ายกับรันเวย์ของสนามบินเสียจริงๆ


เรื่อง ของลายเส้นนาซก้านี้ ผมจะเอาข้อมูลมาสาธยายให้ท่าน ฟังจนเอียนทีเดียวล่ะครับ แต่ขอยกยอดไปทำในอีกบทหนึ่ง สำหรับตอนนี้เรามาดูปริศนาเล็กๆที่พบในบริเวณนั้นกันดีไหมครับ แม้จะไม่ใหญ่โตกินพื้นที่มากอย่างที่ราบนาซก้า แต่ก็สร้างความปวดหัวให้กับนักโบราณคดีได้ไม่แพ้กันเลยทีเดียว

ดินแดนดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างกันดาร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีฝนตกเอาเสียเลยนี่ครับ ในช่วงปี 1960 ได้เกิดอุทกภัยขึ้นบริเวณแม่น้ำแถบนั้น เป็นผลให้ตลิ่งและบริเวณริมฝั่งแม้น้ำ Ica ถูกกัดเซาะ ตอนนั้นเองแหละครับที่หินจำนวนหนึ่งถูกกระแสน้ำพัดขึ้นมาบริเวณฝั่ง นักโบราณคดีคาดว่าหินเหล่านี้อาจถูกฝังอยู่เมื่อนานแสนนานมาแล้ว และโผล่หน้าออกมาเพราะแรงเซาะจากกระแสน้ำ พวกเขาเรียกมันว่า Ica Stones ตามแหล่งที่ค้นพบครับ

แล้วหินพวกนี้มันน่าสนใจยังไงเหรอ? อืมห์... จะว่าไปมันก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่หรอกครับ ก็แค่หินก้อนกลมเกลี้ยงที่มีภาพสลักของคนโบราณสลักเอาไว้อย่างที่ท่านเห็นใน รูปเท่านั้นแหละ แต่ว่านะครับ เจ้ารูปที่อยู่บนก้อนหินพวกนี้ มันก็พิลึกกึกกือผิดยุคอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะส่วนหนึ่งเป็นรูปของกิจกรรมทางการแพทย์ เช่นผ่าตัด มีรูปของคนขี่ไดโนเสาร์ รูปกล้องโทรทัศน์ แล้วก็แผนที่โลกที่มองลงมาจากทางอากาศเมื่อ 13,000,000 ปีก่อนเท่านั้นเอง หา? ให้ผมทวนตัวเลขของปีเหรอครับ ได้สิ 13 ล้านปีไงครับ ก่อนหน้ายุคหินในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตั้งนานนมเลยคุณ เห็นไหมล่ะ ว่าก้อนหินพวกนี้มันพิลึกอย่างที่ผมบอกจริงๆ


dino-assort.jpg

(ซ้าย)คนขี่ Pterodactyl กำลังล่าไดโนเสาร์ (กลาง)ภาพทวีปต่างๆของแผนที่โลก (ขวา)ภาพการผ่าตัดศัลยกรรมอะไรบางอย่าง



00000.jpg

ภาพเล็กเป็นรูปของดาวหาง และคนที่คงจะเป็นนักวิทยาศาตร์กำลังใช้อุปกรณ์ประเภทกล้องดูดาวอยู่ ส่วนสองภาพด้านซ้ายขยายให้ดูกันจะๆครับ ว่าเหมือนหรือไม่



ปัจจุบัน ยังไม่มีนักโบราณคดีคนใดอธิบายเรื่องนี้ได้ Ica Stone นับเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนแกะสลักมันเอาไว้เมื่อไหร่ และแกะเอาไว้ทำไม โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นทฤษฎีการเคลื่อนตัวของทวีป ซึ่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งยอมรับแล้ว ว่าเมื่อหลายล้านปีก่อน ทวีปแอฟริกา เอเชีย อเมริกา ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น และการที่มันไปปรากฏในมรดกของคนโบราณเช่น แผนที่ปีเรรีส หรือ ไอก้า สโตน ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อก่อน ยังมีมนุษย์ส่วนหนึ่งที่อาจจะอาศัยอยู่ก่อนหรือ รอดจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ในครั้งกระโน้น แต่ว่า ครั้งกระโน้นมันตั้งหลายล้านปีที่ผ่านมาแล้วเชียวนา...

ดร.Javier Cabrera นักฟิสิกข์ชาวเปรูผู้เป็นหนึ่งในทีมศึกษาไอก้าสโตนได้พบภาพของปลาที่สูญ พันธุ์ไปแล้วบนหินก้อนหนึ่ง เขาสนใจมันเอามากๆ จนชาวเมืองในแถบนั้นคนหนึ่งรู้เข้า ก็เลยเชิญ ดร.Cabrera ไปดูสิ่งที่เขาสะสมเอาไว้ Javier Cabrera เรียกสิ่งนั้นว่าพิพิธภัณฑ์หรือห้องสมุดครับ เพราะมันเป็นคอเล็คชั่นสะสมก้อนหินและรูปปั้นโบราณนับหมื่นชิ้น มีขนาดนับตั้งแต่มะเขือเทศลูกเล็กๆไปจนถึงลูกบาสเก็ตบอลนั่นเชียว

ในบรรดาคอลเล็คชั่นที่ Javier Cabrera ได้ไปศึกษาส่วนหนึ่งเป็นรูปปั้นของสัตว์หน้าตาประหลาดๆอย่างที่เห็นในภาพ เขาคิดว่าสัตว์พวกนี้ น่าจะเป็นรูปของสัตว์ที่เคยมีตัวตนมากกว่าจะทำออกมาในรูปของงานศิลปะ มันเหมือนไดโนเสาร์เอามากๆ นอกจากรูปปั้นดินเผาแล้ว หินแกะสลักลักษณะเดียวกับไอก้าสโตน ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แล้วก็มีลวดลายที่เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเสียด้วยสิครับ


dinostone55.jpg


Dr.Cabrera ได้ร่วมมือกับนักธรณีวิทยาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ ของแผนที่ที่เขาพบในส่วนหนึ่งของหินดังกล่าว เพราะเขาต้องการพิสูจน์ว่า ภาพแผนที่โลกที่อยู่บนหินไอก้าแห่งเปรูนั้น เป็นของจริงแท้แน่นอนหรือไม่ Dr. Don Patton นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยกรุงลิมา ประเทศเปรู ได้ร่วมมือกับ Cabrera ในการศึกษาแผนที่ดังกล่าว เขารู้สึกประหลาดใจกับทวีปต่างๆที่แสดงบนแผนที่ มันเป็นส่วนของแผ่นดินที่คุ้นเคยเอามากๆ แต่ตำแหน่งผิดไปจากปัจจุบันอยู่บ้าง แน่นอนครับ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้จึงลงความเห็นหลังจากที่ค้นคว้าอยู่นานว่า เป็นปรกฏการณ์ที่อธิบายได้ยาก เขาให้คำอธิบายไม่ได้ รู้แต่ว่าภาพแผนที่นั้น คือสภาพของโลกเมื่อ 13 ล้านปีก่อนอย่งแน่นอน

จากการศึกษาอย่างยาวนานของ Dr.Cabrera เกี่ยวกับไอก้าสโตนและรูปปั้นดินเผา เขาได้ข้อสรุปออกมาโดยสังเขปดังนี้


ica4.jpg


- คอลเล็คชั่นที่เขาเรียกว่าห้องสมุดนั้น สะสมไปด้วยบันทึกบนก้อนหินที่แตกต่างกันไป มีหลากหลายหัวเรื่องและสาขาวิชา เช่น การแพทย์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์โบราณ เป็นต้น

- มันมาจากอารยธรรมโบราณที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการอย่างเหลือเชื่อ ความรู้ของอารยธรรมนี้สร้างหลายๆสิ่งที่ใกฃ้เคียงกับปัจจุบัน เช่น พาหนะที่เป็นนกเหล็ก ซึ่งน่าจะหมายถึงเครื่องบินหรืออากาศยาน ความก้าวหน้าทางการแพทย์ มีการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ การศัลยกรรมสมอง พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์ที่ก้าวหน้า รวมไปวิชาธรณีวิทยาที่รวบรวมเอาแผนที่ สภาพทางภูมิศาสตร์โลกและการเกษตรกรรมบางประการ

- อย่างเหลือเชื่อ โลกในคำบรรยายจากคอลเล็คชั่นเหล่านั้นมีดวงจันทร์สองดวง ดวงหนึ่งมีลักษณะเหมือนดาวเทียมมากครับ มีหินอยู่สี่ก้อนที่แสดงสภาพภูมิประเทศของทวีปต่างๆที่มองลงมาจากที่สูง (หรืออาจจะเป็นชั้นบรรยากาศ) น่าแปลกใจมากครับเพราะนอกจากทวีปที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันแล้ว ยังมีส่วนของทวีปที่ไม่มีใครรู้จักรวมอยู่ด้วย เป็นไปได้ไหมว่ามันคือทวีปแอตแลนติส หรือ มู ที่เรากำลังตามรอยอยู่ในปัจจุบัน

- ผู้คนในอารยธรรมดังกล่าวรู้ถึงหายนะที่จะมาถึงโลก (ไม่แน่ใจว่าจะมาจากสาเหตุอะไรครับ เพราะท่านด็อกได้คอลเล็คชั่นไม่ครบพอที่จะทราบเรื่องราวอย่างสมบูรณ์ได้ อาจจะเป็นดาวหางหรือน้ำท่วมโลก แผ่นดินไหว อะไรประมาณนั้น) พวกเขาอาจจะทั้งหมดหรือชนชั้นปกครองบางส่วนได้อพยพไปจากโลกนี้ มีส่วนหนึ่งของบันทึกที่กล่าวถึงกลุ่มดาวที่ปัจจุบันเรารู้จักกันในนามของ ดาว Pleiades ดร.Cabrera ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ภาพแกะสลักบนไอก้า สโตน อาจเป็นตัวอย่างที่ดีของหลักฐานที่ว่า เมื่อหลายล้านปีก่อนมีอารยธรรมอันรุ่งเรืองตั้งอยู่บนโลกนี้ พวกเขาได้ทิ้งหลักฐานให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบว่า สมัยก่อนมนุษยชาติดำรงชีวิตอยู่อย่างไร มีอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดไหนและสุดท้ายล่มจมลงด้วยวิธีใด

- รูปปั้นดินเผาบางส่วน มีลักษณะคล้ายมนุษย์ สันนิษฐานว่าอาจเป็นผู้ปกครองหรือเทพเจ้าที่คนในดินแดนนี้เคารพนับถือ และรูปร่างของรูปปั้นมีลักษณะของกระโหลกที่ยาวผิดปกติ จนทำให้นักโบราณคดีอดที่จะเอาไปเชื่อโยงกับหัวกระโหลกแบบ Cone Head ที่กล่าวถึงมาแล้วด้วย


ข้อสรุปของท่านด็อกเตอร์อาจจะฟังดูเหลือ เชื่อสักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหลักฐานทางวัตถุก็ยืนยันอยู่ มีบางคนแย้งว่า ไอก้าสโตนอาจจะเป็นฝีมือของอนุชนรุ่นหลัง ซึ่งแกะสลักขึ้นมาจากความทรงจำ ภาพบางภาพมีรายละเอียดที่ไม่ชัดเจนและชวนให้เข้าใจผิดๆ เช่น ภาพของการศัลยกรรมสมองเป็นต้น มันอาจเป็นพิธีกรรมทางศาสนาสักอย่างหนึ่ง เช่น การทำมัมมี่หรือพิธีศพ ซึ่งก็ไม่เหมาะนักที่เราจะสรุปอะไรลงไปตรงนี้ก่อนได้หลักฐานที่ละเอียดกว่า ที่เป็นอยู่ ถึงกระนั้น หากเอาอารยธรรมนาซก้า ไอก้าสโตน และความรุ่งเรืองทางด้านอารยธรรมของชาวอินคา(เช่นความรู้ทางดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสถาปัตยกรรม) มาเชื่อมโยงกันเข้าแล้ว ไม่ต้องให้ถึงมือนักวิทยาศาสตร์ห-ย่-า-ยหรอก คนธรรมดาอย่างพวกเราก็พอจะมองเห็นรอยต่อของสิ่งเหล่านี้อยู่รางๆเหมือนกัน ใช่ไหมล่ะครับ?


tracks-inca-brain-surgery.jpg

การผ่าตัดศัลยกรรมสมอง


333333.jpg


ดูดีๆสิครับ ว่านี่เป็นอะไรถ้าไม่ใช่ไดโนเสาร์ไทรเซอร์ราท็อปที่สูญพันธุ์ไปเมื่อหลายล้านปีก่อน


ป.ล. ปัจจุบัน Ica Stone บางส่วนได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วครับ ว่าเป็นของเก๊

naz9.gif


ลายเส้นบนพื้นราบ

ในที่ราบนาซก้าประเทศเปรู มีภาพวาดที่กว้างใหญ่และมีเบาะแสที่น้อยยิ่ง คนแรกที่ทำการศึกษารายละเอียดของมันเป็นชาวอเมริกันชื่อ พอล โคซอค ผู้ที่ได้ยินเรื่องลายเส้นนี้ขณะออกทำการสำรวจระบบชลประทานโบราณอยู่ เช่นเดียวกับผู้คนที่มาพิสูจน์เรื่องราวที่ได้ยินเกี่ยวกับลายเส้นนี้ โคซอครู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น มีเส้นที่ลากแตกแขนงออกไปเป็นรูปพัดนับพันเส้นลากข้ามทะเลทราย บางเส้นสิ้นสุดที่ตีนเขา ขณะที่อีกลายเส้นลากยาวไปไกลพาดข้ามภูเขา มันถูกสร้างอย่างง่ายๆด้วยการเจาะผิวดินชั้นบนออกจากดินบนทะเลทรายและเผยให้ เห็นดินชั้นล่างที่สีอ่อนกว่า หลังจากที่เขาพยายามจะตามรอยเส้นบนพื้นดินเขาก็เปลี่ยนไปเป้นใช้เครื่องร่อน แทน มีเพียงบนอากาศเท่านั้นที่เขาสามารถชื่นชมการแผ่ขยายของมันได้อย่างแท้จริง นอกจากลายเส้นชุดนี้ก็ยังมีรูปภาพอื่นๆอีกมากมาย เช่นนก ปลา แมลง และเป็นที่น่าพิศวงที่สุดที่แต่ละรูปถูกวาดอย่างต่อเนื่องบนเส้นเดียว มันเริ่มต้นและสิ้นสุดลงที่จุดเดียวกัน นาซก้าไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดที่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล

นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ใน ยุค 100 ปีก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช 700 นาซก้าไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าชาวอินเดียนแดงโบราณสร้างมันขึ้นมาทำไม ? ในปี ค.ศ.1968 สถานบันเนชั่นแนลจีโอกราฟฟีค ฝ่ายสังคมศึกษาพบว่า ลายเส้นต่างๆ ในพื้นที่เหล่านี้ตั้งอยู่ในจุดระหว่างกลางดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ขึ้นและตกในวันเวลาที่มันอยู่ห่างไกลจากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุด ตั้งแต่ในสมัยโบราณ แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่มีใครคาดคิดได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมากับ การศึกษาลายเส้นนาซก้า ความประหลาดลึกลับของลายเส้นต่างๆ ในทะเลทรายเปรูยิ่งดูเหมือนท้าท้ายคำถามต่างๆ อาทิ ทำไมชาวนาซก้าโบราณจึงทุ่มเทเวลาสร้างสรรค์ลายเส้นมโหฬารเหล่านี้มากมาย ทั้งที่บางอย่างพวกเขาอาจจะไม่เคยเห็น และผู้คนจะเห็นนาซก้าไลน์ก็ต่อเมื่อมองลงมาจากอากาศเท่านั้น

naz1.gif

นอกจากตัวลายเส้นเองแล้ว อารยธรรมและชุมชนมนุษย์ยุคนาซก้า ก็ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้


คนสำคัญที่สุดที่ทุ่มเทเวลาศึกษานาซก้าไลน์ถึง 25 ปีคือ มาเรีย ไรเช่ เธอ ได้ถ่ายภาพและทำแผนที่งานของเธอเรียกว่า ลาส ลีเนียร์ รูปเครื่องหมายลายเส้นต่างๆ เป็นร้อยๆภาพ ซึ่งปรากฏอยู่บนทรายสูงทะเลทรายแห่งนี้ กินเนื้อที่สำรวจถึง 30 ไมล์ โดยอาศัยแผนที่จากสายการบินแพนแอมซึ่งทำไว้ก่อน กับความสนับสนุนจากสถาบันเนชั่นแนลจีโอกราฟิคช่วยเหลือในงานของเธอ ซึ่งมาเยือนโลกเมื่อสมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ ลายเส้นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูนี้ ถ้าจะสันนิษฐานว่าเกิดจากความคิดของนักเรขาคณิตบ้าๆ คนหนึ่งก็อาจเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าฟัง เพราะจากลายเส้นที่ใหญ่โตและที่เล็กๆ ทอดก่ายกัน แม้จะมีระเบียบแต่ก็อ่านจุดประสงค์ไม่ได้ว่า เขาต้องการจะบอกอะไร และดูเหมือนว่าเขาไม่สู้จะคำนึงถึงลักษณะภูมิประเทศด้วยรูปทรงเรขาคณิตแบบ สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าอีกบริเวณหนึ่ง

nazcapi.jpg


ในหุบเขาใหญ่ใกล้ที่ทำการกสิกรรมของนาซก้าซึ่งสามารถยืนมองจากหุบเขาอินเก นิโอ ก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดที่ว่ามันถูกขีดขึ้นประกอบด้วย รูปสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมไม่สับสนจากที่ลาดต่ำไปสู่ที่ลาดสูง และก็เช่นเดียวกันเช่นรูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ ที่ค้นพบคือไม่ทราบจุดประสงค์ นอกจากสันนิษฐานว่าอาจเป็นแบบฟอร์มของระบบการชลประทาน “ ลายเส้นทั้งหมด “ มิสไรเช่ให้ข้อสังเกต “ เป็นเส้นตรง ยาวเป็นไมล์ๆ ข้ามหุบเขาและภูเขา ไม่มีสักเส้นเดียวที่จะคดเคี้ยว มันเป็นแนวตรงอย่างน่าประหลาดทุกเส้น “

ชาวนาซก้าจะได้ประโยชน์อะไรจากลายเส้นเหล่านี้ เส้นตรงบางเส้นมีร่องรอยคล้ายเป็นจุดของยามทุกๆ 1 ไมล์ สงสัยกันว่าจะเป็นจุดสังเกตการณ์สำหรับการส่งข่าวแบบอินเดียนแดง แต่เหตุผลนี้ก็แทบนับไม่ได้ว่าเป็นเหตุผลลายเส้นที่น่าทึ่งอีกภาพหนึ่งคือ ลายเส้นของลิงในท่าคว้าจับอะไรบางอย่าง แขนซ้ายของมันวัดได้ยาวถึง40 ฟุต สังเกตลักษณะรูปร่างของมันคล้ายลิงหลายชนิด ขนดกเป็นปุย อาจเป็นลิงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คาปูชินซึ่งอยู่ในป่าเขตร้อนทางทิศตะวันออกของเทือกเขาแอนดิส ห่างไปจากจุดที่นั่นถึง 200 ไมล์ ศิลปินชาวนาซก้าซึ่งคงจะรู้จักลิงชนิดนี้จากการบอกเล่าของพ่อค้าชาวป่า โดยที่ไม่รู้เรื่องทางสรีระของลิงชนิดนี้อย่างละเอียดออกมาเป็นว่าลิงตัวนี้ มี 4 นิ้วจากมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งมี 5 นิ้วและหางซึ่งเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ได้กลับม้วนขึ้นไป แทนที่จะห้อยลงตามธรรมชาติวิสัยของลิงชนิดนี้

บริเวณ ทุ่งหญ้า ซึ่งมีนก รูปปลาวาฬว่ายน้ำ และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆโครงสร้างหลายภาพคล้ายคลึง กับเครื่องปั้นดินเผา ของชาวนาซก้าโบราณดังกล่าว มากมาย ปลาวาฬเคลือบซึ่งสร้างในปลายสมัยคริสตวรรษที่ 3ก็มีรูปคล้ายคลึงกับลายเส้นปลาวาฬซึ่งพบในทะเลทราย ต่างกันตรงที่ลายเส้นปลาวาฬที่พบมีห่วงห้อยไว้ด้วยคงคล้าย เป็นการประกาศความเป็นผู้พิชิต เช่นเดียวกับปลาวาฬเคลือบ ซึ่งสร้างไว้เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ความเก่งกล้าของผู้พิชิตปลาวาฬ นอกจากนั้นยังมีรูปคนเขียนไว้บนเนินเขา คล้ายคลึงกันกับเครื่องปั้นดินเผาโบราณของอินเดียนแดงนาซก้าที่นี้มาถึงรูป นก ซึ่งสันนิษฐานตอนแรกๆ ว่าอาจเป็นรูปยานอวกาศ อย่างไรก็ดีลักษณะลายเส้นบ่งชัดว่าเป็นรูปนกต่างๆ กันถึง 18 ภาพที่แจ่มชัดเป็นลายเส้นนกฮัมมิ่งเบิร์ด นกเป็นน้ำและนกทะเลซึ่งยาวถึง 450 ฟุต แต่ภาพกลับเขียนไม่เต็มตัว

colibri_.jpg


อลัน ซอว์เยอร์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ให้ความเห็นว่า “ เราแน่ใจว่ามันมีความหมาย แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีความหมายว่ายังไง เส้นต่างๆ โดยเฉพาะลายเส้นของนกประกอบด้วยเส้นลายเพียงเส้นเดียว ซึ้งไม่มีการลากตัดกันเลย บางทีอาจจะเป็นลายเส้นเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอาจสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาคงยอมรับนับถืออะไรก็ได้ที่ ศิลปินเขียนขึ้น เช่นอย่างอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ยึดถือกัน โดยเขียนภาพขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น “ เครื่องหมายเคลือบดินเผาที่มีอยู่หมายถึงที่คล้ายคลึงภาพลายเส้นซึ่งปรากฏ ในทะเลทราย ส่วนใหญ่จัดได้ว่ายังเป็นงานฝีมือระดับต่ำ แต่ว่างานเหล่านี้บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ หลักประกันในเรื่องอาหารและชีวิต

ดร.ซอว์เยอร์กล่าวว่า “ ถ้าจะคิดตามแนวทางความคิดของศิลปินจากงานที่ค้นพบมันก็เป็นการแสดงออกถึง ความคิดของผู้แร้นแค้น สะท้อนสภาวะความรู้สึกออกมาจากวิญญาณ “ อีกแนวความคิดหนึ่งที่ได้มาจากภาพลายเส้นแมงมุมที่มีความยาวถึง 150 ฟุต ที่ถ่ายภาพไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 เปรียบเทียบกับภาพถ่ายลายเส้นนี้ในปัจจุบัน คล้ายกับว่าเป็นซากแมงมุมยักษ์ซึ่งนอนตาย และซากของมันค่อยๆ เลือนหายไป ลายเส้นนี้กำลังถูกทำลายในปัจจุบัน จากพายุทรายบ้าง รถจิ๊บของนักท่องเที่ยว รอยย่ำบ้างนาซก้าไลน์ ในไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกทำลายไปดังกล่าว มันอาจเป็นสนามยานอวกาศอาจเป็นงานของนักเรขาคณิตผู้บ้าคลั่ง อาจเป็นโครงร่างของระบบชลประทาน อาจเป็นงานศิลป์ของชาวอินเดียนแดง อาจเป็นอะไรก็ได้ด้วยเหตุผลซึ่งสันนิษฐานจากข้อมูลต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แต่ความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมัน คงจะยังเป็นสิ่งประหลาด ที่ท้าทายการพิสูจน์ไปอีกนานเท่านาน

1mini1.gif


:: อากาศยานในยุคโบราณ ::

...จุดประสงค์การสร้างนาซก้าไลน์จะถูกไขกระจ่าง หากพิสูจน์ได้ว่าคนโบราณเคยใช้เครื่องบิน!!!

ฟังดูเหลวไหลดีใช่ไหมครับ แต่ก็อย่างที่จั่วหัวเอาไว้ สมมุติฐานเรื่องสนามบินโบราณนาซก้าจะสามารถไขได้กระจ่างหมดโดยไม่ต้องพึ่ง คินดะอิจิยอดนักสืบ หากเราหาร่องรอยของยานอวกาศที่จะมาเชื่อมเข้ากับที่ราบนาซก้าได้

ปัญหา ก็คือ บริเวณดังกล่าวไม่มีหลักฐานของอากาศยานแม้ซักกระผีกนี่ สิครับ แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าบนโลกอันกว้างใหญ่ของเราใบนี้ จะไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับอากาศยานโบราณเอาเสียเลย ดูจากรูปที่ผมนำมาให้ท่านทัศนาดูนะครับ ว่าใช่หรือใกล้เคียงกับเครื่องบินในปัจจุบันหรือไม่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตอนนี้ก็ขออู้เล่าด้วยรูปไปซักแป๊บละกัน


abidos-a04.jpg

ภาพจากตำนานของชาวบาบิโลเนียน เทพเจ้าพร้อมกับยานของพระองค์


abidos-a01.jpg

ส่วนภาพเหล่านี้ มาจากส่วนหนึ่งในวิหารอาบิดอสของอียิปต์ มันคือรูปเก๊ครับ


abidos-a05.jpg

อันนี้เป็นศิลปะเม็กซิกันโบราณ เป็นภาพยานพาหนะของเทพเจ้า



:: โมเดลเครื่องบินโบราณของอียิปต์ ::

abidos-a06.jpg


แบบจำลอง ของอะไรบางอย่างที่เรียกกันว่าเครื่องร่อน ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ณ กรุงไคโร มันมีความยาวประมาณ 6 นิ้ว และความยาวปีกวัดได้เจ็ดนิ้วเศษ ทำจากไม้ไซคามอร์ที่มีน้ำหนักเบา มันสามารถร่อนได้จริงๆเป็นระยะทางพอสมควร เมื่อเราร่อนมันด้วยมือ เจ้าแบบจำลองนี้พบได้ในอียิปต์และบางส่วนของอเมริกาใต้ครับ

มันคือความบังเอิญ? มันเป็นเครื่องประดับ? ผมว่าไม่ใช่หรอก เพราะบางชิ้นที่พบในอเมริกาใต้มีลักษณะของเครื่องเจ็ทปีกสามเหลี่ยมอย่าง ชัดเจน โมเดลเหล่านี้ถูกค้นพบนานแล้วครับ คือตั้งแต่ปี 1898 แถบซัคคาราของอียิปต์ ประมาณว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นราว 200 ปีก่อน ค.ศ. หรือสองพันกว่าปีมาแล้ว ในช่วงที่ค้นพบมันนั้น เป็นสมัยที่โลกยังไม่รู้จักเครื่องบินเหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นโมเดลดังกล่าวจึงถูกผนึกใส่กล่อง แปะสลากเอาไว้ว่า "เครื่องประดับลักษณะคล้ายนก" แล้วก็เก็บมันไว้ใต้ถุนพิพิธภัณฑ์อย่างไม่มีใครแยแส

Dr. Khalil Messiha เป็นคนแรกที่นำมันมาศึกษาอีกครั้ง เขาสนใจในรูปทรงของโมเดลเหล่านี้เป็นอย่างมาก Dr. Messiha ทำให้รัฐบาลอียิปต์สนใจกับสิ่งที่เขาพบและจัดคณะทำงานเพื่อศึกษาโมเดลเหล่า นี้เป็นกรณีพิเศษ ผลที่คณะทำงานแถลงออกมาก็คือ โมเดลที่ซัคคาราเป็นแบบจำลองของเครื่องบินอย่างจริงแท้แน่นอน และเมื่อทดลองสร้างเครื่องเล็กๆตามแบบแปลนของโมเดล วิศกรการบินบอกว่า มันบินได้แน่นอนไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะในลักษณะของเครื่องร่อนหรือว่าติดเครื่องยนต์

ครับ ก็เก็บเป็นการบ้านให้คิดกันเล่นๆละกัน ว่าเมื่อสองพันปีที่ผ่านมา ในสมัยที่ประวัติศาสตร์บอกกับเราว่ามนุษย์ยัง ไม่รู้จักพื้นฐานของแอร์โรว์ได นามิค แต่ดันมีโมเดลของเครื่องบินที่สร้างตามแบบของวิศวกรรมการแบบเด๊ะๆ มันมาจากไหน ชาวอียิปต์โบราณรู้จักมันได้อย่างไร สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาที่ขบไม่แตกไปอีกข้อล่ะครับ

:: อากาศยานแห่งพระเจ้าของชาวภารตะ ::
ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มหาอาณาจักรเก่าแก่ในดินแดนแถบลุ่มน้ำสินธุโบราณ ซึ่งเรียกกันว่า ‘Rama Empire’ ได้ เจริญรุ่งเรืองแผ่ขยายอำนาจไปทั่วดินแดนซึ่งปัจจุบันคืออินเดียตอนเหนือ และประเทศปากีสถาน ประมาณว่าอาณาจักรนี้มีอายุย้อนหลังไปถึงหนึ่งหมืนห้าพันปี เก่าแก่สูสีกับแอตแลนติสนั่นเลยทีเดียว เพราะในบันทึกของอาณาจักรนี้ มีการกล่าวถึงการทำสงครามกับชนเผ่า Asvin ซึ่งน่าจะหมายถึงชาวแอตแลนติสอยู่ด้วย

แถมไม่ได้รบกันแบบธรรมดาด้วยนะครับ พวกเขามียานพาหนะที่เรียกกันว่า "วิมานะ" หรือวิมาน ซึ่งจากคำบรรยาย วิมานะมันก็ยานอวกาศเราดีๆนี่เอง เรื่องของวิมานะผมเคยเล่าเมื่อนานมากแล้ว คลิกอ่านรายละเอียดได้ ที่นี่ ครับ เพราะจะไม่เล่าซ้ำแล้ว จะขอสรุปเอาง่ายๆว่า ดินแดนภารตะหรืออินเดียโบราณนั้น ก็มีเรื่องราวหลักฐานของเครื่องบินอยู่ด้วยเหมือนกัน แถมยังมีบันทึกของการใช้อาวุธแบบอะตอมมิคบอมบ์เสียอีกด้วย

ตบท้ายกันด้วยรูปเครื่องบินโบราณอีกสักชุดก็แล้วกันครับ ดูเสร็จก็ตัวใครตัวมัน.. เอ่อ หมายถึงว่าแยกย้ายกันไปนั่งขบคิดนั่นแหละครับ ว่าสิ่งที่เราเห็นมันบอกอะไรกับเราบ้าง


abidos-a02.jpg

อันนี้พบในอเมริกาใต้ เป็นโมเดลเครื่องบินปีกสามเหลี่ยมทำด้วยทองคำ


abidos-a03.jpg

แล้วสำหรับสองรูปนี้ล่ะครับ เห็นแล้วคิดยังไง?

sumer-butt.gif The Ancient Astronaut นักบินอวกาศยุคโบราณ


astronaut_pyr.jpg


ผ่านมาก็หลายตอนแล้วนะครับสำหรับโบราณคดีต้องห้ามชุดนี้ แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกยาวขนาดไหนกว่าจะปิดฉากจบชุดลงได้ เพราะข้อมูลที่น่าสนใจยังจ่อคอรออยู่อีกอื้อ แถมชุดที่ยังทำไม่เสร็จอย่างไบเบิ้ล อย่าง Planet X ก็ยังอยู่ (ที่สำคัญคือ Super Robot จะออกอาทิตย์หน้านี้แล้ว จะแบ่งเวลายังไงน้อ..)

ทบทวน กันหน่อยสำหรับแฟนใหม่ที่เพิ่งแวะเวียนมาเยี่ยม อันว่าความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวและพระเจ้าจากอวกาศนั้น มีมานานนมแล้วครับผม โดยเฉพาะในหมู่ผู้สนใจประวัติศาสตร์และโบราณคดี(รวมผมเข้าไปด้วย)บางกลุ่ม ซึ่งบังเอิญไปเจอหลักฐานที่น่าสงสัยหลายประการที่ชวนให้คิดว่า ในอดีตเคยมีอาคันตุกะจากอวกาศลงมาเยี่ยมเยือนโลกมนุษย์เรา มาแล้วไม่มาเปล่า พวกเขายังได้สอนสั่งศิลปวิทยาการให้กับมนุษย์บนโลกเรา จนมนุษย์โลกสามารถสร้างถาวรวัตถุ อนุสาวรีย์หลายแห่งให้อนุชนรุ่นหลังได้ประจักษ์ด้วยสายตาที่ฉงนฉงายว่า บรพพบุรุษของพวกเราทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร

ลองย้อนไปดูในอดีตสิครับ มีร่องรอยมากมายที่เกี่ยวโยงอาคันตุกะจากอวกาศกับมนุษย์โลกของเราเข้าไว้ ด้วยกัน เป็นต้นว่ามหาปิระมิดแห่งคีออปส์ สโตนเฮนจ์บนทุ่งซอลส์เบอร์รี่ เทวสถานของชนเผ่ามายา อินคา หรือลายเส้นปริศนาบนที่ราบนาซก้าที่เพิ่งผ่านตาท่านมากันหยกๆ สิ่งเหล่านี้ต้องอาสัยเทคโนโลยีและความรู้ชั้นสูงทั้งสิ้น และจากพื้นเพของชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในถิ่นๆนั้น ดูๆไปหากไม่ได้รับการชี้แนะจากครูที่เก่งกาจสักคน ชนพื้นเมืองเหล่านั้นก็ไม่น่าที่จะสรรค์สร้างสิ่งมหัศจรรย์พวกนี้ขึ้นมาได้

มีคนเชื่อก็ย่อมมีคนไม่เชื่อ ต่างกันที่คนเชื่อพยายามจะนำเสนอหลักฐานแต่พวกไม่เชื่อเค้าจะด่าเอาว่าบ้า มนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็เอเลี่ยนขึ้นสมอง(นายโซนิคก็เคยโดน แหะ แหะ..) เอาเถอะครับ กาลเวลานั่นแหละจะเป็นฝ่ายพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่าง และปัจจุบันจากการศึกษาลึกลงไปในประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ ก็นับว่าได้หลักฐานที่น่าเชื่อถือออกมามากมายแล้วว่า ในอดีตเคยมีมนุษย์ต่างดาวลงมาเยือนโลกของเราแล้วจริงๆ และบรรพบุรุษของเราก็คงมีปฏิกิริยาไม่ต่างจากคนป่าในนิวกีนี ที่เห็นนักบินก้าวลงมาจากเครื่องบินเพื่อแจกเวชภัณฑ์ นั่นก็คือทำการสักการะและยกย่องให้เป็นพระเจ้า พระเจ้า(GODS)ที่เป็นนามธรรม มีเลือดเนื้อ มีชีวิต และก็มีทายาทเหมือนมนุษย์เดินดินทุกประการ

aas_logo.jpg


ทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศมีมานานเท่าใดไม่ทราบได้ แต่คนที่ทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างและทำให้สาธารณชนหันมารับฟัง เป็นชาวสวิสชื่อ เอริค ฟอน ดานิเก้นหนังสือ Chariots of the Gods ของเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ประเด็นของดานิเก้นมุ่งไปที่ในอดีต เคยมีอาคันตุกะจากต่างดาวลงมาเยือนโลกของเรา ทำตัว(หรืออาจจะถูกยกย่องให้)เป็นพระเจ้าของคนโบราณ แนวคิดของดานิเก้นได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เรียกว่าฮือฮาจนมีการตั้งสมาคมนักบินอวกาศโบราณ (The Ancient Astronaut Society)ขึ้น มาเลยทีเดียวครับ พวกนี้จะมีหลักฐานประกอบความเชื่อคือ สิ่งที่คนโบราณได้ทิ้งเหลือเอาไว้ เป็นต้นว่าภาพเขียนของมนุษย์ถ้ำจากทั่วทุกทวีป ซึ่งมีภาพประหลาดๆที่คล้ายกับมุนษย์อวกาศกระจายอยู่ทั่วไปหมด มีเรื่องอัศจรรย์ใจที่กล่าวขานกันอย่างไม่รู้จบอยู่ก็คือ เมื่อ 30 ปีก่อนตอนที่องการ NASA ของสหรัฐออกแบบชุดนักบินอวกาศและพัฒนาจนมีรูปแบบอย่างที่เห็นกันอยู่ในทุก วันนี้ เป็นการออกแบบโดยคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก แต่เชื่อไหมครับ มันเป็นความบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่ชุดนักบินอวกาศกลับไปคล้ายคลึงรูปวาด ของมนุษย์ถ้ำในสมัยโบราณเข้า นับไปตั้งแต่หมวก เสื้อผ้า ถุงมือ รองเท้า ใช่ครับมนุษย์โบราณที่แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่ค่อยนิยมจะใส่กัน อย่างดีก็ผ้าเตี่ยวขนสัตว์นั่นแหละ รองเท้าเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักกันเลยในสมัยนั้น แล้วจะให้อธิบายได้อย่างไรครับ มนุษย์โบราณจินตนาการภาพพวกนั้นออกได้อย่างไร บังเอิญอย่างนั้นหรือ นายโซนิคว่าไม่น่าจะใช่นา...

อ่ะ... ถ้าสมมุติว่าใช่ล่ะก็ การสัญจรทางบกหรือทางทะเลของ มนุษย์โบราณ จำเป็นไหมที่จะต้องแต่งกายเต็มยศแบบเหลือเฟือขนาดนั้น ดูจากภาพที่ผมนำมาก็ได้นะครับ ว่าความคล้ายคลึงของภาพวาดมนุษย์ถ้ำกับชุดนักบินอวกาศ มันมีมากจนเกินกว่ากฏของความบังเอิญเสียด้วยซ้ำอีก

sumer-butt.gif The Ancient Astronaut นักบินอวกาศยุคโบราณ Part II.

นอกจากภาพวาดแล้ว นักโบราณคดียังพบความน่าทึ่งเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณอีกมากมาย ยิ่งมีการศึกษาอารยธรรมของกลุ่มชนที่เจริญผิดยุคในสมัยก่อนมากขึ้นเท่าไหร่ วงการโบราณคดีก็ยิ่งได้ตระหนักถึงความสามารถของมนุษย์สมัยก่อนมากขึ้นเท่า นั้น ใครเล่าจะคาดคิดว่า เมื่อหกพันปีก่อนชาวสุเมเรี่ยนรู้ว่าโลกใบนี้กลมดิกแถใยังรู้ลึกซึ้งเข้าไป อีกว่า ระบบสุริยะของเรามีดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 12 ดวง (พวกเขานับดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์รวมเข้าไปอีก) ถึงอย่างนั้นถ้าไม่นับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ที่ชาวสุเมเรี่ยนรู้จักก็ยังมากกว่าที่ปัจจุบันทราบกันอยู่ 1 ดวง เมื่อหกพันปีก่อนพวกเขารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งใช้กล่องดูดาวตรวจพบเมื่อหลังศตวรรษที่ 18 นี้เท่านั้นเอง

ชาวโลกปัจจุบันชอบมองบรรพชนของเราว่าป่าเถื่อนล้าหลัง งมงายในไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหาศาล จำได้ไหมครับว่า เมื่อปี 1543 นิโคลัส คอปเปอร์นิคัส เป็นคนแรกที่แย้งว่าโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่ก็ไม่มีใครเชื่อแถมโดนศาสนจักรหมายหัวเอาอีก จนกระทั่งปี 1610 ที่กาลิเลโอสร้างกล้องดูดาวได้สำเร็จนั่นแหละ โลกถึงได้ประจักษ์ความจริงข้อนี้ ทั้งๆที่ชาวสุเมเรียนรู้ก่อนหน้านี้มาหลายพันปี นี่ยังไม่นับชาวอียิปต์ที่รู้ว่าโลกกลมและหมุนรอบดวงอาทิตย์อีกด้วยนะ


picanc08.jpg

Fresco found in the Sahara Dated 6000 BC


ปี 1659 คริสเตียน ฮิวเกนส์ค้นพบว่าดาวเสาร์มีวงแหวนล้อมรอบ ในขณะที่จากรึกแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียนเขียนภาพนี้เอาไว้อย่างชัดเจน เลย ลองมาดูแถบอาฟริกากันดูบ้าง คนป่าผิวดำเผ่าโดกอน ซึ่งอาศัยอยู่แถบละแวกถ้ำเมืองบันเดียการา ห่างจากทิมปักตูไปทางใต้ประมาณสามร้อยกิโลเมตร เป็นคนป่าที่แสนจะยากจนและมีมาตรฐานการดำรงชีวิตต่ำ แต่เชื่อไหมครับว่า พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับด้านดาราศาสตร์อย่างลึกซึ้ง โดยสามารถบอกได้ว่ามีดาวเล็กๆดวงหนึ่งโคจรรอบดาวซิริอุส-เอ ใช้เวลารอบละห้าสิบปี ปัจจุบันเรารู้จักดาวดวงนี้ในนามของดาวซิริอุส-บี ดาวดวงนี้ไม่มีทางจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือกล้องโทรทัศน์ทั่วไป เพราะมันอยู่ห่างไกลไปจากโลกถึง 8.7 ปีแสง และเราเพิ่งถ่ายภาพดาวดวงนี้ได้ในปี 1970 ก็เมื่อเร็วๆนี้นี่เอง แล้วชาวโดกอนเมื่อหลายร้อยปีก่อนทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?

ชาวโดกอนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ พวกเขาถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้แบบปากต่อปาก ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษและพูดล่วงหน้าว่า ยังมีดาวเหลืออยู่ในกลุ่มนี้อีกดวงหนึ่งโคจรอยู่ทางมุมขวาของดาวซิริอุส-บี ตอนนั้น นักดาราศาสตร์ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งเมื่อปี 1995 (ไม่กี่ปีนี้อีกนั่นแหละ) ก็เจอดาวดวงที่สามหรือซิริอุส-ซี ตรงตามที่ชาวโดกอนบอกเอาไว้จริงๆ โดยอยู่ห่างไกลจากโลกออกไป 325 ปีแสง (เอา 5,880,000,000,000 คูณเข้าไปนะครับ มีหน่วยเป็นไมล์) ความ รู้เกี่ยวกับกลุ่มดาวซิริอุสทั้งหมด ชาวโดกอนเปิดเผยว่าจดจำมาจากพระเจ้าผู้ลงมาจากห้วงอวกาศแห่งระบบดาวซิริอุส ซึ่งมีลักษณะของคนผสมปลาอาศัยอยู่ใต้บาดาลเรียกว่า Nommos

แม้ในปัจจุบัน พวกเขาก็ยังฉลองกันเพื่อระลึกการมาเยือนของ Nommos ในทุกๆ 60 ปี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นระยะเวลาที่ดาวแม่ของพระเจ้าของพวกเขาโคจรครบหนึ่งรอบ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ)

เรื่อง ของมนุษย์มัจฉาผู้ถ่าย ทอดวิทยาการให้แก่โลก ยังไปปรากฏอยู่ในตำนานของชนชาติอื่นที่เก่าแก่ เช่น บาบิโลเนีย ว่าทุกเช้าจะขึ้นมาจากน้ำเพื่อสั่งสอนความรู้ให้กับมนุษย์ เช่น กสิกรรม คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ระเบียบของสังคม ก่อนจะกลับลงสู่ทะเลในตอนเย็น ชาวบาบิโลเนียเทิดทูนพวกเขาเสมือนพระเจ้า และเรียกว่า Oannes ซึ่งไปตรงกับภาษาของชาวมายาในคำว่า Oaana อันหมายถึง "คนที่อาศัยอยู่ในน้ำ"

ancient1.jpg


DoGu Statue From Japan


ในประเทศญี่ปุ่นนักโบราณคดีขุดพบตุ๊กตาอายุหมื่นกว่าปี เรียกกันตามภาษาญี่ปุ่นว่าโดกุ สวมเสื้อผ้าเหมือนนักบินอวกาศมากแถมยังเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่อยู่ในน้ำด้วย สิ

โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มีอายุประมาณ 4.5 พันล้านปี แต่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพิ่งวิวัฒนาการขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 25 ล้านปีก่อน จากซากฟอสซิลที่ขุดพบในอาฟริกา ทำให้เชื่อว่าบรรพบุรุษของตระกูลลิง Ape ได้เกิดขึ้นเมื่อ 13 ล้านปีก่อน และต่อมาอีก 3 ล้านปี จึงได้วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์สายพันธุ์แรกหรือ Homo อย่างแท้จริง

ขอสรุปวิวัฒนาการของสายพันธุ์มนุษย์แบบย่อๆให้ฟังอีกครั้งหนึ่งนะครับ เมื่อสองล้านปีก่อน มนุษย์ ดึกดำบรรพ์พวกแรกที่มีโครงสร้างกระโหลกและกระดูกคล้ายกับมนุษย์ ปัจจุบันมากที่สุดแรกว่า แอดวานซ์ ออสตรัลโลพิทธิคัส เริ่มปรากฏในทวีอาฟริกา และต้องใช้เวลาอีกหลายล้านปีทีเดียว กว่าที่พวกเขาจะวิวัฒน์มาเป็นสายพันธุ์โฮโม อิเร็คตัส มนุษย์พวกแรกที่เริ่มมีภาษาใช้ในการสื่อสาร รู้จักใช้ไฟ และหินเป็นเครื่องมือในการล่าสัตว์ มีมันสมองที่โตขึ้นกว่าเดิมอีก 100 เปอร์เซ็นต์ และอีกเก้าแสนปีต่อมา พวกเขากลายเป็นมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล (เรียกตามแหล่งที่ขุดพบครั้งแรกในประเทศเยอรมัน) มนุษย์พวกนี้จัดเป็นพวกแรกที่น่าจะเป็นวิวัฒนาการสายเดียวกับมนุษย์ปัจจุบัน และเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์ ที่รู้จักงานศิลปะ เชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์

วิวัฒนาการทางสมองของมนุษย์เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก บรรพบุรุษของเราทำไมใช้เวลาร่วมๆสองล้านปีพัฒนาตัวเองจากสายพันธุ์แอดวานซ์ ออสตรัลโลพิทธิคัส สู่สายพันธุ์นีแอนเดอร์ธัล โดยใช้เครื่องมือหินที่มีลักษณะไม่ต่างกันเลย แต่แล้วจู่ๆเมื่อประมาณสองแสนสี่หมื่อนกว่าปีก่อน มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่ชื่อโฮโม เซเปี้ยน ก็ดันปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่รู้รากเหง้า เพราะไม่ได้วิวัฒนาการมาจากมนุษย์ยุคหิน มันวมองใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกครึ่งหนึ่ง รู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไม่เดินโทงเทงเปล่าเปลือยเพราะรู้จักใช้หนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่ม และรู้จักการมีสังคมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน

sumer-butt.gif The Ancient Astronaut นักบินอวกาศยุคโบราณ part III.

ทำไมครับ? ทำไม...

ทำไมมนุษย์ใช้เวลายาวนานร่วมสองล้านปีเพื่อพัฒนาเครื่องมือหินไปสู่วัสดุอื่น แต่ไม่ต้องใช้เวลาเป็นล้านๆปีเพื่อเรียนรู้วิทยาการที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก่อสร้าง การคำนวณ การดูดาว การเกษตร ฯลฯ เพราะมนุษย์กลับพัฒนาตัวเองได้เร็วเหลือเชื่อ จากเกวียนเทียมวัวอันเชื่องช้า สู่จรวดความเร็วสูง จากบูมเมอแรงสู่ดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบวงโคจรโลก การเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ถ้ำไปสู่มนุษย์อวกาศทั้งหมดนี้บรรพบุรุษของเราใช้ เวลาเพียง 35,000 ปี ที่มากระจุกตัวกันอยู่ในช่วงหลังนี้เอง

ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่า มนุษย์เราอาจจะได้รับการถ่ายทอด เปลี่ยนแปลง ทางเทคโนโลยีเฉกเช่นมนุษย์มัจฉาซึ่งมีอารยธรรมสูงกว่า?

ท่าน ที่ติดตามผลงานของนายโซนิคมานานก็คงพอจะให้คำตอได้นะครับ โดยเฉพาะกับผู้ที่นายโซนิคเป็นสาวกของเขา นั่นก็คือนาย Zecharia Sitchin ซึ่งนับเป็นนักวิชาการหนึ่งในไม่กี่คนของโลกที่สามารถอ่านอักษรลิ่มของภาษา สุเมเรี่ยนได้ เขาใช้เวลากว่าสามสิบปีศึกษาแผ่นจารึกสุเมเรียนร่วมสองพันแผ่น จนค้นพบกุญแจไขปริศนาสู่ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru หรือ Marduk ในภาษาบาบิโลเนียน โดยสรุปการค้นคว้าของเขาว่า เมื่อครึ่งล้านปีก่อนมนุษย์จากดาวเคราะห์ดวงนี้ได้เดินทางมายังโลก และถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้กับมนุษย์จนมีอารยธรรมเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ชนิดชาวสุเมเรียนเรียกว่า "ของขวัญจากพระเจ้า" รวมทั้งได้แต่งงานกับผู้หญิงสายพันธุ์โฮโม อิเร็คตัส ก่อนแพร่ลูกแตกหลาน จนเป็นมนุษย์โฮโม เซเปียน อย่างทุกวันนี้ อ้อ.. ชาวสุเมเรียนเรียกพระเจ้าของพวกเขาว่า Anunnaki ครับ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ



pakal-votal-d03.jpg

พระเจ้าของชาวมายา ดูดีๆนะครับว่าพระองค์กำลังทำอะไร ขับยานอวกาศ?

austgrey.jpg

(บน) ภาพวาดก่อนประวัติศาสตร์ในถ้ำแถบคิมเบอร์ลี่ ออสเตรเลีย ชื่อรูปคือวอร์จิน่า เทพเจ้าไร้ปาก เป็นรูปวาดของชนเผ่าที่เก่าแก่กว่าชาวอะบอริจินส์มาก

พระคัมภีร์ไบเบิลเองก็พูดถึงเรื่องนี้ ว่าบุตรแห่งพระเจ้าได้แต่งงานอยู่กินกับสาวชาวโลก ในภาษาฮิบรูว์เรียกว่า Nefilim ซึ่งมีความหมายตรงกันกับคำว่า Anunnaki อย่างน่าตกใจว่า "ผู้มาเยือนจากเบื้องบน" เมื่อศตวรรษก่อนมนุษย์ยังไม่รู้ว่ามีดาวพลูโต(มารู้จักเอาปี 1930 นี้เอง) และน่าเซอร์ไพรส์มากครับ ปัจจุบันเราได้เค้าลางมาแล้วว่ามีดาวที่มีขนาดใหญ่กว่าโลก 4 เท่า โคจรอยู่ทางท้องฟ้าด้านทิศเหนือ ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส มีชื่อเรียกชั่วคราวว่า Planet X ซึ่งน่าจะปรากฏออกมาให้เราได้ยลโฉมในไม่ช้านี้ หากคำนวณจากวงโคจร

aa-revisite-u01.jpg

แล้วสองรูปนี้ล่ะครับ ภาพโบราณอายุหมื่นกว่าปีที่เขียนถึงพระเจ้าของพวกเขา เห็นแล้วคิดถึงอะไร?


The Yonaguni Factor

locations.gif


ณ บริเวณชายฝั่งของเกาะเล็กกระจ่อยร่อยในญี่ปุ่นนามว่า โยนากุนิ สิ่ง ก่อสร้างลักษณะคล้ายอนุสาวรีย์ยักษ์ได้จ่อมจมอยู่ใต้น้ำ มันเป็นวิหารหินขนาดมหึมาที่แม้ปัจจุบันหลายฝ่ายก็ยังถกเถียง และหาคำอธิบายที่ฟังขึ้นเกี่ยวกับมันไม่ได้ ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดก็คือว่า อนุสาวรีย์แห่งโยรากุนินี้ เกิดขึ้นจากธรรมชาติหรือเกิดจากผลงานทางอารยธรรมของมนุษย์ ถ้าเป็นฝีมือมนุษย์ เทคโนโลยีขนาดไหนถึงจะรังสรรค์มันออกมาให้เกิดขึ้นได้ในรูปลักษณ์ที่โอ่อ่า อลังการเช่นนี้ หากเกิดจากธรรมชาติ คำอธิบายเกี่ยวกับเหลี่ยมมุมและแนวกำแพงที่ตรงแหนวแม่นยำราวกับเกิดจากการ วัดคำนวณของวิศวกรมือเอกนี่เล่า จะอธิบายอย่างไร?

บรรดานักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ที่ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ต่างพากันลงความเห็นว่า อนุสาวรีย์ยักษ์นี้เกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อนุสาวรีย์หินที่โยนากุนิก็นับเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดใน รอบศตวรรษ โดยเฉพาะในประเด็นของโบราณสถานใต้น้ำ แต่ก็นั่นล่ะครับ อายุอานามของอนุสาวรีย์(ขอเรียกแบบนี้ไปก่อนละกัน)แห่งนี้ เท่าที่คำนวณคร่าวๆแล้ว นักวิทยาศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า น่าจะอยู่ในตอนปลายของยุคน้ำแข็ง ซึ่งมันก็หมื่นสองพันกว่าปีมาแล้ว บางท่านว่าน่าจะเก่ากว่านั้นด้วยซ้ำ เอ... ประวัติศาสตร์ของ มนุษย์ยุคใหม่เราย้อนหลังไปไกลขนาดนั้นหรือครับ แถมถ้าเป็นอารยธรรมโบราณก่อนยุคน้ำแข็งจริง สิ่งก่อสร้างนั้นคือผลงานของอารยธรรมใดกัน? สิ่งก่อสร้างมหึมาเหล่านั้นใครเป็นผู้สร้างมันเอาไว้ให้มีขนาดใหญ่โตเกิน เหตุ ในยุคโบร่ำโบราณที่อารยธรรมของมนุษย์ยังไม่ก่อกำเนิดแบบนี้

web18a_medium.jpg


สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นข้อสรุปที่ดีสำหรับข้อถกเถียงในวงการโบราณคดีที่ว่า อารยธรรมโบราณก่อนหน้าที่มนุษย์จะรู้จักและยังคงเป็นตำนานอยู่ นั้นมีจริง หรือไม่ เพราะจากหลักฐานเท่าที่มีในปัจจุบัน อารยธรรมของมนุษย์ที่พอยอมรับได้ว่าเป็นอารยธรรมมันเริ่มก่อตัวขึ้นมาเมื่อ ประมาณ 6000 ปีก่อนนี้เท่านั้นเอง แต่น่าประหลาดมากครับ อนุสาวรีย์ที่โยนากุนิ มีลักษณะคล้ายหรือใกล้เคียงกับอนุสรณ์สถานต่างๆในอเมริกาใต้เป็นอย่างมาก บางคนถึงกับเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า "ปิระมิดใต้ทะเลแห่งเอเชีย" เลยทีเดียว

0004.JPG
 

โบราณสถานแห่งนี้ อาจเป็นคำอธิบายที่ดี สำหรับอารยธรรมต่างๆในแถบอเมริกากลางและใต้ เช่น แอสเท็ค อินคา มายา นาซก้า ได้ว่า เหตุใดชนชาติเหล่านั้นจึงเจริญขึ้นอย่างไม่มีที่ไปที่มา และรังสรรค์งานสะท้านโลกออกมาให้มนุษย์ยุคใหม่อย่างพวกเราได้พิศวงกันจนถึง ทุกวันนี้ ทฤษฎีที่เสนอแนะว่า บรรพบุรุษหรือผู้รอดตายจากแถบโยนากุนิ ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรไปสู่โลกใหม่นั้น สร้างความเกรียวกราวในวงการอยู่พอสมควร มีหลักฐานจากสิ่งก่อสร้างใต้น้ำมายืนยัน ว่ามันเป็นลักษณะและไสตล์ที่เหมือนกันราวกับแหล่งเดียว แต่ว่า.. ยังมีแต่อยู่นิดนึงครับ

ปริศนาที่ยังไม่คลี่คลาย

ขอย้อนอดีตไปยังปี ค.ศ. 1985 ที่โยนากุนิ อันเป็นดินแดน ที่อยู่ค่อนไปทางนะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ใกล้ๆกับหมู่เกาะริวกิว โยนากุนิเป็นสถานที่ที่เลื่องชื่อในเรื่องของแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เป็นที่อยู่ของตัวมอธพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีแนวปะการังที่สวยงาม และธุรกิจสอนประดาน้ำกับการดำชมปะการังก็กำลังเฟื่องฟูในตอนนั้น แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายให้ความสนใจไปพักผ่อนกัน นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว นักวิทยาศาสตร์และนักชีววิทยาทางทะเลจำนวนไม่น้อย ก็แห่กันไปที่นั่น เพื่อศึกษาพฤติกรรมของฉลามหัวฆ้อน อันมีอยู่อย่างชุกชมและถือเป็นแหล่งที่อยู่ของฉลามหัวฆ้อนแหล่งใหญ่อีกแหล่ง ของโลกเลยครับ

... ท่ามกลางความคึกคักของแถบนี้ ยังไม่มีใครรู้เลยว่า ไกลออกไปจากชายฝั่งไม่กี่อึดใจ โยนากุนิ ได้ซ่อนเอาโบราณสถานใต้น้ำขนาดมหึมาเอาไว้โดยไม่มีใครทราบมาก่อน

บุคคลแรกที่ค้นพบโบราณสถานใต้น้ำแห่งโยนากุนิ เป็นนักประดาน้ำท้องถิ่นชื่อ คิฮาชิโระ อาระทาเกะ เขา เป็นครูาอนประดาน้ำรวมทั้งเจ้าของกิจการโรงแรมเล็กๆที่มีรายได้ไม่เลว เหมือนกัน จกาปากคำของอาระทาเกะ เขาพบโบราณสถานแห่งนี้ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1985 ในวันที่ลมสงบและทะเลไร้คลื่น ใช่แล้วครับ บรรยากาศแบบนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง และดูเหมือนเป็นใจให้กับการประดาน้ำอย่างที่สุด อาระทาเกะตัดสินใจที่จะไปดำน้ำสำรวจชายฝั่งด้วยความตั้งใจสองประการคือ หนึ่ง ดำไปตามกิจวัติประจำวันของเขา และสอง สำรวจหาแหล่งประดาน้ำและแนวปะการังใหม่ เพื่อต้อนรับลูกค้าของเขานั่นเอง

เรือของอาระทาเกะเดินทางออกมาทางตอนใต้ของชายฝั่ง และเมื่อถึงจุดที่ต้องการ อาระทาเกะก็กระโจนผลุงลงไปอย่างไม่รอช้า นักประดาน้ำหนุ่มก็ต้องอ้าปากค้างกับสิ่งที่เขาได้พบ ใครล่ะครับจะคาดดิดว่า บริเวณชายฝั่งของที่ที่ครึกครื้นอย่างโยนากุนิ จะซุกซ่อนเอาโบราณสถานขนาดมหึมาที่ยังไม่มีใครค้นพบเอาไว้ แถมยังอยู่ใกล้กับชายฝั่งชนิดจ่อคอหอย ใกล้กันเหมือนตากับคิ้วว่างั้นเหอะ

japan_15.gif

สิ่งที่อาระทาเกะค้นพบนั้นมีลักษณะคล้ายกับวิหารครับ มีความยาวมากกว่า 300 ฟุต สูง 75 ฟุต และกว้าง 100 ฟุต นับว่าใหญ่โตเอาเรื่องเลยทีเดียว หลังจากว่ายน้ำวนเวียนสำรวจอยู่ครู่ใหญ่ อาระทาเกะก็ยิ่งทึ่งในโบราณสถานใต้น้ำแห่งนี้หนักเข้าไปอีก มันมีเหลี่ยมคูที่เที่ยงตรงเหมาะเหม็ง การตัดเส้น แนวกำแพงที่ตรงแหน๋ว รวมทั้งบริเวณที่มีลักษณะคล้ายกับระเบียงวิหาร เขาเก็บภาพอีกชุดหนึ่ง แล้วจึงกลับขึ้นเรือของเขาเพื่อที่จะแจ้งข่าวใหญ่นี้ให้คนอื่นในญี่ปุ่นได้ ทราบกัน

อีกไม่กี่เดือนถัดมา นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี และผู้สนใจก็แห่กันมาที่โยนากุนิให้ควั่ก มีการตั้งไซต์ขุดค้นทางโบราณคดีเพิ่มเติม โดยกระจายวงค้นหาไปทั่วบริเวณนับตั้งแต่ชายฝั่งของโอกินาวาไปจนถึงบริเวณ หมู่เกาะริวกิว มีการค้นพบวิหารโบราณเพิ่มเติมจากเดิมเหมือนกันครับ บรรดานักสำรวจต่างก็งในความโอ่อ่าใหญ่โตของมัน แต่ก็ยังมีลักษณะแปลกๆของวิหารเหล่านี้อยู่ นั่นคือมันใหญ่โตเกินไปที่จะมาจากฝีมือของมนุษย์ หลายคนเสนอว่า โบราณสถานเหล่านี้ไม่น่าจะใช่โบราณสถานอย่างที่คิด มันอาจจะเป็นผลงานของธรรมชาติอันเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ที่บังเอิญรูปร่างรูปทรงของมัน ดันมาคล้ายวิหารหรือโบราณสถานโบราณให้คนที่ได้พบเห็นแตกตื่นเล่นเท่านั้นเอง ก็แล้วแต่จะว่ากันไปล่ะครับ

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในทีมงานสำรวจ Professor Masaaki Kimura แห่งมหาวิทยาลัยริวกิวได้ลงความเห็นว่า โบราณสถานเหล่านี้ น่าจะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์มากกว่า เขา เชื่อมโยงลักษณะของโบราณสถานเข้ากับบรรดาปราสาทหิน และสุสานโบราณบนหมู่เกาะน้อยใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง และชี้ว่ามันเป็นสถาปัตยกรรมที่ใกล้เคียงกันมาก โถ.. แม้แต่หลักฐานที่หลงเหลือบนเกาะ ก็ยังไม่มีใครทราบเลยครับว่ามันมาจากไหน ต่อให้รู้ว่ามันมาจากแหล่งเดียวกัน คำตอบที่วงการวิทยาศาสตร์และโบราณคดีต้องการก็ยังไม่กระจ่างแจ้งอยู่ดีแหละ น่า


0005.JPG


แม้ Professor Masaaki Kimura จะลงความเห็นว่า โบราณสถานแห่งโยนากุนิจะเกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มอื่นในญี่ปุ่นไม่เห็นด้วยกับเขาอย่างสิ้นเชิง หลายกลุ่มเสนอแนวคิดว่า การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาทำให้โบราณสถานแห่งโยนากุนิมีรูปทรงดังกล่าว เช่นการเปลี่ยนแปลงหรือการกระเทาะของเปลือกโลก อย่าเพิ่งหัวเราะไปนะครับ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่ธรรมชาติจะรังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์นี้ขึ้นมา ฉากมุม 90 องศาของโบราณสถานสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติพอๆกับการเกิดของคริสตัลที่ เหลี่ยมมุมพิศดารกว่านี้น่านล่ะครับ


web10a.jpg


ข่าวคราวของโบราณสถานใต้น้ำโด่งดังจนลอยไปเข้าหูของนักสำรวจชาวตะวันตก หลายคนมีความหวังเกี่ยวกับแอตแลนติสตะวันออกขึ้นมา ภายใต้การสำรวจที่เต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค พวกเขามีข้อสรุปหลายอย่างที่น่าสนใจออกมาครับ ซึ่งผมจะเก็บความเอามาเล่าในตอนต่อๆไป ตอนนี้ก็ดูรูปไปพลางๆก่อนนะครับ พิจารณาด้วยสายตาของท่านเองว่า โบราณสถานเหล่านี้ เป็นฝีมือของธรรมชาติหรือเกิดจากอารยธรรมโบราณที่เรายังไม่รู้จักกันแน่


japan_13.gif


ที่มา : http://www.mythland.org/v3/thread-32-1-1.html