วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

The 12th Planet

banner_12thplanet.gif


arwrt_2.gif Chapter One: THE ENDLESS BEGINNING

butt.gif วิวัฒนาการประเภทไหน?

ทุกคนคงเคยได้ยินกฏของมัวร์ที่ว่าด้วยการเพิ่มของความเร็ว CPU แม้ว่ากฏนี้จะถูกคิดขึ้นเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ปัจจุบันกฏนี้ก็ยังกล้อมแกล้มไปได้อยู่ วิวัฒนาการของมนุษย์ก็ เช่นกันครับ หากคำนวณจากระยะเวลานับตั้งแต่มนุษย์คนแรกอุบัติขึ้นบนพื้นพิภพ ปัจจุบันพวกเราน่าจะมีความก้าวหน้าพอๆกับเผ่าบุชเมน คนป่าเผ่าหนึ่งในอาฟริกา ไม่ใช่ยุคซิลิกอนชิปครองโลกอย่างทุกวันนี้

ตำราทางมานุษยวิทยาอนุมานเอาไว้ว่ามนุษย์ใช้เวลาประมาณ 2 ล้านปีในการก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมหิน รู้จักใช้เครื่องมือที่ ทำมาจากหิน โดยเฉพาะอาวุธหินและกระดูกสัตว์ซึ่งใช้ประโยชน์สำหรับการล่าสัตว์เพื่อยัง ชีพ 2 ล้านปีกว่าที่มนุษย์จะเริ่มรู้จักใช้ความคมของแง่งหินมาหั่นเนื้อ เฉือนไม้ เซาะดิน หรืออะไรก็ตามแต่ที่พวกเขาต้องการจะทำ ดูจากสเกลนี้ ทำไมมนุษย์จึงไม่ใช้เวลาอีก 2 ล้านปีก้าวเข้าสู่ยุคสัมฤทธิ์และยุคโลหะ และอีก 10 ล้านปีเพื่อความชำนาญการด้านคณิตศาสตร์ เครื่องกล และดาราศาสตร์ตามสเกลที่มันควรจะเป็น

สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นวิวัฒนาการที่มหัศจรรย์เหลือจะกล่าว เราใช้เวลาน้อยกว่า 5 หมื่นปีด้วยซ้ำจากยุคของมนุษย์ถ้ำนีแอนเดอร์ธัลแมนมาสู่ยุคของการส่งนักบินอวกาศขึ้นไปเดินเล่นบนดวงจันทร์

book1_img01.jpg

book1_img02.jpg

บน: ภาพที่ยังคงเถียงกันมาถึงทุกวันนี้ว่าถ่ายบนดวงจันทร์จริงหรือไม่ ล่าง: กระท่อมของชาวบุชเมน


butt.gif อารยธรรมแบบปุบปับ
ตอนที่นโปเลียนมาถึงอียิปต์ใน ปี 1799 ท่านจอมคนได้นำนักปราชญ์ราชบัณฑิตติดมาด้วยเข่งหนึ่ง เพื่อที่จะทำการศึกษาโบราณสถานของอียิปต์ อันได้แก่หมู่ปิระมิด เมืองโบราณซึ่งจมอยู่ใต้กองทราย สัตว์ผู้พิทักษ์รูปร่างประหลาดที่เรียกกันว่าสฟิงซ์ หนึ่งในทีมสำรวจค้นพบศิลาโบราณใกล้ๆเมืองโรเซตตา อายุของศิลาหลักนี้นับย้อนหลังไปถึง 200 ปีก่อนคริสตกาล เหล่านักปราชญ์รู้สึกประหลาดใจกับอักขระไฮโรกลิฟิกที่จากรึกอยู่บนนั้น และเมื่อสำรวจต่อไปพวกเขาก็พบศิลาโบราณเพิ่มเติมอีกสองหลัก

ความมหัศจรรย์ของภาษาโบราณแห่งอียิปต์ที่ไม่มีใครอ่านออก(ในตอนนั้น) ทำให้เริ่มมีการสำรวจพื้นที่อย่างเอาจริงเอาจัง เหล่าผู้พิชิตจากยุโรปเริ่มตระหนักว่าอารยธรรมบนแผ่นดินไอยคุปต์ มีอายุยาวนานกว่าอารยธรรมกรีกที่พวกเขาภูมิใจนักหนาเสียอีก บันทึกประวัติศาสตร์ของ อียิปต์เองก็เริ่มต้นราชวงศ์แรกเมื่อ 3100 ปีก่อนคริสตกาล สองสหัสวรรษเต็มๆก่อนยุครุ่งเรืองของอารยธรรมเฮลเลนิคในยุโรป ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีก 4-5 ศตวรรษกว่าจะมาถึงจุดที่เรียกได้ว่าเจริญสูงสุดอย่างแท้จริง

ด้วยความเก่าแก่นี้ หรืออียิปต์จะเป็นจุดกำเนิดแห่งอารยธรรมของมนุษยชาติ?

book1_img03.jpg

ภาพหมู่บ้านบริเวณโรเซตตา วาดโดย Luigi Mayer


ตอนแรกใครๆก็คิดอย่างนั้น จนกระทั่งเวลาต่อมานักโบราณคดีได้ รู้จักดินแดนในตะวันออกกลาง นับระยะทางแล้วก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากอียิปต์เลย ดินแดนแห่งนั้นรู้จักกันในนามของซูเมอร์ (Sumer) ชื่ออื่นๆที่ใช้เรียกกันก็มี Sumer, Shumer, Sumeria และ Southern Mesopotamia ครับ

ดินแดนนี้เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมมากมายต่อเนื่องกันมา ที่พวกเราคุ้นหูกันก็ได้แค่ อารยธรรมสุเมเรียน อัคเคเดียน บาบิโลเนียน เป็นต้น อารยธรรมเหล่านี้เจริญรุ่งเรืองไม่แพ้ที่อียิปต์เลย พวกเขามีภาษาพูดภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยเฉพาะภาษาเขียนที่จารึกไว้บนแผ่นดินเหนียวหรือคิวนิฟอร์มของพวกเขานี่ แหละครับ ที่ทำให้เราแกะรอยย้อนเวลาไปสู่ความรุ่งเรืองแต่ครั้งนั้นของพวกเขาได้

หนึ่งในการค้นพบจารึกโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแวดวงโบราณคดีได้แก่ การค้นพบห้องสมุดที่นิเนเวห์(Nineveh) นักโบราณคดีพบจารึกดินเหนียวมากกว่า 25,000 ชิ้น ในบรรดาจารึกเหล่านั้นมีไม่น้อยเหมือนกันที่ระบุเอาไว้ว่า เนื้อหาทั้งหลายไม่ได้มาจากสมองของคนเชียนหรอก หากแต่คัดลอกจากเอกสารโบราณของบรรพบุรุษอีกต่อหนึ่ง ฮ่วย... อารยธรรม Sumer นี่ว่าเก่าพอดูอยู่แล้วยังมีอารยธรรมไหนที่เก่าไปกว่านี้อีกเรอะ?

มีแผ่นจารึกอยู่ราว 20 แผ่นที่มีหมายเหตุกำกับเอาไว้เป็นภาษาโบราณแปลออกมาได้ทำนองนี้ครับ

23rd tablet: language of Shumer not changed..... Except for mispronouncing the name


ถูกต้องแล้วครับ ชื่อที่แท้จริงของดินแดนนี้ควรอ่านว่าชูเมอร์ไม่ใช่ซูเมอร์ มีเรื่องติดตลกจะเล่าให้ฟังนิดหน่อยคือ เมื่อก่อนนี้นักโบราณคดีสับสนมากครับ ว่าอารยธรรมที่พวกเขาค้นพบในดินแดนเมโสโปเตเมียโบราณนั้น ชนชาติที่เป็นเจ้าของอารยธรรมคือใคร พวกเขาสืบสายพันธุ์มาจากมนุษย์วงศ์ไหน เหตุใดจึงรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างกระทันหันและล่มสลายไปอย่างปุบปับเช่นนั้น เล่า ช่วงแรกๆของการศึกษาอารยธรรม Sumer นั้น นักโบราณคดีตีอกชกหัวไปตามๆกัน เนื่องจากรื้อก็แล้ว ขุดก็แล้ว สอบถามคนเก่าคนแก่ก็แล้ว พวกเขาไม่เจอเอกสารที่กล่าวถึงที่มาชนชาติสุเมเรียนเลยครับ (อันนี้เป็นเหตุการณ์ในยุโรปช่วงนั้นเน้อ ^^)

โทษใครไม่ได้หรอกงานนี้ ก็เล่นค้นไม่ถูกจุดเองนี่ ความจริง Sumer ไม่ใช่ดินแดนปริศนาอะไรเลย ในเอกสารเก่าแก่อย่างไบเบิลได้ ระบุถึงดินแดนนี้อย่างชัดเจนในฐานะที่ตั้งเมืองหลวงของชาวบาบิโลน, อัคเคด และอีเรช ไบเบิลระบุชื่อของดินแดนเอาไว้ว่า The Land of Shi'ar หรือ Shinar ครับ

การขุดค้นโบราณสถานครั้งสำคัญของอารยธรรมสุเมเรียนเริ่มขึ้นในปี 1877 โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ผลจากการขุดค้นทำให้ต้องมีการสำรวจเพิ่มเติมอย่างมโหฬาร อะโห! พื้นที่ของอาณาจักรนี้ไม่ใช่เล็กๆเลยครับ จากไซต์สู่ไซต์ จากเมืองแรกสู่เมืองที่สอง สร้างความพิศวงงงงวยแก่ทีมสำรวจเป็นล้นเหลือ โปรเจ็คนี้ยุติลงในปี 1933 ทั้งที่ยังเหลืองานที่ต้องสำรวจอยู่อีกเยอะ แต่แน่ล่ะ ทีมสำรวจไม่ได้มีทีมเดียวนี่ครับ นักโบราณคดีในสังกัดอื่นยังคงทำงานของพวกเขาอย่างไม่ย่อท้อ พวกเขาไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อยใดๆนอกจากกลัวตาย ก็จะไม่ให้กลัวได้ไงล่ะครับ อาณาบริเวณของ Sumer กินดินแดนครอบคลุมทั้ง อิหร่าน อิรัก จอร์แดน ตุรกี ซึ่งระอุด้วยไฟสงครามมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าคุณเชื่ออย่างที่ผมเชื่อ เราอาจสรุปได้ว่า ดินแดนแห่งนี้มีอาถรรพ์ เพราะรบพุ่งกันตลอดไม่เคยหยุดนับจากปัจจุบันย้อนไปจนถึงยุคสมัยแห่งพระเจ้ากันเลยทีเดียว

Zecharia Sitchin เป็นหนึ่งในผู้กล้าไม่กี่คนที่ยอมเสี่ยงชีวิตในการสำรวจดินแดนนั้น คุณปู่แกเป็นเก่งครับ เรียกว่าปราชญ์ด้านภาษาโบราณคนหนึ่งเลยทีเดียว Sitchin ทำการศึกษาโบราณสถาน, แผ่นจารึกที่เรียกว่า Seals, เอกสารที่เขียนด้วยอักษรลิ่ม(Cuneiform)จนแตกฉาน Sitchin เริ่มต้นงานอย่างนักโบราณคดีสมัครเล่นจนก้าวสู่มืออาชีพ Sitchin อดพิศวงกับนิสัยช่างจดบันทึกของชาวสุเมเรียนไม่ได้ เพราะชนชาตินี้บันทึกอะไรเอาไว้แบบจิปาถะเสียจริงๆเมื่อเทียบกับอารยธรรม อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีภาษาเขียนไว้เพื่อจดจารงานสำคัญเช่น คำสอนทางศาสนา หรือตัวบทกฏหมายเท่านั้น

แต่ชาว Sumer เล่นบันทึกเอาไว้แทบทุกอย่างแม้กระทั่งตำราทำกับข้าว และนี่คือตัวอย่าง...

ความรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรสุเมเรียน

บันทึกของคนโบราณเหล่านี้แสดงให้เห็นความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของพวกเขา มันสร้างความตื่นใจให้กับนักโบราณคดีไม่แพ้ซิกกูรัตหรือโบราณสถานอื่นๆ นักโบราณคดีบางคนกล่าวไว้อย่างน่าฟังครับว่า การศึกษาอารยธรรมในดินแดนแถบนั้นเหมือนการค้นพบภูเขาน้ำแข็งในทะเล เริ่มแรกเห็นแต่ยอดกระจิ๋วที่ลอยปริ่มอยู่เหนือน้ำ ครั้นพอสำรวจเข้าจริงๆก็พบว่าความจริงแล้วเนื้อที่อันมหึมาของมันซ่อนอยู่ ใต้น้ำต่างหาก

ในฐานะอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดบนผืนพิภพ สุเมเรียนไม่เพียงแต่มีสถาปัตยกรรมอันน่าพิศวง แต่ภาพวาดและงานเขียนของพวกเขาก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน โดยเฉพาะภาพประดิษฐ์ที่ทำเป็นตราสัญลักษณ์หรือผนึก(Cylinder Seal)นั้น นอกจากจะแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ยังเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของมนุษย์ชาติพันธุ์นี้อีกด้วย

โดยปกติแล้วงานศิลปะของมนุษย์ยุคโบราณจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของศาสนาอย่าง แยกกันไม่ออก ชาวสุเมเรียนไม่เพียงแต่สร้างงานทางศาสนาเท่านั้น พวกเขายังมีศิลปะที่บอกเล่าถึงการเกษตร การรังวัดที่ดิน การคำนวณราคาของผลผลิต ซึ่งแสดงถึงความรู้ทางคณิตศาสตร์อันสูงส่งของพวกเขา ตัวอย่างของความรุ่งเรืองแห่งอาณาจักรสุเมเรียนได้แก่


  • การคิดค้นอิฐเผาสำหรับก่อสร้าง
  • อุตสาหกรรมเครื่องทอขนาดใหญ่
  • การเก็บเกี่ยวและถนอมผลผลิตทางการเกษตร
  • ศิละในการประกอบอาหาร ซึ่งจากดูจากวิธีทำและส่วนผสมแล้ว
  • ...แสดงว่าชนชาตินี้มีรสนิยมในการกินอยู่ไม่น้อยเชียวครับ


พูดถึงอาหารแล้ว หากมีใครถามคุณว่าตำราประกอบอาหารที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาอยู่ที่ไหน ตอบเค้าไปอย่างมั่นใจเลยครับว่าพบในเมโสโปเตเมียนี่แหละ เป็นตำราที่มีชื่อว่า coq au vin (ดูจากชื่อแล้วเหมือน Cook with Wine ไหมครับ?) ขอยกเนื้อหาส่วนหนึ่งมาให้ลองอ่านละกัน ว่าชนชาติสุเมเรียนเค้าละเมียดละไมกันแค่ไหน ขนาดตำราทำอาหารยังเขียนออกมาเป็นโคลงเลยครับ

coqauvin.jpg


In the wine of drinking,
In the scented water,
In the oil of unction -
This bird have I cooked,
and have eaten

ไม่น่าเชื่อว่าอาหารขึ้นชื่อในปัจจุบัน ชาวสุเมเรียนเค้าทำกินกันเป็นแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน

หมายเหตุ หลักฐานความรุ่งเรืองของชนชาตินี้ผมเคยเขียนไปแล้วส่วนหนึ่งใน พระเจ้าจากอวกาศ และ Ancient Astronaut Revivsit ครับ ใครยังไม่เคยอ่านหรืออยากทบทวนความหลังก็คลิกเข้าไปอ่านได้เลย

เอ้า เรามาต่อเรื่องของเรากันดีกว่า...

ชาวสุเมเรียนยังเป็นชนชาติแรกที่เริ่มทำการค้าขาย พวกเขารู้จักการเดินทะเล การประมง ปกติคนโบราณจะแสยงกับทะเลมากครับ เพราะเชื่อว่าโลกแบนขืนแล่นเรือไปไกลจะพาลตกขอบทะเลเอาเสียเปล่า แต่ชาวสุเมเรียนไม่อย่างนั้นครับ พวกเขาไปกันไกลที่สุดเท่าที่เรือจะพาพวกเขาไปได้ มีการดำน้ำเพื่อลงไปค้นหาทรัพยากรแปลกๆ สำรวจเกาะแก่งที่ยังไปไม่ถึง เพื่อค้นหาแร่ธาตุ โลหะ หิน หรือแม้กระทั่งพันธุ์ไม้ที่หาไม่ได้ในดินแดนของพวกเขา

sumercity2_by_mark.jpg

ภาพจำลองเทวสถานในยามเย็นของชาวสุเมเรียน งดงามและคงความขลังน่าประทับใจเป็นยิ่งนัก


Samuel N. Kramer หนึ่งในนักสุเมเรียนวิทยา(Sumerologist) ได้แจงรายละเอียดของความเป็นผู้ริเริ่มในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งตกทอดมาสู่สังคมของเราในยุคปัจจุบันไว้มากมาย ลองดูตัวอย่างเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ แล้วคิดให้ดีๆนะครับว่า คนโบราณที่ดำรงชีวิตอยู่เมื่อเกือบหมื่นปีที่แล้วพวกนี้ เค้าเจริญก้าวหน้ากันผิดยุคขนาดไหน ความเป็นเจ้าแรกหรือผู้ริเริ่มของชาวสุเมเรียนเท่าที่เราค้นพบกันนั้นได้แก่


  • โรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นเจ้าแรก(ของโลก เท่าที่เรามีหลักฐานกันน่ะนะครับ)
  • มีสภานิติบัญญัติอันประกอบด้วยฝ่ายบริหารและฝ่ายค้านเป็นเจ้าแรก
  • มีนักประวัติศาสตร์และการเขียนประวัติศาสตร์เป็นเจ้าแรก
  • มีตำราเภสัชกรรมเป็นเจ้าแรก
  • มีตารางกิจกรรมทางการเกษตรตลอดปีเป็นเจ้าแรก
  • ศึกษาเรื่องจักรวาลวิทยาและโหราศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับดวงดาวเป็นเจ้าแรก
  • มีการจ้างงานและค่าตอบแทนแรงงานในสังคมเป็นครั้งแรกของโลก
  • มีการบันทึกสุภาษิตและสุนทรพจน์
  • มีการถกประเด็นต่างๆในห้องสมุดหลวงเป็นเจ้าแรก (โปรดนึกถึงรายการถึงลูกถึงคนเมื่อหลายพันปีก่อน)
  • เรื่องราวของน้ำท่วมโลกและวีรบุรุษสไตล์โนอาห์มีเล่าอยู่ทั่วทุกมุมโลก แต่ที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ที่นี่ครับ
  • มีบัญญัติกฏหมายและการจัดระเบียบทางสังคมเป็นเจ้าแรก (ต้นฉบับเค้าใช้คำว่า Social Reform หรอก ^^)
  • และอื่นๆอีกมากมาย


สิ่งเหล่านี้ยังคงตกทอดมาถึงพวกเราในยุคปัจจุบัน เราแบ่งโลกออกเป็น 360 องศาตามแบบสุเมเรียน, นับเวลาด้วยชั่วโมงและนาทีตามแบบของพวกเขา ยกเว้นระยะเวลาของการดำรงอยู่บนโลกซึ่งแตกต่างกันแล้ว อาจกล่าวได้ว่า เราและเขาไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย

:: เทพ Enki ผู้ยิ่งใหญ่ ::

arwrt_2.gif Chapter Two: The Almighty God Enki

ในปี 1919 กระทาชายนาม H. R. Hall เดินทางมาถึงซากปรักหักพังของโบราณสถานใกล้หมู่บ้านที่เรียกกันว่า เอล-ยูเบด ชื่อของไซต์นี้ถูกตั้งขึ้นตามนักปราชญ์โบราณซึ่งกล่าวอ้างถึงอารยธรรมสุเม เรียนเป็นคนแรก นครของสุเมเรียนสมัยนั้นกินอาณาบริเวณจากเมโสโปเตเมียตอนเหนือจรดตีนเขาซาก รอนในตอนใต้ เป็นผู้ริเริ่มการทำอิฐเผา กำแพงฉาบปูน ภาพประดับแบบโมเสค สุสานหลวงที่ประดับประดาอย่างสวยงาม มีการใช้กระจกเงาที่ทำจากทองแดงขัด ผลิตภัณฑ์จากอัญมณีนานาชนิด มีการผลิตเครื่องทอ เครื่องเรือน และเหนืออื่นใดมีการสร้างอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่จนยากจะเชื่อว่าเป็นสิ่งก่อ สร้างที่มาจากฝีมือของคนโบราณเมื่อครั้งกระโน้น

earth-chronicle-d01.jpg

ซ้าย: Enki เทพโบราณผู้ถุกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความรู้และปัญญา ขวา: จิตรกรรมฝาผังในซูเมอร์


ไกลออกไปทางตอนใต้ นักโบราณคดีค้นพบเอริดู นครแห่งแรกของชาวสุเมเรียน(ตามที่เคยมีอ้างอิงไว้ในเอกสารโบราณ) ขุดกันอย่างบ้าเลือดพักหนึ่งพวกเขาได้พบกับวิหารโบราณ ซึ่งจารึกเอาไว้ว่าสร้างเพื่ออุทิศแด่เทพเอนกิ (Enki) เทพเจ้าแห่งความรู้ของซูเมอร์ วิหารแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกรุงทรอยอยู่ประการหนึ่งครับ คือมันถูกสร้างถูกบูรณะทับของเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ผลจากการศึกษาทำให้นักโบราณคดีย้อนอายุของอารยธรรมสุเมเรียนจากร่องรอยของ การบูรณะวิหารแห่งนี้ไปจนถึง 2500, 2800, 3000 และ 3500 ก่อนคริสตกาลตามลำดับ

พวกเขาขุดจนกระดั่งถึงดินชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นดินบริสุทธิ์ไม่มีร่องรอยสิ่งก่อสร้างใดๆ อายุของดินชั้นนั้นอยู่ที่ประมาณ 3800 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเราอาจสรุปผลจากการสำรวจนี้ว่าอารยธรรมสุเมเรียนน่าจะรุ่งเรืองขึ้นใน ช่วงนั้น

iraq_uruk.jpg

ไซต์ทางโบราณคดีที่ Uruk ประเทศอิรัก สนใจก็บินไปดูได้นะครับ ^^


"นี่ไม่เป็นเพียงอารยธรรมแรกที่พวกเราตัดสินได้จากสามัญสำนึกเท่านั้น หากแต่ยังมีผลแตกแขนงให้กับอารยธรรมอื่นทั่วทุกมุมโลก มันน่ามหัศจรรย์ตรงที่ว่า ชาวซูเมอร์ไม่เพียงแต่มีความเจริญรุ่งเรืองในท้องถิ่นของตนเท่านั้น พวกเขายังคงทิ้งร่องรอยความรุ่งเรืองเหล่านี้ไว้ตามอารยธรรมอื่นๆแม้กระทั่ง อารยธรรมของมนุษย์ยุคใหม่ในศตวรรษที่ 20" นายโซนิคเว็บมาสเตอร์เล็กๆในประเทศไทยกล่าวด้วยความอยากมีส่วนร่วมในการค้น พบที่น่าทึ่งครั้งนี้

เริ่มต้นจากการรู้จักใช้เครื่องมือจากหินเมื่อ 2 ล้านปีก่อน และธำรงชีวิตอย่างลุ่มๆดอนๆมาจนกระทั่งอารยธรรมสุเมเรียนผุดขึ้นมาเมื่อ ประมาณ 3800 ปีก่อนคริสตกาล มันเรืองโรจน์เสียจนนักโบราณคดีประหลาดใจไปตามๆกัน ไม่มีร่องรอยของการวิวัฒน์ให้สืบสาว ไม่มีใครรู้ว่ามนุษย์พวกนี้ไปเอาความรู้ที่ไม่มีร่องรอยของการสั่งสมเหล่า นี้มาจากที่ใด จากใคร และเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่

...เหมือนกับจู่ๆอารยธรรมนี้ก็ผุดขึ้นบนโลกมนุษย์ของเราเสียอย่างนั้นแหละครับ

ความสำคัญของเลขสิบสอง

arwrt_2.gif Chapter Three: The Importance of Number 12

พูดถึงเลข 12 แล้วคุณคงอดคิดถึงเหล่าเทพแห่งราชวงศ์โอลิมปัสของกรีกไม่ได้ ผมว่าเป็นไอเดียที่ดีหากคุณจะคิดถึงเรื่องดังกล่าวนี้เมื่อเราพูดถึงเลข 12 ว่าแต่เทพราชวงศ์โอลิมปัสมีความสำคัญอย่างไร ทำไมผมต้องเอามากล่าวอ้างทั้งที่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องของชาวสุเรียน กันอยู่

earth-chronicle-d02.jpg

ซ้าย: ภาพน่าสนใจจากหนังสือ DevineEncouters ของ Zecharia Sitchin
ขวา: รูปปั้นของเทพเจ้าที่พบในโบราณสถานที่ U-Baid ประเทศอิรัก หน้าตาประหลาดแล้วยังสวมหมวกทรงประหลาดอีกแน่ะ ^^


จะว่าไม่สำคัญก็ไม่เชิงนะ สังเกตไหมครับว่าเทพเจ้าของชาวกรีกมีอารมณ์ โทสะ และราคะไม่แตกต่างไปจากมนุษย์เลย มิหนำซ้ำจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของอารยธรรมกรีก ชาวกรีกไม่เคยกล่าวอ้างเลยว่า เทพราชวงศ์โอลิมปัสของพวกเขาเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์

เอ้า อย่าเพิ่งทำหน้าเบ้สิครับนี่เรื่องจริง

เทพเจ้าของชาวกรีกล้วนเดินทางมาจากดินแดนอื่น ซึ่งเป็นผลพวงจากการค้าขายระหว่างประเทศในสมัยนั้น เทพเซอุสมาจากเมดิเตอร์เรเนียน-แถบเกาะครีต, อโฟรไดต์มาจากแถบตะวันออกไกล-แถวไซปรัส, โปเซดอนมาพร้อมกับวัฒนธรรมแบบทหารม้าจากเอเชียไมเนอร์, อาธีนาแบกกิ่งโอลิฟ ความอุดมสมบูรณ์และอารมณ์ร้ายจากดินดนในพระคัมภีร์ ว่ากันว่าหากจะมีหลักฐานเชื่อมโยงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเทพราชวงศ์โอลิมปัส กับเลข 12 แล้วไซร้ หลักฐานดังกล่าวก็คงอยู่ในโบราณสถานแถบหมู่เกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั่น แหละ

เลข 12 อย่างพอดิบพอดีไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น อ้อ... ชาวฮิตไทต์ในพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเก่า ก็เชื่อในเรื่องของเทพเจ้า 12 องค์เช่นเดียวกับชาวกรีกครับ มีหลักฐานว่าด้วยความสัมพันธ์ทำนองเดียวกันในศาสนาพราหม์อีกด้วย แต่ไม่สู้จะชัดเจนนัก

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เลข 12 กับคนโบราณคงมีอะไรสัมพันธ์กันอยู่ อย่างน้อยหน่วยนับที่เป็นโหล หรือ dozen ที่ใช้กันในปัจจุบันก็ได้มาจากคนโบราณที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ ชาวสุเมเรียน...

ย้อนกลับกันมาที่เรื่องเดิมของเรา

อะไรคือสาเหตุของการพัฒนาอย่างปุบปับในด้านอารยธรรม? ในเมื่อหลายหมื่นหรืออาจจะเก่าไปจนถึงล้านปีก่อนนั้นพัฒนาของมนุษย์เป็นไป อย่างเชื่องช้า ความเป็นอยู่ของพวกเขาล้าหลัง ป่าเถื่อน และเจริญพอๆกับลิง อะไรที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปอย่างปุบปับ

เปลี่ยนอย่างกระทันหันและเป็น step เหมือนหมัดสามจังหวะในการ์ตูนบางเรื่อง "1-2-โพล๊ะ! ...แกตายไปแล้ว"

wheel56.gif


จากมนุษย์ถ้ามาเป็นมนุษย์ยุคพริมิทิฟที่ยังชีพด้วยการล่าสัตว์ หาของป่า จากนั้นพวกเขารู้จักทำเกษตรกรรมและเครื่องปันดินเผา และหมัดเด็ดของการพัฒนาจากชุมชนขึ้นมาเป็นเมืองซึ่งเจริญล้นเหลือทั้งในด้าน วิศวกรรม คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ การผลิตโลหะ การพาณิชย์ ดนตรี กฏหมาย การแพทย์ ศาสนา และมาถึงขั้นสำคัญที่สร้างหลักฐานให้พวกเราได้สืบสาวราวเรื่องกัน ความเจริญสูงสุดในแง่ของศิลปะและวรรณคดีครับ

ทั้งหมดทั้งเพนี้นักโบราณคดีมึนหัวตึบเพราะตอบไม่ได้ว่าชาวสุเมเรียนเอาความ เจริญพวกนี้มาจากไหน ทั้งที่ชาวสุเมเรียนระบุเอาไว้อย่างชัดเจนถึงที่มาของอารยธรรมอันรุ่งเรือง นี้ว่า

...เอามาจากพระเจ้า

เห็นท่าจะจริง พิศจากหลักฐานที่เรามีอยู่ ทุกอย่างของชาวสุเมเรียนดูมหัศจรรย์ไปเสียหมด ราวกับว่าจู่ๆพระเจ้าก็ทรงประทานทุกอย่างมาให้พวกเขาเสียอย่างนั้น ข้อเท็จจริงอีกประการก็คือ บันทึกของชาวสุเมเรียนที่เราขุดค้นกันได้นั้น ส่วนใหญ่เน้นแล้วเน้นอีกว่าผลผลิตแห่งความรู้เหล่านี้คือสิ่งที่พระเจ้า ประทานให้ พระเจ้าซึ่งครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย ปกครองชนพื้นเมืองเยี่ยงราชาของมนุษย์ปุถุชน

มาถึงตรงนี้แล้วสงสัยไหมครับว่า พระเจ้าของชาวสุเมเรียนเป็นใครและมาจากไหน?

arwrt_2.gif Chapter Three: The Importance of Number 12 (ต่อ)

butt.gif วัวกับไม้กางเขน
ปัจจุบันแวดวงโบราณคดียอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วครับว่า รากเหง้าของอารยธรรมกรีกน่าจะมีที่มาจากบริเวณเกาะครีตที่ซึ่งมีอารยธรรมที่ ชื่อมิโนอันเจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วง 2700 ถึง 1400 ปีก่อนคริสตกาล ในเทพตำนานของมิโนอันนั้นมีเรื่องเล่าของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งวัวที่ชื่อ ไมโนทอร์อยู่ด้วย ชาติกำเนิดของเจ้าอมนุษย์ตัวนี้ก็พิศดารอยู่ คือเกิดจากชายาของกษัตริย์ไมนอสและวัวตัวผู้ครับ น้อง Rayon เคยเขียนถึงไปแล้วในตำนานวีรบุรุษ Theseus สนใจก็คลิกไปอ่านกันนะเอ้อ


taurus.jpg


นักโบราณคดีลงความเห็นว่าอารยธรรมมิโนอันมีความเกี่ยวพันกับวัวอย่างลึกซึ้ง จารึกโบราณบางชิ้นที่พบที่นั่นมีรูปวัวซึ่งเป็นตัวแทนแห่งเทพอยู่ด้วย ที่น่าประหลาดใจก็คือรูปนั้นมีสัญลักษณ์ของกางเขนอยู่ซึ่งจากตำแหน่งของมัน ชวนให้คิดเหลือเกินว่า น่าจะเป็นสัญลักษณ์แทนรูปดาวอะไรซักอย่างหนึ่ง

มาถึงตรงนี้นักโบราณคดีที่ค้นพบก็ชักจะเอะใจขึ้นมานิด ถ้ารูปกางเขนเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงกลุ่มดาวแล้วไซร้ รูปวัวอันเป็นสมมติเทพของไมโนอันก็น่าจะแทนกลุ่มดาวอะไรซักอย่างด้วยเช่นกัน ชาวกรีกก็เช่นเดียวกับชาวสุเมเรียนครับ พวกเขาแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ราศี กลุ่มดาวในจักรราศีหรือ Zodiac ที่พวกเราคุ้นเคยกันในทุกวันนี้ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากกรีกทั้งนั้นแหละ

เป็นไปได้ไหมครับว่า ภาพนั้นแสดงปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อประมาณ 4000 ปีก่อนคริสตกาลหรือ 6 พันปีที่ผ่านมา โดยเป็นปรากฏการณ์ของดาวบางดวงที่ปรากฏขึ้นให้สังเกตได้ใกล้กับกลุ่มดาววัว หรือ Taurus ในช่วงอธิกมาสกลางฤดูร้อน

butt.gif The Goggles

นักโบราณคดีค้นพบว่าชาวฮิตไทต์โบราณนั้นมีสัญลักษณ์ของพระเจ้าเป็นรูปของ สวรรค์และโลก โครงสร้างนี้มีความสัมพันธ์และถูกจัดเรียงอย่างเป็นลำดับขั้น เทพบางองค์ในจำนวนเทพอันมากมายของชาวฮิตไทต์ถูกจัดให้เป็นพระเจ้าโบราณซึ่ง เดินทางมาจากสรวงสวรรค์ น่าแปลกตรงที่ว่าสัญลักษณ์อันวาดแทนพระเจ้าของคนโบราณกลุ่มนี้มองดูคล้ายกับ แว่นคู่หนึ่ง และบ่อยครั้งที่วาดคู่กันไปกับสัญลักษณ์ทางศาสนาซึ่งรูปพรรณคล้ายคลึงกับ จรวดในยุคปัจจุบันอย่างเหลือเกิน

มีเรื่องเล่าเก่าแก่ของชาวฮิตไทต์เรื่องหนึ่งกล่าวถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์ ซึ่งถูกปกครองโดยเทพโบราณผู้มีอายุขัยเกือบอมตะกลุ่มหนึ่ง ทายสิครับว่าเทพกลุ่มนั้นมีจำนวนกี่องค์

สิบสององค์... ถูกต้องเลยครับ

earth-chronicle-d03.jpg

ซ้าย: ภาพถ่ายทางอากาศจากโบราณสถานของชาวฮิตไทต์ ขวา: โบราณสถานอูราราไทอันในประเทศตุรกี หลักแหล่งดั้งเดิมของชาว Hurrians

ใครคือพระเจ้าโบราณของชาวฮิตไทต์เหล่านั้น? คงจะเซอร์ไพรส์คนที่มีความรู้ทางอารยธรรมโลกอยู่บ้างถ้าผมจะไล่ชื่อให้ฟัง ว่า หนึ่งในจำนวนนั้นประกอบไปด้วย Anu, Antu, Ninlil, Ea, Ishkur ,etc. ซึ่งเป็นชื่อเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน! ไม่เพียงเท่านั้นนะครับ สถานที่ในเรื่องเล่านี้มีอยู่หลายแห่งปรากฏอยู่จริงในดินแดนซูเมอร์โบราณ ซึ่งก็แปลกดีที่เรื่องราวของสองอารยธรรมนี้มีส่วนคล้ายคลึงกันได้อย่างน่า ประหลาด

ถ้าสองอารยธรรมนี้มีการถ่ายทอดเรื่องราวระหว่างกัน มันจะต้องมีจุดเชื่อมโยงให้นักโบราณคดีสืบสาวได้ซักจุดสิน่า คิดได้ดังนี้แล้ว Zecharia Sitchin จึงเริ่มศึกษาอย่างระมัดระวังว่าชาวฮิตไทต์สืบทอดความรู้จากชาวสุเมเรียน โบราณมาได้อย่างไร โดยเริ่มจากการศึกษาไวยากรณ์ของภาษาโบราณทั้งสองเป็นอันดับแรก

ห่วงโซ่ของความสัมพันธ์นี้อยู่ที่กลุ่มชนที่ชื่อเฮอไรอัน(Hurrians) คัมภีร์พันธสัญญาเก่าเรียกพวกเขาว่าฮอไรต์(Horites)อันมีความหมายว่าชนชาติ อิสระ ในขณะที่เอกสารโบราณของอียปต์กล่าวถึงอาณาจักรของพวกเขาในนามของ Mitanni ปัจจุบันเรารู้จักชนชาติชื่อประหลาดนี้ในนามของชาวอริยกะหรืออารยัน :)

ชาว Hurrian สร้างวัฒนธรรมของตนโดยสืบสานมาจากสุเมเรียนเดิมแทบทั้งหมด ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าคนกลุ่มนี้เคยอาศัยอยู่ใน อาณาจักรสุเมเรียนเมื่อ 3 พันปีก่อนคริสตกาล มีผู้นำหลายคนดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลสุเมเรียนอีกด้วย และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงราชวงศ์ที่สามแห่งเออร์(Ur) นครหลวงของชาวซูเมอร์

arwrt_2.gif Sumerian Father of the Gods

ประมาณ 1300 ปีก่อนคริสตกาล ภายใต้ยุคสมัยแห่งการอพยพและการรุกราน (ยุคเดียวกับที่ชาวอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์สู่ดินแดนคานาอันนั่นแหละครับ) ชาว Hurrians ถอนตัวไปยังหลักแหล่งใหม่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักร ทำการสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ใกล้ทะเลสาบ Van (Lake Van) ชาว Hurrians ขนานนามเมืองหลวงแห่งใหม่นี้ว่า Uraty หรือ Ararat ชื่อเดียวกับยอดเขาที่เรือของโนอาห์ไปค้างเติ่งอยู่เสียด้วย พวกเขามีรูปเคารพแทนองกษัตริย์เป็นเทพผู้น่าเกรงขาม เทพองค์นั้นทรงสวมหมวกมีเขายืนตะหง่านอยู่บนหลังสัตว์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ประจำตัว ให้ทายครับว่าสัตว์อะไร

ถูกต้องครับ วัว...

ชาว Hurrians เรียกวิหารหลักของพวกเขาว่า Bitanu ที่แปลว่า House of Anu พวกเขาอุทิศตนเพื่อสร้างอาณาจักรอันเรียกว่าวิหารแห่งหุบเขาของ Anu เทพที่พวกเรารู้จักกันในนามของบิดรเทพแห่งสุเมเรียน

earth-chronicle-d04.jpg

ซ้าย: Lake Van ขวา: อาณาจักรโบราณของชาวคานาอัน


ณ ดินแดนที่เป็นที่ตั้งของอิสราเอล เลบานอน และซีเรียใต้ในปัจจุบัน ดูจากแผนที่แล้วดินแดนนี้จะแวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์กว่าพื้นที่ใกล้เคียง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า บริเวณนี้แหละครับที่เป็นถิ่นฐานของชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกกันว่าชาวคานาอัน หรือ Canaanites น่าประหลาดที่คำอธิบายเกี่ยวกับวิหารของชาวคานาอันคล้ายคลึงกับของชาวกรี กมากแม้กระทั่งส่วนยอดของวิหาร ชาวคานาอันมีคำที่หมายถึงพระเจ้าอันเป็นที่สักการะสูงสุดคือ El ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นชื่อแสดงบุคลิกลักษณะของพระเจ้าและมีความหมายในเชิง ทั่วไปว่าพระเจ้าผู้สูงส่ง

ศิลาจารึกที่พบในปาเลสไตน์กล่าวถึงเทพเจ้าอาวุโสผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ แวดล้อมไปด้วยเทพวัยเยาว์คอยสักการะและสนองโองการ เทพอาวุโสนั้นทรงหมวกโคนสูงประดับประดาด้วยเขาสัตว์-สัญลักษณ์แห่งพระเจ้า อย่างที่เราเคยเห็นคนยุคก่อนประวัติศาสตร์บูชากัน ภาพทั้งหมดอยู่ภายใตดวงตรารูปดาวมีปีก(Winged Star) สัญลักษณ์ที่คุณและผมจะพูดถึงกันบ่อยขึ้นในบทต่อๆไป เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันแล้วครับว่ารูปนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ El เทพอาวุโสของชาวคานาอัน

Winged Satr มีลักษณะเป็นวงกลมล้อมดาวแปดจุดและวงกลมนั้นมีปีกสยายออกซ้ายขวา ปัจจุบันสัญลักษณนี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะกับกองทัพอากาศ เพียงแต่เปลี่ยนตรงกลางให้เป็นรูปดาวห้าแฉกเท่านั้น

คำถามจึงมีอยู่ว่า ชาว Canaanites รับวัฒนธรรมทางศาสนาเหล่านี้มาจากไหน?

ก่อนตอบคำถามนี้ผมจะพาคุณไปทัวร์อียิปต์กันบ้าง ชาวอียิปต์โบราณมีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์และโลกอย่างลึก ซึ้ง G. A. Wainwright ผู้เขียน The Sky Religion in Egypt สรุปผลการศึกษาของเขาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าผู้ลงมาจากท้องฟ้าเพื่อปกครองโลกมนุษย์ของขาว อียิปต์นั้นเป็นความเชื่อที่โบราณสุดๆ ไม่ได้หมายถึงหัวโบราณนะครับ^^ หมายถึงอายุของความเชื่อนี้ต่างหาก เราไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าพวกเขามีเริ่มความเชื่อนี้ตั้งแต่สมัยใด รู้เพียงแต่ว่าสมญาที่ใช้ขนานนามเทพสูงสุดมันฟังแล้วคุ้นหูเหลือเกิน เช่น เทพผู้ยิ่งใหญ่, โค(หมายถึงวัว)เทพแห่งสวรรค์, เทพเจ้าแห่งขุนเขาและภูผา โดยเฉพาะชื่อสุดท้ายนี่ชัดเหลือเกิน

อ้าว อย่าเพ่งตีหน้ายุ่งว่า "ตูไม่คุ้นซักชื่อเลยว๊อย" สิครับ ลองถามพวกนักศึกษาที่ลงเรียนวิชาอารยธรรมหรือศาสนาเปรียบเทียบดู เค้าจะอมยิ้มให้คุณเห็นเลยล่ะ

ชาวอียิปต์โบราณใช้เลขฐานเดียวกับพวกเราในปัจจุบันคือฐานสิบ แต่ในทางศาสนาแล้วพวกเขาใช้ตัวเลขชนิดเดียวกับชาวสุเมเรียนโบราณคือเลขที่ สัมพันธ์กับฐาน 60 และทุกอย่างเกี่ยวกับสรวงสวรรค์จะหารด้วยเลข 12 ลงตัวเสมอ เช่นการแบ่งท้องฟ้าออกเป็นส่วนด้วยจักราศีทั้ง 12 การแบ่งวันละคืนออกเป็น 12 ส่วนเท่าๆกัน และอื่นๆอีกมากมายที่เกี่ยวพันกับเลข 12

กระทั่งเทพราบิดรเทพแห่งไอยคุปต์ยังทรงแบ่งเทพในการปกครองออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 12 องค์...

ราเป็นเทพเจ้าที่ทรงปรากฏกายให้โลกได้ประจักษ์เฉพาะยุค ในบางครั้งพระองค์ปรากฏกายในอีกลักษณะ คอเทพตำนานของอียิปต์อาจคุ้นชื่อนี้ครับอาเตน(ATEN) เทพลักษณ์ที่มีรูปร่างคล้ายจานซึ่งบางครั้งถูกแทนด้วยทรงกลมมีปีก

ตราของ ATEN เป็นวงกลมว่างเปล่าที่มีปีกสองข้างลักษณะเหมือน Winged Star และถูกใช้แทนรูปเคารพของเทพเจ้าราอยู่พักหนึ่งในอียิปต์

earth-chronicle-d05.jpg

ซ้าย: Adoration fo Ra ขวา: Mari นครโบราณของชาวอามอไรต์


รามีโอรสสององค์คือโอสิริสกับเซธ สงครามระหว่างเทพสององค์นี้ผมไม่เล่าซ้ำเพราะรู้กันดีอยู่ว่าโอสิริสถูกเซ ธผู้อนุชาทำร้ายชิงอำนาจไป จนกระทั่งโฮรัสบุตรของโอสิริสเติบโตขึ้นและกลับมาทวงความเป็นธรรมแทนบิดา สัญลักษณ์ของโฮรัสในบางครั้งถูกเขียนด้วยรูปปีกและเขา บางคนตีความว่ามันคือสัญลักษณ์แทนอำนาจที่ได้รับจากเทพรา

นักประวัติศาสตร์สมัยก่อนเชื่อว่าอารยธรรมแรกของโลกเริ่มต้นที่อียิปต์ ถึงปัจจุบันเองก็เถอะครับ ลองถามใครดูก็ได้ที่เคราะห์ร้ายมาคุยกับคุณเข้าว่า เขาคิดว่าอารยธรรมของชาติไหนที่เก่าแก่ที่สุด ร้อยทั้งร้อยหนีไม่พ้นอียิปต์ ทั้งที่ในความเป็นจริงเรามีหลักฐานที่แน่ชัดแล้วว่าชาวอียิปต์มีนครรัฐและ วัฒนธรรมตามหลังสุเมเรียนอยู่นับพันๆปี ซึมซับเอาวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม เทคโนโลยี ศิลปะและวรรณคดีมาจากดินแดน Sumer อยู่ไม่ขาด แม้กระทั่งด้านศาสนาเอง มีเทพเจ้าของอียิปต์อยู่ไม่น้อยที่ถือกำเนิดในดินแดน Sumer

ชาวคานาอันไม่ได้สั่งสมอารยธรรมที่เป็น Original ของตัวเองฉันใดชาวอียิปต์ก็ฉันนั้น แม้สภาพทางภูมิศาสตร์ของสองอาณาจักรจะห่างไกลกันไม่ใช่เล่น แต่การถ่ายทอดทางวัฒนธรรมระหว่างสองชาติโบราณนี้กลับไม่เป็นอุปสรรคเลย ชาวอียิปต์เข้าถึงแหล่งความรู้ของชาวสุมเรียนผ่านชนเผ่าโบราณกลุ่มหนึ่งที่ ชื่ออามอไรต์ (Amorite)

ช่วงทศวรรษ 1980's นักโบราณคดีค้นพบอาณาจักรและเมืองหลวงของชาวอามอไรต์ที่ชื่อ Mari เมืองดังกล่าวตั้งถูกแถบชายแดนของประเทศซีเรียในปัจจุบัน มีแม่น้ำยูเฟรติสไหลผ่านเป็นพรมแดน นักโบราณคดีพบว่าเมืองนี้ถูกสร้างและบูรณทับชั้นเดิมสองครั้งในช่วง 3,000 และ 2,000 ปีก่อนคริสตกาลตามลำดับ โบราณสถานแห่งนี้มีเอกสารโบราณบางชิ้นและร่องรอยของการสร้างทับเมืองเก่าของ เผ่าที่อาศัยอยู่แต่เดิม ในบรรดาร่องรอยเหล่านี้มีส่วนหนึ่งที่เป็นปิระมิดแบบขั้นบันได และวิหารของเทพเจ้าองค์สำคัญของสุเมเรียน เช่น Inana, Ninhursag และ Enlil อีกด้วย

เทพเจ้าเหล่านี้เป็นใครกันแน่ พวกเขาลงมาจากท้องฟ้าเพื่อปกครองโลกมนุษย์ มีความเกี่ยวพันกับเลข 12 อย่างลึกซึ้ง ในเนื้อที่ประมาณ 2 หน้ากระดาษ ผมได้พาคุณท่องไปตามวิหารของชาวกรีก อารยัน ฮิตไทต์และ Hurrians ชาวคานาอัน ชาวอียิปต์ รวมไปถึงชาวอามอไรต์ เป็นการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลลัดเลาะตามบริเวณสำคัญๆของสองทวีป เพื่อหาจุดกำเนิดแห่งอารยธรรมเมื่อหลายพันปีมาแล้ว

แหละร่องรอยทั้งหมดพร้อมใจกันชี้ไปยังต้นตอเพียงที่เดียวคือดินแดนที่มีชื่อว่า Sumer

arwrt_2.gif Chapter Four: Sumer... Land of The Gods


butt.gif Anu ผู้นำแห่งตระกูลเทพ
ผู้นำทวยเทพแห่งสวรรค์และโลกของชาวสุเมเรียนมี นามว่า An (หรือ Anu -- อ่านว่าอานู หรือ อนู ในวรรณคดีของบาบิโลเนียนกับอัสสิเรียน) ทรงได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งเทพทั้งปวง มีอาณาจักรอันไพศาลอยู่บนสรวงสวรรค์และมีรูปดวงดาวเป็นสัญลักษ์ประจำองค์ เรื่องน่าปวดหัวสำหรับนักโบราณคดีคือ สัญลักษณ์ของ An ในงานเขียนของชาวสุเมเรียนเป็นตัวแทนของทั้งสวรรค์ สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนนั้น หรือแม้กระทั่งเหล่าเทพเล็กเทพน้อยที่เป็นทายาทของ An เองก็ตาม สัญลักษ์ที่แสดงความหมายสี่ประการนี้ถูกใช้โดยคนโบราณในยุคต่อมาด้วยเช่นกัน ครับ กล่าวคือจากตำนานที่ เล่ากันแบบปากเปล่าไปสู่อักษรภาพ สู่อักขระคิวนิฟอร์ม สู่ภาษาบาบิโลเนียนและอัสสิเรียนตามลำดับ จึงทำให้การถอดความในภายหลังเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะหากบริบทไม่ละเอียดพอ นักโบราณคดีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงอนูที่กล่าวเอาไว้นั้น หมายถึงอะไรกันแน่ในสี่อย่างนี้

angel1.jpg


สำหรับชาวตะวันออกโดยเฉพาะชาวไทยอย่างพวกเรา สวรรค์หรือนรกเป็นสถานที่ที่มนุษย์สามัญ มิอาจเดินทางถึงนอกเสียจากดวงจิตละสังขารไปแล้ว มนุษย์ธรรมดาจะไปที่นั่นได้ก็ต่อเมื่อตายไปแล้ว แต่พระอริยบุคคลหรือผู้มีฌาณสมาบัติสูงสามารถแวะเวียนไปเป็นครั้งคราวได้ ด้วยการถอดจิต

สำหรับชาวสุเมเรียนไม่เป็นเช่นนั้นครับ พวกเขาเชื่อว่าหากได้รับความกรุณาจากเทพเจ้า พวกเขาก็สามารถขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นได้เช่นกัน ความเชื่อนี้ยืนยันกับเราได้ประการหนึ่งคือ สวรรค์ในความหมายของชาวสุเมเรียนไม่ใช่เรื่องของภพหน้าหรือโลกหลังความตาย แต่เป็นสถานที่บางแห่งซึ่งอยู่เหนือท้องฟ้าขึ้นไป ในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่ามีเรื่องทำนองนี้อยู่เหมือนกันครับ ว่าด้วยการส่งยานพาหนะลง มารับผู้มีคุณสมบัติขึ้นไปบนสวรรค์ เรื่องใน The Book of Enoch (คัมภีร์แห่งเอนอช) กับศาสดาพยากรณ์ Elijah(เอไลจาห์) ดูจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด (และเป็นของหวานชิ้นโตที่สุดสำหรับนักล่าเอเลี่ยนในพระคัมภีร์อย่างผมเสียด้วยสิ ^^)

...มหาเทพ Anu ทรงมีชายานามว่า ANTU อันหมายถึงพระมารดร

จารึกที่ค้นพบที่ Uruk ให้ความกระจ่างแก่นักโบราณคดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องการมาเยือนโลกของ Anu และพระชายา น่าเสียดายที่กาลเวลาทำเอาแผ่นจารึกเจ้ากรรมชำรุดไปเยอะมาก เราจึงอ่านรายละเอียดของมันได้จากช่วงกลางแผ่นเป็นต้นไปเท่านั้น แต่นักโบราณคดีก็ได้อะไรเยอะครับจากจารึกนี้ อย่างน้อยก็ได้รู้แหละว่าพิธีสมรสในปัจจุบันและการสวมมงกุฏเพื่อขึ้นครอง ราชย์มาจากความเชื่อของชาวสุเมเรียนนี่เอง

ตามธรรมเนียมสุเมเรียน ผู้ครองบัลลังก์จะได้รับโองการจากบิดรเทพ Anu พวกเขามีคำที่มีความหมายเดียวกับราชบัลลังก์คือคำว่า Anutu สัญลักษณ์สามอย่างของ Anu หรืออีกนัยหนึ่งองค์ราชาประกอบไปด้วย มงกุฏศักดิ์สิทธิ์, คฑาสำหรับแสดงราชฐานะ และไม้เท้าพระธรรม

เห็นไหมครับว่าสัญลักษณ์เหล่านี้ถูกสืบทอดมายังอารยธรรมของ ชนรุ่นหลังอย่างไม่ตกหล่น ที่เพี้ยนไปบ้างคือไม้เท้า เพราะตั้งแต่คริสตศาสนารุ่งเรือง ไม้เท้าพระธรรมนี้ดูจะเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของบิชอปมากกว่าพระราชา แต่มงกุฏนี่คงไม่มีใครเถียง ว่ามันคือสัญลักษณ์ประจำตนของบุรุษหมายเลขหนึ่งแห่งแผ่นดินทุกแผ่นดินที่มี ราชบัลลังก์

butt.gif EN.LIL.... Second most Powerful God
โอรสองค์โตของ Anu ชื่อของ Enlil (เอนลิล) มีความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า Lord of the Airspace หรือเจ้าแห่งนาวากาศ เทพองค์นี้เกิดในวังของบิดาซึ่งอยู่บนสวรรค์ และเดินทางมายังโลกมนุษย์ด้วยเหตุผลบางประการ Enlil ทำหน้าที่ทุกอย่างแทนบิดาในเวลาต่อมาโดยเฉพาะเมื่อเทพทั้งหลายมีอันต้อง หารือกัน เหล่าเทพเจ้าจะมาประชุมกันที่สภาของ Enlil ซึ่งอยู่ที่เมือง Nippur (นิปเปอร์) เมืองโบราณของสุเมเรียนที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าองค์นี้ เมื่อเทพเจ้ามากันครบองค์ประชุม พวกเขาจะเริ่มปรึกษาภารกิจในวิหารที่ชื่อว่า E.KUR อันมีความหมายว่า house which like a moutain หรือเคหาสน์คล้ายภูผา

sumer-dq-01.jpg

ฉายา The God of airspace หรือ God of Rocket ไม่ได้แปลมาอย่างลอยๆ ลองเปรียบเทียบจรวดยุคปัจจุบันกับจรวดของชาวสุเมเรียนดูสิครับ :)

Enlil เป็นที่นับถือของทั้งมนุษย์และเทพเจ้า ทรงมีอำนาจอย่างล้นเหลือทั้งบนสวรรค์และในโลกมนุษย์ บนสวรรค์ Enlil มีฐานะเป็นเจ้าชายองค์หนึ่ง แต่บนโลกมนุษย์ชาวสุเมเรียนถือว่า Enlil คือผู้นำในทุกสรรพสิ่งเลยทีเดียว ตำนานกล่าวว่า Enlil เสด็จมายังโลกตั้งแต่โลกยังว่างเปล่าไร้ซึ่งอารยธรรมใดๆ

จารึกสุเมเรียนตอนหนึ่งกล่าวว่า Enlil ทรงมายังโลกก่อนหน้าที่ Black-Headed-People (คนผมดำ เป็นคำที่ใช้เรียกเผ่าพันธุ์มนุษย์ของชาวสุเมเรียน)คนใดถูกสร้างจะขึ้น ในช่วงเวลานั้น Enlil สถาปนานคร Nippur (นิปเปอร์) เป็นกองบัญชาการส่วนพระองค์ จุดมุ่งหมายของการสร้างนครนี้คือใช้เพื่อเชื่อมสวรรค์และโลกเข้าด้วยกันด้วย พันธะบางอย่าง พวกเขาเรียกมันว่า DUR.AN.KI - ดูรอันกี (bound heaven-earth - พันธะแห่งฟ้าดิน) แหม... ฟังแล้วเหมือนทวารข้ามดวงดาวในเรื่อง Star Gate จังเลยนะครับ

เหล่าเทพในสังกัดของ Enlil ทำงานกันอย่างขันแข็งรวมถึงตัวขององค์ Enlil เอง พระองค์พบรักกับกับเทวนารีนาม SUD (ซูด แปลว่า the nurse) และมีธิดานาม NIN.LIL - นินลิล (lady of the airspace - พระนางแห่งเวิ้งฟ้า) ในเวลาต่อมา

psc2.jpg


Enlil ทรงกลายเป็นผู้นำของเหล่าเทพ สร้างความรุ่งเรืองให้กับดินแดนซูเมอร์ ทรงสร้างและปกครองเหล่า Black-headed-people จนได้รับสมญาว่า Lord of the Land ตำนานสุเมเรียนกล่าวถึงภาระกิจของเทพองค์นี้ไว้มากมาย จุดที่น่าสนใจคืออภินิหารแปลกๆที่กล่าวถึงในจารึกโบราณนั้นครับ อ่านแล้วแทนที่จะนึกว่าอ่านตำนานโบราณกลับนึกถึงนิยายวิทยาศาสตร์ไปเสียนี่ ลองมาดูตัวอย่างกัน


  • Enlil เป็นทายาทโดยชอบธรรมของ Anu เทพโบราณผู้ยิ่งใหญ่
  • เป็นผู้นำและบริหารสภาเทพแห่งสวรรค์ มีองค์ประชุมมีการบบริหารการตัดสินใจ ไม่ใช่เผด็จการ
  • ถึงกระนั้น Enlil ก็ยังมีฤทธานุภาพอันน่าครั่นคร้ามไม่ว่ากับเทพหรือมนุษย์
  • ทรงถ่ายทอดคำสั่งแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้จากระยะไกลโพ้น ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามอากาศ
  • ทรงสร้างพันธะเชื่อมโยงสวรรค์กับโลกเข้าด้วยกันที่เมือง Nippur
  • มีดวงตาแห่งแสงที่สามารถแลเห็นการเคลื่อนไหวได้ทั้งแผ่นดิน


อ่านแล้วนึกถึงอะไรกันบ้างครับ อ้อ... ยังไม่ต้องตอบผมตอนนี้ก็ได้

Enlil รับบทคล้ายเอโลฮิมในบทเยเนซิสของคัมภีร์ไบเบิล กล่าวคือเป็นเทพอมตะผู้ปกครองสวรรค์และโลก ทรงจัดระเบียบสังคมได้ดีเสียจนรัฐมนตรีบางกระทรวงของบ้านเราควรไปขอคำปรึกษา ทว่าระเบียบดังกล่าวกลับธำรงอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะในกาลต่อมาเกิดสงครามชิงอำนาจระหว่างบุตรของ Enlil ขึ้น เป็นสงครามเทพเจ้าที่สนุกสนานมากๆครับ สมรภูมิของทั้งสองฝ่ายไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในดินแดน Sumer เท่านั้น แต่ลามไปถึงทวีปแอฟริกา เอเชีย ไปจนกระทั่งถึงดาวอังคาร! (ถ้าบันทึกโบราณไม่ได้โกหกเรา)

ยังผลให้อารยธรรมแห่งเทพถึงกาลเสื่อมลงนับตั้งแต่บัดนั้น...

arwrt_2.gif Chapter Four: Sumer... Land of The Gods


butt.gif EN.KI เทพผู้มีดวงเนตรอันเจิดจ้า
Enki เป็นบุตรอีกคนของ Anu ทรงถูกเรียกขานด้วยสองนามอันได้แก่ E.A และ EN.KI (อีเอและเอนคี)ทรงเป็นเทพที่เสด็จลงมาจากท้องฟ้าเช่นเดียวกับ Enlil ผู้เชษฐา

E.A (แปลว่าผู้อาศัยอยู่ในน้ำ หน้าตาสุดหล่ออย่างรูปด้านล่าง ^^) มีความสามารถด้านวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการวางผังขุดคลอง การทำชลประทานจากแม่น้ำหรือการระบายน้ำออกจากพิ้นที่ที่เป็นบึง โปรดการสัญจรทางน้ำเป็นที่สุด Ea สร้างเมืองขึ้นบริเวณบึงใหญ่โดยตั้งชื่อว่า HA.A.KI (ถิ่นฐานแห่งมัจฉา) แต่คนรุ่นหลังรู้จักเมืองแห่งนั้นในนามของ E.RI.DU (เอริดู - home of going afar - บ้านที่ต้องจากไกล)มากกว่าครับ

Enki_jk.jpg


จารึกสุเมเรียนรุ่นแรกๆเขียนถึง E.A. ด้วยสัญลักษณ์ของปลากับท้องทะเล บางครั้งมีดวงจันทร์พ่วงเข้ามาด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะคนโบราณทราบกันดีถึงอิทธิพลของดวงจันทร์ที่มีต่อ ระดับน้ำทะเล ส่วนฉายาเทพผู้มีดวงเนตรเจิดจ้านั้นได้มาจากคำว่า NIN.IGI.KU อันแปลว่าเทพผู้มีดวงตาเจิดจ้าในภาษาสุเมเรียน

แผนพัฒนาดินแดนเป็นไปอย่างรุดหน้า เทพเจ้าร่วมกันแปรสภาพภูมิประเทศที่เป็นทะเลและแม่น้ำให้เป็นพื้นที่ที่ เหมาะต่อการอยู่อาศัย E.A. ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในแผนพัฒนาที่พาเหล่าประชากร "...จับคราดและคันไถ ขุดร่องดินอันศักดิ์สิทธิ์ ทำกสิกรรม ริเริ่มการค้าขาย พัฒนาด้านการปศุสัตว์..." ข้อความเหล่านี้เอามาจากส่วนหนึ่งของเอกสารโบราณชื่อ Enki and the World Order นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาศิลปกรรมบนแผ่นอิฐเผา การก่อร่างสร้างเมืองและการแปรโลหะอีกด้วย

เรื่องการสร้างโลกของเทพมีอยู่ในทุกอารยธรรมโบราณ แต่ของชาวสุเมเรียนนี่น่าประทับใจเป็นพิเศษครับ เพราะบทบาทของเทพที่กล่าวถึงในจารึกโบราณนั้นกล่าวถึงการอยู่ร่วมกันระหว่าง เทพและมนุษย์ ทรงเป็นผู้นำของสังคม เป็นตัวแทนของเทพบนสวรรค์ลงมาชี้นำชาวโลก เรียกว่าเล่นบทเหมือนมิชชันนารีในสมัยศตวรรษที่ 18-20 เลยทีเดียว บทบาทของเทพเจ้าสุเมเรียนนี้ยังถ่ายทอดมาสู่คัมภีร์ไบเบิลในภายหลัง ตอนนี้นักโบราณคดีส่วนใหญ่เริ่มยอมรับแล้วครับว่าเนื้อหาของไบเบิลส่วนหนึ่ง มาจากตำนานของชาวสุเมเรียน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของโนอาห์กับน้ำท่วมโลกนี่แหละ

ชาวสุเมเรียนกับอัคเคเดียนมีความเชื่อแบบเดียวกับคัมภีร์พันธสัญญาเก่าว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีลักษณะเหมือนพระเจ้าทั้งด้านกายภาพและอุปนิสัย จารึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึงหลักและกระบวนการสร้างมนุษย์ไว้อย่างละเอียด โดยมี E.A. ผู้ทรงความรู้คอยชี้นำให้กับ Adapa(หมายถึงมนุษย์) ผลผลิตของความรู้จากเทพ E.A. สิ่งเดียวที่ทำให้มนุษย์ต่างไปจากพระเจ้าคือชีวิตอันอมตะ ซึ่งสภาเทพแห่งสวรรค์เป็นผู้ลงมติว่ามนุษย์ไม่ควรได้รับสิทธิ์นี้

E.A. หรือ Enki ถึงกับขัดแย้งกับสภาเทพด้วยเรื่องของมนุษย์ เทพองค์นี้เข้าข้างมนุษย์อยู่ตลอดเวลา เหตุผลแรกมองเห็นค่อนข้างชัดเจนครับ เพราะมนุษย์คือผลผลิตที่ Ea มีส่วนร่วมในการสร้างขึ้น ส่วนเหตุผลแฝงเร้นนั้นอยู่ที่เรื่องของอำนาจในหมู่เทพ ว่ากันว่า Ea ทำเช่นนี้เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับพี่น้องร่วมบิดาของตน Enlil

ตามบันทึกกล่าวไว้ว่า Enlil มีสิทธิ์ในการสืบทอดอำนาจจาก Anu อย่างชอบธรรม ถ้าพูดอย่างไบเบิลก็ต้องกล่าวว่ามีสิทธิ์ในการเป็นลูกหัวปี
ทว่า Enki เองก็เคยรำพันเอาไว้ในทำนองว่า "เราคือเมล็ดพันธุ์อันสมบูรณ์กว่า เราคือบุตรหัวปีของ Anu" คำพูดประโยคนี้น่าคิดนะครับ เป็นไปได้ไหมว่า Enki เกิดก่อน Enlil แต่ว่าเป็นบุตรที่เกิดจาก Anu กับเทพธิดาองค์อื่นซึ่งไม่ใช่ชายาตามกฏหมาย Enki จึงพลาดสิทธิ์ของการเป็นรัชทายาทของเทพบิดร Anu ไป

sumer-dq-02.jpg

เทพ Ninurta และจารึกว่าด้วยวีรกรรมแห่งเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน


อย่างรู้ฐานะตน Enki ยอมรับ Enlil ในเรื่องสิทธิ์แห่งรัชทายาท ยอมทำงานร่วมในสภาเทพอย่างไม่มีข้อขัดแย้ง ด้วยความที่เทพทั้งสองเป็นเทพที่ปราดเปรื่อง มีฤิทธานุภาพทัดเทียมกัน เทพหลายองค์ในสภาได้แต่หวั่นอยู่ในใจว่าภัยซ่อนเร้นของสภาเทพสุเมเรียนอาจกำลังเกิดขึ้น แล้วก็จริงเสียด้วยครับ เพราะสงครามอันเนื่องมาจากกองทัพโคลนจู่โจมได้เกิดขึ้นบนโลกในเวลาต่อมายังกะ Star Wars เด๊ะเลย เดี๋ยวผมค่อยเล่าในบทต่อๆไปนะครับ

Enki เก็บความเจ็บช้ำใจเอาไว้เงียบๆ เขามีความอดทนพอๆกับความรอบรู้ Enki ตัดสินใจไม่งัดข้อกับสภาเทพเพราะรู้ดีว่าฐานอำนาจของตนยังไม่พร้อม Enki ตั้งความหวังว่าบุตรชายของตนต้องเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่กว่าบุตรของ Enlil และประสบชัยชนะในการชิงอำนาจของผู้นำสภาพเทพรุ่นที่สาม Enki ตัดสินใจแต่งงานกับน้องสาวต่างมารดาของตนนาม NIN.HUR.SAG (นินหุรเซจ - lady of the mountainhead - เทวีแห่งภูผา) ซึ่งนางเองก็เป็นธิดาของ Anu เช่นเดียวกัน แต่มิได้ถือกำเนิดจากเทวี Antu ชายาตามกฏหมายขององค์บิดรเทพ (หัวอกเดียวกันว่างั้นเถอะครับ ว่าแต่อ่านแล้วนึกถึงความสัมพันธ์ของโอสิริส - ไอซิส - เซธ และเนฟธิสแห่งอียิปต์ไหมครับ?)

แต่เหมือนฟ้าแกล้ง Enki กับ Ninhursag มีทายาทเป็นธิดาแทนที่จะเป็นโอรส...

จารึกสุเมเรียนกล่าวไว้ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของเทวี Ninhursag โดยมีเทพ Enki คอยให้คำปรึกษาและออกแบบ หน้าที่ของ Ninhursag ตอนอยู่บนโลกมนุษย์คือเป็นหัวหน้าเหล่าพยาบาลคอยเยียวยาเทพที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงเท่านั้นนะครับ นางได้รับการยกย่องจากหมู่เทพจำนวนมากให้เป็นเจ้าแห่งการคิดค้นโอสถสมุนไพร นักโบราณคดีลงความเห็นว่าบทบาทของนางในตำนานคล้ายคลึงกันมากกับเทพธิดาที่ ชื่อ NIN.TI (นินติ - lady life - พระแม่แห่งชีวิต)

เนื่องจากได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์นี้เอง ในบางครั้งคนโบราณเรียกชื่อเล่นของนางว่าเทวี Mammu (ต้นแบบของคำว่า Mom หรือ Mamma ที่เก่าแก่ที่สุด ^^!) นางมีสัญลักษณ์เป็นมีดเล่มบางอันเป็นอุปกรณ์ที่หมอตำแยเอาไว้ตัดสายสะดือ เด็กในตอนทำคลอด

Enlil พี่น้องและคู่แค้นของ Enki กลับโชคดีกว่าที่มีโอกาสได้โอรสกับน้องสาวของตน Ninhursag เทพผู้อายุเยาว์ที่สุดในสภาเทพได้ถือกำเนิดขึ้น นามของเขาคือ NIN.UR.TA (นินอุรตา - lord who completes the foundation - เจ้าผู้สถาปนา)

ภาพวาดโบราณของ Ninurta สร้างความประหลาดใจให้นักโบราณคดีตามสมควร เพราะเทพองค์นี้ทรงอาวุธประหลาดไม่เหมือนใคร เพราะอาวุธนี้สามารถยิงสายฟ้าได้ด้วย Ninurta ใช้อาวุธนี้ต่อสู้กับ ZU (ซู - wise - ผู้รอบรู้) ซึ่งบังอาจแข็งข้อหมายประทุษ Enlil ผู้นำแห่งสภาเทพเจ้า Zu ก็มีของดีเช่นเดียวกันครับเป็นพาหนะบินได้ที่เรียกว่า MU (แปลว่าชื่อหรือ name) ลักษณะของ Mu ที่กล่าวถึงในจารึกโบราณนั้นเทียบชั้นได้กับเครื่อง Air Force One ในปัจจุบันได้เลยแหละ ^^

butt.gif ZU วิหคแห่งตำนาน

Zu - ซู เป็นตัวตนที่ถูกอ้างถึงในบันทึกวีรกรรมของนินอุรตา ตัวตนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทนกในตำนานใช่หรือไม่ ผมว่าไม่ครับ แม้ว่า Zu จะมีความสามารถบินไปในอากาศได้แต่จากคำบรรยายในจารึกทำให้เรามองภาพว่าตัว ของ Zu น่าจะอาศัยยานพาหนะประเภทเครื่องบินในการเดินทางทางอากาศ เทพหนุ่ม Ninurta ของเราก็ใช่ย่อยเพราะบินได้เหมือนกันเผลอๆเก่งกว่า Zu ด้วย สรุปว่าตัวตนผู้กล้าท้าทายผู้นำเทพตนนี้ไม่ใช่นกก็แล้วกันครับ คำพรรณาในจารึกกล่าวถึงคู่หูของ Zu นามว่า BA.U(บาง ครั้งเรียก GU.LA) ซึ่งทำหน้าที่คล้ายเนวิเกเตอร์หรือนักบินผู้ช่วยของ Zu ทำไมผมสงสัยว่า Zu ใช้เครื่องบินเป็นยานพาหนะทราบไหมครับ?

ก็เพราะในจารึกกล่าวว่า Zu สามารถเดินทางไปไหนมาไหนด้วยสัญลักษณ์รูปนกซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในเขตหวงห้าม (GIR.SU) ในเมืองลากาช แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เครื่องบินที่ถูกจอดไว้ในโรงเก็บ มียามคอยอารักขาอย่างแน่นหนาในยามที่ไม่ใช้งาน

ur_01.jpg

ภาพจำลองนครรัฐ Ur สมัยรุ่งเรืองโดยนักโบราณคดี


เอาล่ะครับ ผมขอเล่าเรื่องต่อเพื่อให้คุณฟุ้งซ่านขึ้นไปอีก บันทึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึงเนื้อเรื่องที่เทพ Ninurta กับวิหค Zu (ก็ไหนว่าไม่ใช่นกไงเล่า ^^) ทำการสัปประยุทธกันบนอากาศในแบบดอจไฟท์ โปรดจินตนาการว่ามีเสียงออเคสตราประกอบภาพยนตร์เรื่อง Top Gun ดังกระหึ่ม ขณะที่สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งสองโฉบเฉี่ยวเพื่อหาช่องว่างเล่นงานฝ่ายตรงข้าม อาวุธเด็ดที่ Ninurta ใช้สอยวิหค Zu ร่วงจากฟ้ามีชื่อว่า TIL(หรือ til-lum ใน ภาษาอัสสิเรียน) หนังสือต้นฉบับแสดงรูปของอาวุธที่มีลักษณะเป็นเส้นตามแนวนอน มีกิ่งก้านคล้ายประกายไฟที่ส่วนท้าย สำหรับหัวของอาวุธนั้นเป็นรูปโคนกรวยค่อนข้างยาว อ่านแล้วนึกถึงอาวุธชนิดไหนในปัจจุบันครับ?

อ้อ... ชาวฮีบรูว์(ยิวโบราณ)ชนชาติผู้ได้ชื่อว่าสืบทอดวัฒนธรรมมาจากสุเมเรียนนั้นก็มีศัพท์โบราณคำว่า til ใช้อยู่ด้วยเช่นกัน til ในภาษาฮีบรูว์แปลว่า Missile หรือจรวดครับ :)

Zu เป็นหนึ่งในเทพโบราณอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจาก Zu ก่อการแข็งข้อต่ออาณาจักรของ Enlil เทพ Ninurta ในฐานะรัชทายาทโดยชอบธรรมจึงจำเป็นต้องแสดงสปิริตด้วยการต่อสู้กับเทพอัน เป็นวงศ์วานว่านเครือเดียวกัน มาถึงตรงนี้คุณอาจสงสัยว่า Zu ผู้นี้เป็นเทพองค์ใดของสุเมเรียนเนื่องจากชื่อนี้ฟังไม่คุ้นหูเลย

สุเมเรียน-อัสสิเรียน-บาบิโลเนียน ทั้งสามชนชาติมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นในเรื่องอารยธรรม ในด้านเทพตำนานก็มีอยู่ไม่น้อยที่กล่าวพ้องต้องกันในด้านเนื้อเรื่อง ต่างกันเฉพาะชื่อของเทพเจ้าซึ่งออกเสียงไปตามภาษาของชนชาติตน มีนักโบราณคดีบางคนสงสัยว่า Zu อาจหมายถึง Marduk - มาร์ดุค มหาเทพแห่งอัสสเรียน แต่หลายกระแสค้านมาว่าไม่ใช่

เทพสุเมเรียนที่มีพฤติกรรมใกล้เคียงกับ Zu มากที่สุดคือเทพองค์หนึ่งที่มีนามว่า Nanna - นันนา โอรสของ Enlil ที่เกิดกับชายาเอก Ninlil - นินลิล (อย่าลืมว่ามารดาของ Ninurta ที่รบกับ Zu คือ Ninhurzag) ถ้ากำจัด Ninurta ลงได้สิทธิในการครองบัลลังก์ของสภาเทพก็จะตกอยู่แก่ Nanna โดยชอบธรรม


SumerianZiggurat.jpg

ซิกกูรัตของชาวสุเมเรียน ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเหมือนจริงๆ


Nanna (เขียนเต็มๆคือ NAN.NAR แปลว่าผู้เจิดจรัส) กลับไปมีบทบาทในตำนานของชาวอัคเคเดียนหรือเซมิติค ชื่อในภาษานั้นของเขาเอ่ยไปคุณก็ต้องร้องอ๋อ เพราะ Final Fantasy X ที่เพิ่งผ่านไปก็มีบทบาทของเทพองค์นี้อยู่ด้วย เทพโบราณแห่งความกราดเกรี้ยวที่มีนามว่า Sin - ซิน

ถึงอย่างนั้น Nanna เองทรงมีคุณูปการต่อมนุษย์อยู่มาก โดยเฉพาะที่นครรัฐเออร์ (Ur) ที่ซึ่ง Nanna ทรงนำความรู้และความเจริญมาให้ เทพองค์นี้กลายเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ในสายตาของชาว Ur เนื่องจากเป็นผู้พัฒนาระบบการเก็บผลผลิตตลอดจนระบบการขนส่งเสบียงให้กับ ปราสาทหรือวิหารอื่นๆในบริเวณใกล้เคียง

ข้อพิสูจน์ที่นักโบราณคดีเอา Nanna มาผูกเข้ากับ Zu ก็คือชื่อครับ คำว่า Sin อันเป็นอีกชื่อหนึ่งของเทพองค์นี้กร่อนมาจากคำว่า SU.EN ซึ่งออกเสียงแบบสุเมเรียนหน่อยๆว่า ZU.EN ซึ่งหมายถึง "Lord Zu"

หลักฐานจากทั้งจารึกสุเมเรียนและทางโบราณคดีสรุปออกมาพ้องต้องกันว่า เพื่อสร้างฐานอำนาจใหม่ Nanna/Sin กับชายาได้พาเหล่าสาวกหนีไปตั้งหลักอยู่ที่ฮาราน นครรัฐแห่งหนึ่งของชาว Hurrian นครแห่งนี้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเพราะมีแม่น้ำและทิวเขาอันเป็นปราการธรรมชาติล้อมรอบอยู่

butt.gif Inanna and Utu.... Zu/Sin's Children....

ชายาของ Sin มีนามว่า Ningal - นินกัล ทั้งคู่ให้กำเนิดทายาทเป็นแฝดหญิงชายคู่หนึ่ง และถูกคนโบราณรวมเข้าไว้ในฐานะทายาทของราชวงศ์เทพด้วย ทายาทองค์โตเป็นเทพีนามว่า Inanna - อินอันนา ส่วนคนเล็กนาม Utu - อูตู ว่ากันตามความจริงแล้ว Inanna ถือกำเนิดก่อนครับ แต่ด้วยความเป็นสตรีสิทธิของการเป็นรัชทายาทของ Sin จึงตกอยู่แก่ Utu ผู้เป็นอนุชาไป

รัชทายาท Utu (รูปด้านขวามือ)มีเมืองในปกครองแถบนคร Sippar - สิปปาร์ อันเป็นเมืองแห่งแรกๆที่เทพของสุเมเรียนสถาปนาขึ้น เมื่ออารยธรรมเริ่มรุ่งเรืองและมนุษย์เข้ามาเป็นสาวกใต้อาณัติแห่งเทพเจ้า รัชทายาทองค์นี้ได้กลายเป็นบิดาแห่งกฏหมายของสุเมเรียนไป เดิมมีกฏอยู่ส่วนหนึ่งที่ถูกตราขึ้นโดย Anu กับ Enlil เทพ Utu นี่แหละครับที่เป็นองค์ประธานในการประมวลชำระกฏหมายเหล่านี้เสียใหม่ โดยทูลขอราชานุญาตจากเทพบิดรทั้งสององค์ที่กล่าวมา กระทั่งพระเจ้าฮัมมูราบีกษัตริย์ แห่งบาบิโลเนียนผู้ลือชื่อจากกฏหมายประเภท "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" เองก็ยังถือองค์ Utu เป็นเทพประจำพระองค์ กฏหมายส่วนหนึ่งของบาบิโลเนียนโบราณถอดแบบมาจากประมวลกฏหมายของ Utu ครับ :)

คิงฮัมมูราบีเรียกพระนามของ Utu ตามภาษาอัคเคเดียนว่า Shamash - ชามาช (อันมีความหมายในภาษาเซมิติคว่า Sun - พระอาทิตย์) คนโบราณเขียนสัญลักษณ์แทนเทพองค์นี้ด้วยวงกลมขนาดใหญ่คล้ายดวงอาทิตย์ ตัวของ Utu เองมักแสดงอภินิหารด้วยการเปล่งแสงเจิดจ้าออกจากร่างกายบ่อยๆ(นับว่าเป็นการ เร่งเร้าพลังแบบหนังจีน ^^) เทพองค์นี้ได้รับความไว้ใจจาก Enlil ให้เป็นตัวแทนในการทำเทวกิจของพระองค์อยู่เนืองนิจ

เทพ Utu ถือเป็นบิดาแห่งหลักนิติศาสตร์ในขณะที่ด้านวรรณกรรม ศิลปะเพื่อการจรรโลงใจ การพยากรณ์ รวมถึงศาสตร์แห่งจิตนั้น ชาวสุเมเรียนโบราณยกให้เป็นศาสตร์ของเทวี Inanna ซึ่งคอการ์ตูนคงรู้จักเธอในชื่อเทวีอิชตาร์อันเป็นคำในภาษาอัคเคเดียนมากกว่าครับ (เห็นบางสำนวนแปลอ่านว่าอิชูตัล ผมล่ะอยากบ้าตาย)

butt.gif Inanna and Utu.... Zu/Sin's Children....(ต่อ)

เทวีผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดนับแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน ชื่อของเธอในภาษาโรมันคือวีนัส(Venus), ในภาษากรีกว่าอโฟรไดต์(Aphrodite), ชาวคานาอันไนต์กับฮีบรูว์เรียกเธอว่าแอชตาแต(Ashtarte), ชาวอัสสิเรียน-บาบิโลเนียน-ฮิตไทต์และประชาคมในบริเวณใกล้เคียงเรียกเธอว่า อิชตาร์หรือเอชดาร์(Ishtar or Eshdar), ส่วนในภาษาสุเมเรียนและอัคเคเดียนชื่อของเธอคือ Inanna หรือ Innin หรือ Ninni

Innana มีฉายาอีกมากมายจำไม่หวาดไหว เธอเป็นเทพธิดาแห่งสงครามและความรัก(ควบสองตำแหน่ง) เธอเป็นเทวีที่อารมณ์ร้ายที่สุดและสวยงามที่สุดในเวลาเดียวกัน และด้วยความเป็นหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของเทพบิดร Anu เธอจึงเบียดตังเองขึ้นทำเนียบเทพองค์สำคัญแห่งสภาพเทพของสุเมเรียนได้อย่าง ไม่ยากนัก

หน้าที่ของ Innanna คือดูแลวิหารของ Anu ในนคร Uruk แม้ เธอได้รับการยอมรับในฐานะเทพธิดาแห่งนครอูรุกและเป็น Anunitum (beloved of Anu - ที่รักของอานู) ที่เทพองค์ใดเห็นเป็นต้องอิจฉาก็ตาม Innanna กลับไม่พอใจเพียงเท่านั้น เธอต้องการเปลี่ยนจุดยืนของนคร Uruk เสียใหม่ให้เข้มแข็งเป็นศูนย์กลางอำนาจมากกว่านี้ ในสมัยนั้นนครที่รุ่งเรืองที่สุดของซูเมอร์คือ Eridu ของเทพ Enki ว่ากันว่าความลับแห่งปัญญาของ Enki ล้วนอยู่ที่นั่น เพื่อให้ได้มาซึ่งความลับนั้น Inanna ใช้สติปัญญาอย่างเต็มกำลังเพื่อที่จะขอ ยืม หรือแม้กระทั่งฉกชิงความลับแห่งปัญญานั้นมา

ดังนั้น Inanna จึงวางแผนเข้าพบเทพผู้ใหญ่อย่าง Enki...

innanna-in01.jpg


อาศัยการฉอเลาะแบบเด็กหญิงนิดหน่อย คอยรินเหล้าเอาใจเล็กๆน้อยๆ เทพ Enki ก็ใจอ่อนตกลงรับปากจะทำอะไรก็ได้เพื่อเธอหนึ่งเรื่อง Inanna ไม่รอช้าที่จะขอสูตรศักดิ์สิทธิ์จาก Enki สูตรศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวเป็นความลับทางเทคโนโลยีของ Enki ครับ ว่าด้วยเรื่องการปกครอง อุตสาหกรรม การผลิตอาวุธ และเทคโนโลยีอื่นๆที่ Enki ทรงใช้พัฒนานครเอริดูซึ่งตามปกติใครที่ไหนเขาจะให้กัน เทพผู้ใหญ่องค์นี้ทำไปเพราะความเมาแท้ๆ

ภายในเวลาไม่นานนัก Enki ฟื้นจากอาการมึนเมา ทรงรำลึกได้ว่าตัวเองพลาดท่าเด็กสาวเข้าให้เสียแล้ว Enki ได้บัญชาทหารของตนตามไปจับตัว Inanna มาโดยด่วน เพราะเธอไม่ได้หยิบไปเฉพาะสูตรศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นน่ะซีครับ เธอเอาอาวุธมหาประลัย (awesome weapons) ของเทพ Enki ติดมือไปด้วย

Enki โกรธจนหนวดกระดิกเมื่อทหารกลับมารายงานว่าทุกอย่างช้าไปเสียแล้ว Inanna เร่งความเร็วเรือสวรรค์ (Boat of Heaven) ของนางชนิดไม่มีเรือลำไหนในกองเรือของ Enki บินตามไปทัน

butt.gif The Sons of the Gods....Their alloted numbers....The Anunnaki....
เทพ Enki มีโอรสทั้งหมด 6 องค์ สามในหกเป็นเทพที่มีบทบาทยิ่งในตำนานสุเมเรียน โอรสองค์แรกคือ Marduk - มาร์ดูคผู้กลายเป็นเทพเหนือเทพในเวลาต่อมา, Nergal - เนอร์กาลเจ้าแห่งแผ่นดินทางตอนล่าง และ Dumuzi - ดูมูซี ซึ่งเป็นคู่สมรสของ Inanna เทวีจอมแสบ

innanna-in02.jpg


โอรสทั้งสามองค์ของ Enlil ก็มีบทบาทต่อสุเมเรียนโบราณไม่แพ้กัน Ninurta รัชทายาทผู้เกิดกับเทวี Ninhursag ผู้เป็นขนิษฐาแท้ๆของเอนลิล, Nanna/Sin บุตรหัวปีที่แท้จริงผู้เกิดกับชายาเอก Ninlil, และสุดท้ายคือ ISH.KUR - อิชกูร์ พี่น้องร่วมมารดาของ Nanna/Sin บ่อยครั้งที่ชาวสุเมเรียนจะเรียกนามของเทพองค์นี้ว่า Adad - อาดัด ซึ่งแปลว่าอันเป็นที่รัก

...ตำนานบ่งบอกกับเราเป็นนัยๆว่า Ishkur(Adad) และ Inanna ชอบพอกันอยู่ตั้งแต่ต้น

Ishkur เป็นเทพผู้สง่างาม ทรงเป็นเพลย์บอยพอๆกับเทพเซอุสของชาวกรีก แต่ก็ใช่ว่าพระองค์จะทรงโฉบฉายไปวันๆอย่างไม่มีสาระ เทพ Ishkur ได้รับการถ่ายทอดพลังจาก Enlil ผู้บิดาให้อยู่ในฐานะของเทพแห่งพายุ นักโบราณคดีรู้จักเทพองค์นี้ดีพอสมควรครับ เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งสักการะอย่างสูงของหลายชนชาติในแถบนั้น เช่น เป็นเทพ Teshubu(Wind blower - ผู้โบกวายุ) ของชาวฮิตไทต์, เป็นเทพ Ramanu(Thunderer - ผู้สั่งอสนี) ของชาวอามอไรต์, ชาวคานาอันไนต์เรียกพระองค์ว่า Ragimu ส่วนชาวเซมิติคขนานนามพระองค์ให้เป็นผู้เจิดจรัสแห่งท้องฟ้าหรือ Meir

ตำแหน่งของวงศ์วานแห่ง Anu, Enlil และ Enki ในราชวงศ์เทพของชาวสุเมเรียนมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการให้ตำแหน่งแก่เทพองค์ต่างๆโดยการแทนด้วยตัวเลข ซึ่งจากการค้นพบระบบตัวเลขนี้เองทำให้นักโบราณคดีเข้าใจแนวคิดของชาวสุเม เรียนเกี่ยวกับเทพเจ้า ในช่วงที่อารยธรรมของชนชาตินี้รุ่งเรืองถึงที่สุด พวกเขามีเทพหลักอยู่ 12 องค์เท่ากันกับเทพแห่งโอลิมปัสของชาวกรีกเด๊ะ

เราพบว่าสัญลักษณ์แห่งเทพสูงสุดประกอบด้วยเทพ 12 องค์(ซึ่งเป็นที่มาของทฤษฏีดาวเคราะห์ 12 ดวงที่ผมจะกล่าวถึงในภายหลัง) เทพแต่ละองค์ถูกแทนด้วยตัวเลขในระบบตัวเลขของพวกเขาซึ่งปัจจุบันเราก็ยังใช้ กันอยู่ ถูกแล้วครับเลขฐาน 60 นั่นเอง

เลขอันเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของระบบนี้(ในแนวคิดของพวกเขา)คือเลข 60 ถูกยกให้แก่บิดรเทพ Anu, เลข 50 และ 40 ถูกยกให้แก่ Enlil กับ Enki สองพี่น้องตามลำดับ, เทพ Ishkur/Adad อยู่ที่ตำแหน่งของเลข 10 เป็นต้น

ความเป็นระบบอีกอย่างของสัญลักษณ์แห่งเทพนี้ก็คือ เทพเจ้าที่เป็นชายจะอยู่ในตำแหน่งของตัวเลขที่หารด้วย 10 ลงตัว(เมื่อเอา 60 เป็นตัวตั้ง) ส่วนเทพเจ้าที่เป็นเทวนารีจะอยู่ในตำแหน่งที่สามารถหารได้ด้วย 5 ดังตารางด้านล่าง


Male                        Female
60 – Anu                 55 – Antu
50 – Enlil                 45 – Ninlil
40 – EA/Enki           35 – Ninki
30 – Nanna/Sin       25 – Ningal
20 – Utu/Shamash  15 – Inanna/Ishtar
10 – Ishkur/Adad    05 – Ninhursag


ชาวสุเมเรียนเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีเทพเจ้าในความสักการะมากมายนับกันไม่ หวาดไม่ไหว แถมเทพ Anu ก็ทรงมีวงศ์วานเยอะเหลือเกิน นับเฉพาะเท่าที่มีรายนามในจารึกโบราณก็ร่วมร้อยแล้วครับ เพียงแต่เทพที่ถูกยกให้เป็นเทพสูงสุดจริงๆนั้นมีกันอยู่เพียงแค่ 12 องค์เท่านั้น นับว่าคล้ายกันกับชาวกรีกในยุคหลังเป็นอย่างมาก

arwrt_2.gif Chapter Five: THE NEFILIM, People of The Fiery Rockets

งานเขียนของสุเมเรียนและอัคเคเดียนโบราณแสดงความเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่า พระเจ้าโบราณของพวกเขาเสด็จลงมาจากสวรรค์ ทำการพัฒนาสิ่งแวดล้อม สถาปนานคร รวมทั้งสร้างสังคมอันเป็นปึกแผ่นให้กับบรรพชนของพวกเขา เป็นที่น่าสังเกตอยู่อย่างว่าปาฏิหารย์ของเทพเจ้าในงานเขียนของพวกเขานั้น มีอย่างหนึ่งซึ่งสอดคล้องต้องกันและเป็นสิ่งที่คนโบราณกล่าวถึงอย่างไม่ ประหลาดใจ ราวกับว่าพวกเขาเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเสียจนชิน

ปาฏิหารย์ดังกล่าวคือการบินครับ...

innanna-in03.jpg


Inanna เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จารึกโบราณกล่าวถึงการบินของเธอบ่อยว่า เทวีองค์นี้สามารถท่องเที่ยวไปทั่วสวรรค์ เดินทางจากแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่งได้อย่างไม่มีข้อจำกัด บางดินแทนที่เธอไปเยือนนั้นเป็นที่ๆมนุษย์ไม่สามารถไปถึงได้ เพราะต้องเดินทางด้วยการบินไปทางอากาศเพียงอย่างเดียว

ฟังดูเป็นตำนานธรรมด๊าธรรมดานะครับเพราะเทพของชาติไหนก็บินได้ทั้งนั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกสักนิด

พูดอย่างนั้นมันก็ใช่ แต่อย่าลืมเสียว่าเทพของชาวสุเมเรียนค่อนข้างต่างไปจากเทพของชนชาติโบราณ อื่นๆ เราเปรียบเทียบประเด็นนี้ได้จากภาพวาดของคนโบราณครับ เทพ(หรือทูตสวรรค์)ในความเชื่อของคนโบราณมักมีปีกกับรัศมีเป็นสัญลักษณ์ เทพเหล่านี้ไปไหนมาไหนทีก็อาศัยปีกของตนนั่นแหละบินไป รูปของเทพในลักษณะนี้เชื่อว่าชาว Myth คงเคยผ่านตากันอยู่บ้าง

หันมาดูเทพของสุเมเรียนโบราณบ้าง จากภาพวาดหรือจารึกโบราณแสดงให้เราเห็นว่าพวกเขาก็มีปีกเช่นกัน แต่เป็นปีกที่ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเหมือน เทพของชาติอื่น พูดง่ายๆคือปีกเหล่านั้นไม่ได้งอกออกมาจากกลางหลังหรือช่วงไหล่ หากแต่ติดเข้าไปในลักษณะของออปชั่นคอสเพลย์ เอ๊ย... ในลักษณะของเครื่องแต่งกายประเภทหนึ่งต่างหาก

เหมือนชุดเจ็ทขนาดเล็กสำหรับนักบินในปัจจุบันว่างั้นเหอะ...

ส่วนใหญ่ Inanna จะเดินทางไปเยี่ยมน้องสาวคือเทวี Ereshkigal - เอเรชคิกัล ที่อาณาจักรของเธอใน Lower Land (โลกล่าง - หมายถึงแอฟริกา) การเดินทางของ Inanna มิเพียงทำให้นักโบราณคดีต้องทึ่งกับบทกวีซึ่งบรรยายไว้อย่างไพเราะเท่านั้น แต่ยังสร้างความพิศวงในส่วนของรายละเอียดแห่งการเดินทางนั้น ถ้าเราตัดอภินิหารและจินตนาการออกไปเราจะพบว่า สิ่งที่จารึกโบราณบอกเล่ากับเรานั้น คือรายละเอียดของการเดินทางด้วยการบินจากดินแดนซูเมอร์ไปยังแอฟริกาด้วย อุปกรณ์บางประเภท จารึกกล่าวถึงอุปกรณ์ 7 ชิ้นซึ่งเทวี Inanna สวมใส่ก่อนทะยานข้ามฟ้าไปยังอาณาจักรของ Ereshkigal อุปกรณ์เหล่านั้นดูคล้ายส่วนประกอบของชุดนักบินอย่างที่สุด แต่ละชิ้นก็มีชื่อเฉพาะของมัน เช่น Shugarar ที่หมายถึงหมวก, เกราะหุ้มไหล่สองชิ้น รวมไปถึงชุด(นักบิน)ที่เรียกว่า Pala อีกด้วย

เทวี Inanna ให้คำอธิบาย(ไว้ในจารึก)ว่าเครื่องประดับเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของภัสตรา ภรณ์แห่งฟ้า (Celestial Garment) ซึ่งเธอต้องสวมใส่ก่อนเดินทางไกลด้วยเรือแห่งสวรรค์(Boat of heaven)

ตามปกติ Inanna ไม่ทรงแต่งกายพิศดารปานนี้หรอกครับ ชุดประกอบอุปกรณ์ที่ว่ามานี้ใช้เฉพาะเวลาที่เธอต้องบินเท่า นั้น นักโบราณคดีผู้สำรวจวิหารของ Inanna ใน Ashur ต่างรู้สึกประหลาดใจกับรูปเทพธิดาผู้ทรงหมวกรัดศีรษะ มีหูฟังครอบสองด้านแต่ละด้านมีเสาคล้ายเสาอากาศเล็กๆโผล่ขึ้นมา แถมมีแว่นตาอันเบ้อเริ่มเป็นส่วนประกอบของหมวกเสียด้วย เห็นจะไม่ต้องพูดอะไรมากนะครับว่าถ้าคุณเกิดเห็นใครใส่หมวกลักษณะอย่างนี้ เข้า คุณจะคิดว่าเขาเป็นอะไรถ้าไม่ใช่นักบิน


butt.gif The Anunnaki's Rockets
มีจารึกของพระเจ้าเนบูคัดเนซซาที่ II ที่พรรณาถึงความพยายามในการบูรณะกระโจมโบราณแห่งหนึ่งในนครบาบิโลน กระโจมโบราณดังกล่าวเคยเป็นที่เก็บรถสวรรค์ของเทพ Marduk มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ของชาวบาบิโลเนียน(ทรงเป็นโอรสของ Enki) เป็นหนึ่งในเจ็ดปราการสำคัญที่คอยปกป้อง ME ทั้งเจ็ดแห่งสวรรค์และโลก คำว่า ME - มี หมายถึงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลานุภาพครับ ในวรรณคดีของชนชาติโบราณขยายความคำๆนี้ว่าเป็นวัตถุซึ่งสามารถแหวกว่ายอยู่ บนท้องฟ้า แหม... นึกยังไงก็คงไม่ใช่ปลาบินหรอกนะ

ในเทพนิยายกรีกเรื่องหนึ่งกล่าวถึงอิคารัสผู้ สามารถบินบนท้องฟ้า โดยอาศัยปีกขนนกที่เชื่อมเข้ากับร่างกายโดยขี้ผึ้ง แนวคิดนี้ชาวกรีกอาจได้รับการถ่ายทอดมาจากตะวันออกกลาง เพราะเทพเจ้าของแถบนั้นก็มีความสามารถในการบินด้วยการติดอุปกรณ์ประเภทปีก เข้ากับชุด(นักบิน)เช่นกัน แต่ก็นั้นแหละครับอย่าเพิ่งคล้อยตามผมนัก สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงจินตนาการของคนโบราณเท่านั้น แม้ว่าหลายต่อหลายตอนในจารึกโบราณชวนให้เรานึกฝันเหลือเกินว่า เทพเจ้าเหล่านั้นสามารถบินไปบนท้องฟ้าด้วยอุปกรณ์ไฮเทคประเภทเครื่องเจ็ท ปีกในตำนานอาจเป็นเพียงสัญลักษณ์ของนักบินเท่านั้น เวลาที่บินจริงๆเทพเจ้ายังต้องอาศัยเครื่องบินบินไปเหมือนพวกเราในปัจจุบัน นี่แหละ


sumer-dq-03.jpg


ซ้าย:การสร้างเทวสถานของเนบูคัดเนซซาที่2 ขวา: Gudea ผู้รับเทวบัญชาให้สร้างโรงเก็บอากาศยานให้เทพเจ้า


ราวสองพันปีก่อนหน้านั้น Gudea -กูเด ผู้นำชาวสุเมเรียนโบราณได้สั่งให้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่ออุทิศแด่เทพ Ninurta ซึ่งเขาเขียนบันทึกไว้ว่ามาปรากฏตัวต่อหน้าเขา "ด้วยรัศมีอันเรืองโรจน์ ด้วยหมวกที่บุรุษผู้นั้นสวมใส่ เขาคือเทพเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย" ประหลาดดีนะครับ คนโบราณเค้าแยกมนุษย์กับเทพเจ้าออกจากกันด้วยลักษณ์ของหมวกหรือ เป็นไปได้ไหมว่าพระเจ้าในที่นี้หมายถึงนักบินที่สวมหมวกและชุดนักบินเต็มยศ

Ninurta เสด็จมาพร้อมผู้ติดตามสองคน ตอนที่ Gudea พบพวกเขา มีวิหคสีดำขนาดใหญ่จอดเทียบอยู่ เทพองค์นี้แจ้งวัตถุประสงค์ต่อเขาว่า ต้องการเทวสถานที่อยู่ในเขตปลอดภัย ภายในเทวสถานต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับเก็บวิหคดำตัวนี้

ถ้าเราเชื่อว่าวัตถุ(หรือตัวตน)เหล่านั้นคืออากาศยาน เราต้องเชื่อต่อไปว่าอากาศยานเหล่านั้นมีความสำคัญต่อคนโบราณเป็นอย่างมาก พวกเขายกย่องมันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า เจ้าวิหคดำลำดังดังกล่าวถูกยกให้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ มันถูกปกป้องโดยอาวุธสวรรค์ที่เรียกว่า supreme hunter และ supreme killer ซึ่งจะยิงแสงแห่งความตายเข้าใส่ใครก็ตามที่บังอาจเข้าใกล้วิหคดำก่อนได้รับ อนุญาต

บันทึกของ Gudea ยังกล่าวถึงยานบางประเภทที่ทำหน้าที่ขนส่งนักบินสู่ท้องฟ้า เขาให้ชื่อมันว่าวิหคสวรรค์ซึ่งลงจอดอย่างเที่ยงตรงบนสัญลักษณ์วงกลมที่ทำ เตรียมไว้บนพื้นดินหรือหลังคาวิหาร ในยามที่มันร่อนลงก่อให้เกิดเสียงกึกก้องกัมปนาท เปลวไฟจากวิหคสวรรค์แลบเลียไปทั่วพื้นอิฐที่มันลงจอด สถานที่ที่ใช้เก็บวิหคสวรรค์ฟังแล้วก็เข้าเค้าครับ เพราะบันทึกโบราณเรียกมันว่า MU.NA.DA.TUR.TUR หรือปราการศิลาสำหรับเก็บ MU ถ้ามูหมายถึงอากาศยานปราการศิลาก็ทำหน้าที่เป็นโรงเก็บหรือไม่ก็ลานจอด

อ้อ... ลืมบอกไปว่ายานศักดิ์สิทธิ์ของเทพ Marduk ที่พระเจ้าเนบูคัดเนซซาที่ II ทรงสร้างอนุสรณ์สถานให้นั้นมีชื่อว่า ZAG.MU.KU ครับ :)

arwrt_2.gif Chapter Five: THE NEFILIM,People of The Fiery Rockets (ต่อ)

Mu และ Shem จรวดของคนโบราณ

“I raised the head of the boat ID.GE.UL,
the chariot of Marduk’s princeliness.
The boat ZAG.MU.KU, whose approach is observed,
the supreme traveler between heaven and earth,
in the midst of the pavilion I enclosed, screening off its sides”.


ข้อความด้านบนเป็นข้อความที่คัดมาจากบักทึกของพระเจ้าเนบูคัดเนซซาที่ 2 ซึ่งพรรณนาไว้เกี่ยวกับอากาศยานและการสร้างโรงเก็บ คำว่า ID.GE.UL มีความหมายในทางวรรณคดีว่า "สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า เปล่งแสงสว่างในยามราตรี" เป็นคำที่ใช้อธิบายตัวยยานและนักบินที่มากับยาน ส่วน ZAG.MU.KU นั้นเป็นชื่อของยานซึ่งถูกเก็บไว้ในปราการซึ่งสร้างขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

MU อันหมายถึงวัตถุรูปโคนที่มีปลายแหลมนี้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีภายในวิหารที่ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่เทพเจ้าที่เสด็จลงมาจากท้องฟ้า The Anunnaki... เป็นที่น่าสังเกตว่าเทวสถานที่ถูกสร้างขึ้นเหล่านี้เกือบทุกแห่งไม่ใช่ เทวสถานที่สร้างขึ้นมาครั้งแรก ตรงข้ามพวกมันถูกบูรณะหรือซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ในจุดที่เคยถูกสร้างขึ้นต่างหาก บางแห่งถูกทำลายลงไปเพราะสงครามบ้าง ภัยธรรมชาติบ้าง แต่คนโบราณก็ยังเลือกที่จะสร้างมันขึ้นมา ณ จุดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า จุดเหล่านั้นมีอะไรพิเศษหรือครับ?

anunnakirocket.jpg


ท่านที่สนใจในศาสตร์เฟิงสุ่ย(หรือฮวงจุ้ย)คงพอจะนึกออก บริเวณที่คนโบราณใช้สร้างเทวสถานเพื่อเก็บอากาศยานนั้นต้องเป็นบริเวณที่มี ความสัมพันธ์บางอย่างกับแนวพลังงานโลก (เหมือน Ley lines ในอังกฤษ) เป็นไปได้ไหมครับว่าเชื้อเพลิงที่ให้พลังงานสำหรับอากาศยานเหล่านี้เป็น พลังงานจากโลกของเรา พลังงานบางอย่างที่เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่รู้จัก

นอกจากนี้คำว่า MU ในภาษาสุเมเรียนยังมีความหมายอีกหลายอย่าง ความหมายหลักที่ใช้กันคือ สิ่งที่พุ่งตรงขึ้นไป ส่วนความหมายอื่นที่พอจะพบก็เช่น สูงเสียดฟ้า, ไฟ, ยิง, การออกคำสั่ง เป็นต้น

[attach]693[/attach]ร่องรอยของ Mu ในบันทึกโบราณ

จากการสืบสาวต้นตอของคำว่า Mu ซึ่งถูกพบบ่อยในงานเขียนด้วยอักษรคิวนิฟอร์มของบาบิโลเนียนและอัสสิเรียน นักโบราณคดีพบว่ามันมีที่มาจากอักษรภาพของสุเมเรียนซึ่งถูกเขียนเป็นรูปห้อง ทรงกรวย ในบางรูปมีบทพรรณนาสั้นๆกำกับอยู่ว่า "จากห้องพำนักแห่งสวรรค์ เราจะคอยจับตาดูเจ้า" อันนี้เป็นบทพูดซึ่งเป็นคำรับปากของเทวี Inanna แก่ราชาแห่งมนุษย์ผู้ปกครองสุเมเรียนครับ

บทสวดเก่าแก่ชื่อเพลงสรรเสริญแด่ Inanna บอกเราอย่างชัดแจ้งครับ ว่า Mu เป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากพาหนะที่เทพเจ้าโบราณของชาวสุเมเรียนใช้เดินทาง ระหว่างสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะเดินทางจากฟากฟ้าอันไกลโพ้นมายังโลกมนุษย์ของพวกเรา (ก็เดี๋ยวนี้เป็นของพวกเรา ถึงเมื่อก่อนจะเป็นของพวกเขาก็เถอะ ^^)
Lady of Heaven:
She puts on the Garment of Heaven;
She valiantly ascends towards Heaven.
Over all the people lands
she flies in her Mu
Lady, who in her Mu
to the heights of Heaven joyfully wings.
Over all the resting places
she flies in her Mu.

จากบทสวด: Hymn to Inanna

อักษรภาพของชาวฮิตไทต์เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะมีภาพของจรวดบนฐานยิงซึ่งมีเทพโบราณประทับอยู่ข้างใน จรวดนั้นคล้ายกำลังเคลื่อนที่อยู่เพราะมีเปลวไฟพุ่งจากท้ายจรวด โดยมีดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นฉากหลังของภาพ

กลับมาที่ชาวสุเมเรียนโบราณบ้าง พวกเขาเป็นชาติที่ไม่ขาดแคลนสัตว์ในเทพนิยายชาติหนึ่งครับ ภาพสัตว์ในจินตนาการ(หรือเปล่า?)ของพวกเขาเช่น ม้ามีปีก, สัตว์ที่อาศัยบนสวรรค์ในทำนองเดียวกับสัตว์หิมพานต์ของบ้านเรา ซึ่งรูปร่างก็ล้วนแปลกตามีปีกบ้างมีเขาแปลกๆบ้าง ภาพสัตว์เหล่านี้ดูจะเป็นตัวแทนทางศิลปะของดินแดนซูเมอร์ไปเสียแล้ว สิ่งที่น่าแปลกก็คือในบรรดาภาพวาดเหล่านี้แทบทุกภาพต้องมีสิ่งหนึ่งปรากฏ อยู่ด้วยเสมอ ลองพิจารณาภาพด้านล่างนี้สิครับมีภาพจรวดอยู่ด้านบนด้วย เห็นไหม?

origin4.jpg


ที่เมืองเกเซอร์เมืองเล็กๆปห่งหนึ่งใกล้ชุมชนของชาวคานาอันโบราณทางตอนใต้ ของกรุงเยรูซาเล็ม นักโบราณคดีค้นพบภาพวาดของจรวดขนาดใหญ่ตั้งลำอยู่ใกล้ต้นปาล์ม ลำตัวจรวดมีปีก(ซึ่งดูคล้ายกับครีบ)อยู่โดยรอบ มีบันไดขนาดใหญ่พาดจากพื้นสู่ตอนบนของลำจรวด ซึ่งก็ดูแปลกดีเหมือนกัน (รูปไหนที่มันใหญ่มากผมไม่เอามาลงนะครับ คัดมาเท่าที่พื้นที่ที่เหลือใน thai.net จะเอื้ออำนวย ^^)

ภาพวาดของจรวดที่กำลังเดินทางเหล่านี้มีจุดหมายเป็นสัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์ โบราณ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือกลุ่มดาวในจักราศี ภาพเหล่านี้มักมีอักษรกำกับเป็นคำบรรยายถึงการเดินทางของเทพเจ้า แต่ในบางครั้งผู้โดยสารที่พ่วงไปด้วยกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ซึ่งพลอยอาศัยพาหนะนี้ไปสวรรค์กับเทพเจ้าของพวกเขาด้วย นักภาษาศาสตร์ให้ข้อสังเกตว่าคำว่า MU ในภาษาสุเมเรียนน่าจะกลายคำมาจากคำว่า SHU.MU ซึ่งบ่อยครั้งออกเสียงว่า Sham หรือ Shem อันแปลว่าชื่อในภาษาเซมิติค

จารึกของอนุชนรุ่นหลังซึ่งคัดลอกมาจากชาวสุเมเรียนโบราณมีอยู่มากที่แปลความ หมายผิดเพี้ยนไป ตัวอย่างคือคำว่า Shem นี่แหละครับ นักโบราณคดีหลายคนแปลคำๆนี้ออกมาตามความหมายในภาษาเซมิติคว่าชื่อ และถูกใช้อ้างอิงต่อๆกันมาจนความหมายที่แท้จริงในจารึกโบราณผิดเพี้ยนไปหมด ตัวอย่างง่ายๆก็เช่นที่ G.A. Barton (ราชบัณฑิตด้านจารึกสุเมเรียนและอัคเคเดียน) แปลความหมายในบันทึกของ Gudea ประโยคที่ว่า “Its MU shall hug the lands from horizon to horizon” เป็น “Its name shall fill the lands” ชื่อขจายไปทั่วแผ่นดินหรือ มันคนละเรื่องกันเลยนะพี่ ^^!

 butt.gif Shem ในอียิปต์และ The Tower of Babel

ถ้าไม่กล่าวถึงไบเบิลบ้างก็คงไม่ใช่นายโซนิค ในคัมภีร์พันธสัญญาเก่าเองก็ได้กล่าวถึงอนุสรณ์สถาน 2 ประเภทอันได้แก่ Yad และ Shem (ขออณุญาตทับศัพท์) ศาสดาพยากรณ์เอไสยะผู้ทำหน้าที่เกลี้ยกล่อมปวงชนผู้กำลังสับสนในจูเดียด้วย คำมั่นของพระเจ้าที่ว่า And I will give them, In my house and within my walls, a yad and a shem.

ส่วนในอียิปต์โบราณ เหล่าภิกขาจารผู้แสวงหาธรรมต่างหลั่งไหลเข้าไปชมวิหารแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในนครเฮลิโอโพลิสเพื่อทำการสักการะแด่ ben-ben วัตถุทรงปิระมิดซึ่งเทพเจ้าของพวกเขาให้ไว้เป็นที่ระลึกในคราวเสด็จมาเยือนโลก


babel-01.jpg


สำหรับชนชั้นกษัตริย์เช่นองค์ฟาโรห์ เมื่อทรงสวรรคตลง พระศพจะถูกนำเข้าทำพิธีศักดิ์ที่เรียกว่าการเบิกทวาร (หมายถึงการเปิดประตูนะ คิดไปถึงไหนกันแล้ว ^^) โดยการนำพระศพเข้าบรรจุใน yad หรือ shem อันเป็นพาหนะที่จะนำองค์ฟาโรห์เดินทางสู่โลกอันมีชีวิตนิรันดร์

ความหมายของคำว่า Shem ถูกแปลว่าชื่อจวบจนถึง ปัจจุบัน(ก็ไบเบิลแปลมาอย่างนี้นี่ครับ) เคยมีการเสนอให้ตีความคำๆนี้ใหม่ในการสัมมนาทางวิชาการของนักโบราณคดี แต่ที่ประชุมเพิกเฉยไปโดยเห็นว่าสำนวนแปลที่มีอยู่นั้นถูกต้องอยู่แล้ว การยืนกรานในลักษณะนี้ในวงวิชาการเป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะเมื่อประมาณร้อยกว่าปีก่อน G.M. Redslob ก็เคยเสนอความหมายของคำๆนี้ในหนังสือของเขาเช่นกัน Redslob ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า คำว่า Shem และ Shamaim (ที่แปลว่าสวรรค์)นั้นน่าจะมีรากศัพท์มาจากคำว่า Shamah อันแปลว่าที่อยู่สูงขึ้นไป ในบางครั้งถูกแทนด้วยคำว่า Shama

ในคัมภีร์พันธสัญญาเก่ากล่าวถึงการ "made a shem" ของกษัตริย์เดวิดเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะที่มีต่อเหล่าอาราเมอัน คำแปลในนั้นกล่าวไปในความหมายของการสร้างชื่อของคิงเดวิดให้ขจรขจาย ฟังดูก็เข้าเค้าเข้ารูปกับเรื่องราวแห่งชัยชนะ แต่คิดไหมครับว่า made a shem กับ made a name นี่มันไปคนละเรื่องกันเลย

Shem ของกษัตริย์เดวิดเป็นอนุสรณ์สถานที่ยอดของมันชี้ตระหง่านขึ้นไปบนฟ้า คิดไหมครับว่ามันควรเป็น Shem ชนิดเดียวกับ MU หรือ SHEM ที่กล่าวถึงในตำนานของชาวสุเมเรียน เป็น shem ที่ไม่ได้แปลว่าชื่อหากแต่หมายถึงอากาศยานบางประเภทต่างหาก ความเพี้ยนของการแปลจารึกโบราณ(รวมทั้งไบเบิล)ในทำนองนี้ทำให้ข่าวสารจาก โบราณกาลคลาดเคลื่อนไปหมด ซึ่งผมว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ความผิดของคนแปลเสียทีเดียวหรอกนะ เพราะหนึ่งนั้นในยุคสมัยของคนแปล ด้วยประสพการณ์และภูมิความรู้ของเขาคงนึกไม่ถึงอะไรทำนองนี้ และสอง ต่อให้ยุคปัจจุบันเองก็เถอะ จะมีมนุษย์ปกติที่ไหนบ้างที่ได้มีโอกาสอ่านงานโบราณเหล่านั้นและแปลมันออกมา ในลักษณะที่ท่านกำลังอ่านในเว็บนี้... โดยที่เขาไม่ตะขิดตะขวงใจว่านี่ตูข้ากำลังเพี้ยนไปหรือไรหวา

spaceship03v.jpg


เอาเป็นว่าเมื่อคุณหลวมตัวอ่านมาสิบกว่าหน้าแล้ว ลองมาดูตัวอย่างง่ายๆของการทำความเข้าใจข่าวสารที่แท้จริงจากคนโบราณกันดี กว่า เราจะยกตัวอย่างเล็กๆในไบเบิลพอให้เห็นกัน โดยมีเรื่องราวของคนคอยคนบาป The Tower of Babel เป็นของแถมครับ :)

เรื่องราวของหอคอยบาเบลในไบเบิลแสดงให้เห็นเหตุการณ์หลังยุคน้ำท่วมโลก เมื่อมนุษย์ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มีการสถาปนานครรัฐขึ้นใหม่ การรวมตัวเพื่อจัดระเบียบสังคมของพวกเขาทำให้ชนชาติหลังน้ำท่วมโลกมีความ แข็งแกร่งมากขึ้น ดังรายละเอียดในไบเบิลที่ว่ามนุษย์ส่วนหนึ่งอพยพมาจากทางตะวันออก พวกเขาพบที่ราบขนาดใหญ่แห่งชีนาร์และเริ่มตั้งรกรากกันที่นั่น

The Land of shinar นั้นปัจจุบันรู้จักกันในนาม ของดินแดนแห่งซูเมอร์ เป็นผืนดินกว้างใหญ่คั่นกลางระหว่างแม่น้ำสองสายคือไทกริสกับยูเฟรติสทางตอน ใต้ของเมโสโปเตเมีย อารยธรรมยุคหลังน้ำท่วมโลกของมนุษย์ไม่ได้ถึงกับล้มหายตายจากหรือย้อนหลังไป สู่ยุคหินแต่อย่างใด พวกเขาก่อร่างสร้างนครรัฐจากเทคโนโลยีเดิมที่มีอยู่ จวบจนกระทั่งสังคมเมืองกลับสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง มนุษย์เหล่านั้นเริ่มมีความคิดต้องตรงกันในแง่ที่ตำนานกล่าวเอาไว้ว่า

...ให้พวกเราก่อสร้างนครรัฐ และหอคอยซึ่งมียอดตระหง่านสูงจรดสวรรค์... ให้พวกเรามี Shem เป็นของเราเอง เพื่อมิให้เผ่าพันธุ์กระจัดกระจายไปทั่วโลกอย่างมิเป็นกลุ่มก้อน...

พฤติกรรมของมนุษย์ครั้งนี้ไม่เป็นที่สบพระทัยของพระเจ้าเท่าใดนัก เรื่องของหอคอยคนบาปในไบเบิลลงเอยอย่างไรคุณคงรู้ดีอยู่แล้ว ส่วนในตำนานของชาวสุเมเรียนอันเป็นต้นฉบับของไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่านั้น กล่าวว่า Anunnaki หรือเทพเจ้าผู้เสด็จลงมาจากท้องฟ้าต่างกริ้วโกรธมนุษย์ โปรเจ็คบาเบลพังครืนไม่เป็นท่าด้วยฤทธิ์ของเทพเจ้า ลูกหลานแห่งอาดัม(มนุษย์)แตกกระจายออกเป็นกลุ่มย่อยอีกครั้งหนึ่งภายใต้การ สำทับจาก Anunnaki ว่า

“Behold, all are as one people…..with one language, and this is just the beginnings of their undertakings…..now anything which they shall scheme to do….shall no longer be impossible for them.”


babel-bigcyber.jpg

เรื่องของหอคอยบาเบลยังมีบันทึกไว้ในตำนานของอีกหลายชนชาติ เช่นบันทึกช่วยจำของนักปราชญ์ชาวกรีกชื่อเบรอสซัสผู้มีชีวิตอยู่ราวสองพันปี ก่อน รวมทั้งเวอร์ชั่นเก่าแก่ที่ทุกคนรู้จักกันดีคือเวอร์ชั่นของบาบิโล เนียน(ปัจจุบันถูกเก็บรักษาใน British Museum ประเทศอังกฤษ) นักวิชาการด้านศาสนาบาบิโลเนียนชื่อ A.H. Sayce ให้ความเห็นว่า "โดยพื้นฐานแล้ว ตำนานหอคอยบาเบลในหลายชนชาติมีพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน เช่นเรื่องราวของมนุษย์ผู้พยายามจะปีนป่ายให้ถึงสรวงสวรรค์ ต้นเหตุแห่งภาษาอันแตกต่างของมนุษยชาติ มีข้อน่าสังเกตบางประการคือ ในเวอร์ชั่นอื่นนั้น ความวิบัติของมนุษย์เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเพราะเพลิงพิโรธแห่งเทพเจ้า แต่ในเวอร์ชั่นของสุเมเรียนนั้นภัยพิบัติดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างปุบปับ ตามอารมณ์ หากแต่ถูกเตรียมการมาอย่างยาวนานโดยเทพเจ้าและทำการลงมือเมื่อหอคอยคนบาป นั้นสร้างจวนสำเร็จ"

...มีความเป็นไปได้ว่ามนุษยชาติในตอนนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีบางอย่างเป็นของ ตนเอง เช่น เทคโนโลยีด้านการบิน ตำนานโบราณก็บอกกับเราอย่างชัดแจ้งแล้วว่าหลายต่อหลายอย่างของอารยธรรม มนุษย์ล้วนขึ้นอยู่กับความช่วยเหลือของเทพเจ้า ในขณะที่เทพเจ้าก็ต้องพึ่งมนุษย์อยู่ในหลายๆด้าน ปัญหาก็คือด้วยเทคโนโลยีของมนุษย์เพียวๆนั้นคงเอาอะไรไปท้าทายอำนาจเทพเจ้า ไม่ได้แน่ๆ หรือว่าในหมู่เทพเจ้าด้วยกันเองนั้น มีอยู่บางองค์หรือบางกลุ่มที่คอยให้การหนุนหลังมนุษยชาติอยู่อย่างลับๆ หลักฐานที่ชวนให้คิดก็คือภาพในจารึกของชาวสุเมเรียนที่แสดงให้เห็นถึงการ เผชิญหน้ากันระหว่างกองทัพของพระเจ้า โดยมีหอคอยที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเป็นสมรภูมิรบ

เราไม่สามารถสรุปชัดเจนลงไปได้หรอกครับ เพราะหลักฐานค่อนข้างคลุมเครือ แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือในทุกเวอร์ชั่นของตำนานแห่งหอคอยบาเบลกล่าวตรงกัน ว่า เทคโนโลยีด้านการบินมีไว้สำหรับเทพเจ้าไม่ใช่สำหรับมนุษย์ (คนโบราณเคารพอากาศยานเหล่านั้นเสมือนหนึ่งเทพเจ้า เป็นไปได้ไหมว่าบัญญัติประการแรกในไบเบิลคือห้ามสร้างรูปเคารพของพระเจ้านั้น แท้ที่จริงกลายความมาจาก "ห้ามสูเจ้าสร้างอากาศยานใดๆเป็นอันขาด")

..ทั้งในไบเบิลและจารึกสุเมเรียนต่างยืนยันตรงกันว่า สิทธิ์ในการเดินทางสู่ดินแดนที่อยู่เหนือท้องฟ้าขึ้นไปของมนุษย์นั้น ต้องได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากเทพเจ้าเสียก่อน ตัวอย่างของการเดินทางสู่ห้วงอวกาศที่เรารู้จักกันดีก็เช่น เรื่องราวของอีนอชและการขึ้นสวรรค์ของศาสดาพยากรณ์เอไลจาห์

ตำนานสุเมเรียนโบราณกล่าวถึงมนุษย์ธรรมดาที่ได้รับสิทธิ์ในการเดินทางสู่สวรรค์ด้วยเช่นกันครับ มี Adapa (เป็น ภาษาสุเมเรียนหมายถึงมนุษย์) ซึ่งถูกสร้างโดยเทพ EA/Enki ผู้หนึ่งได้รับสิทธิ์จากเทพองค์นี้ให้โดยสาร Shem ของ Enki เดินทางไปยังอาณาจักรของ Anu ที่อยู่บนสวรรค์ โดยปกติแล้วมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพโบราณจะได้รับทุกอย่างอันเป็นสมบัติ ของเทพเจ้า เช่น รูปร่างหน้าตา ความรู้ ฯลฯ เว้นอยู่อย่างเดียวที่ถือว่าเป็นสมบัติเฉพาะของเทพเจ้าเท่านั้นคือความเป็น อมตะ

เมื่อเวลาล่วงเลยไป Enki ทรงเปลี่ยนพระทัยอยากให้มนุษย์อันเป็นเสมือนหนึ่งบุตรหลานของตนได้รับชีวิต อันอมตะบ้าง จึงส่งมนุษย์โดยสารไปกับ Shem ส่วนตัวเพื่อมีส่วนร่วมในการรับ ขนมปังแห่งชีวิตกับน้ำแห่งชีวิตบนสวรรค์ เมื่อยานของ Adapa ทั้งหลายเข้าสู่ชั้นบรรยากาศแห่งสวรรค์ บิดรเทพ Anu ประหลาด ใจและสอบถามเทพบริวารว่าผู้ใดกันที่บังอาจให้สิทธิ์แก่มนุษย์เหล่านั้นในการ โดยสาร Shem ขึ้นมาจากโลกจนถึงอาณาจักรของพระองค์ได้

arwrt_2.gif Chapter Five: THE NEFILIM,People of The Fiery Rockets (ต่อ)

butt.gif Gateway of the Gods
งานเขียนของชาวบาบิโลเนียนโบราณที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า Epic of Creation กล่าวถึงประตูหรือช่องทางแห่งพระเจ้าว่า มันถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในกรุงบาบิโลนโดยคำสั่งของเทพสูงสุดซึ่งสั่งลงมายัง เหล่าเทพบริวารให้ "จงสร้างประตูแห่งพระเจ้า ประดับประดาด้วยอิฐหนาที่สวยงาม Shem ของเราจะอยู่ในที่ที่กำหนดไว้" เห็นไหมครับ ลักษณะเหมือนสนามบินสำหรับลงจอดยังไงพิลึก ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่มนุษย์อยากมีสิ่งก่อสร้างนี้เป็นของพวกตนบ้าง โดยการสร้างหอคอยขนาดยักษ์ในที่ๆเทพเจ้าของพวกเขาเคยใช้เป็นสนามบิน ข้อสนับสนุนอย่างหนึ่งก็คือมนุษย์ตั้งชื่อให้หอคอยแห่งนี้ว่า Babilli อันเป็นภาษาบาบิโลเนียนโบราณที่แปลว่าประตูแห่งเทพเจ้า (Gateway of the Gods)

butt.gif Gilgamesh
เจ้าประตูแห่งเทพเจ้านี่แหละครับที่มนุษย์บางคนต้องผ่านมันไปให้ได้ เพื่อจะได้พบกับสิ่งที่เป็นความลับแห่งอายุขัยอันอมตะของเทพเจ้า สิ่งนั้นคือต้นมาน่า เอ๊ย... ต้นไม้แห่งชีวิต (Tree of Life) ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้มีกล่าวถึงในมหากาพย์ยิ่งใหญ่ของโลกเรื่องหนึ่ง เป็นมหากาพย์ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งรจนาขึ้นโดยชาวสุเมเรียนโบราณ มหากาพย์เรื่องนั้นมีชื่อว่า The Epic of Gilgamesh


sumer-dq-04.jpg

วีรบุรุษในมหากาพย์เรื่องแรกของโลก กิลกาเมช


กิลกาเมชเป็นผู้ปกครองนคร Uruk เขาเกิดจากบิดาที่เป็นมนุษย์ธรรมดากับมารดาซึ่งมีสายเลือดเทพจึงทำให้ วีรบุรุษผู้นี้มีเลือดเทพเจ้าในกาย 2 ส่วน และเลือดของสามัญมนุษย์อีก 1 ส่วน แม้จะมีพละกำลังกับความกล้าเหนือปุถุชนทั่วไป แต่กิลกาเมชก็หนีชะตามกรรมหนึ่งซึ่งมนุษย์ทุกรูปทุกนามต้องเผชิญไม่ได้ นั่นคือชะตากรรมแห่งความตาย

กิลกาเมชนึกถึงบรรพบุรุษคนหนึ่งของเขาอุทนาปิชทิม (Uthapishtim) โนอาห์ในเวอร์ชั่นสุเมเรียน วีรบุรุษผู้รอดตายจากน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ ตามตำนานกล่าวว่าอุทนาปิชทิมพร้อมภรรยาได้เดินทางสู่สวรรค์หลังน้ำท่วมโลกใน คราวกระโน้น กิลกาเมชตัดสินใจตามไปที่นั่นเพื่อขอความลับของชีวิตอมตะจากบรรพบุรุษของเขา

สวรรค์ไม่มีรถเมล์สายใดวิ่งผ่าน ไม่ใช่ที่ที่ใครนึกจะไปก็ไปได้ ในการเดินทางไกลครั้งนี้กิลกาเมชจำเป็นต้องมีพาหนะในการเดินทาง เขาและเพื่อนร่วมทางชื่อเอนกิดูรอนแรมไปตั้งต้นที่ดินแดนTilmun เพื่อที่จะนำ Shem เดินทางสู่สรวงสวรรค์ของ Anu ด้วยตนเอง (มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องย้ำซ้ำอีกนะครับว่า Shem ในที่นี้หมายถึงพาหนะไม่ได้หมายถึงชื่อ-name อย่างที่นักแปลไบเบิลแปลกันมา)

รายละเอียดของมหากาพย์เรื่องนี้คุณคงต้องไปหาอ่านเพิ่มเอาเอง(เพราะผมจะไม่ เล่า ^^) กิลกาเมชเป็นบุรุษที่นอกจากจะมีพละกำลังมาแต่กำเนิดแล้วเขายังมีความฉลาดล้ำ เกินคน จากดินแดน Tilmun จนถึงที่พำนักของ Anu นั้นกินระยะทางยาวไกลมาก ระหว่างการเดินทางพระเอกของเราต้องเผชิญอุปสรรคมากมายทั้งจากเทพและมาร เอาเป็นว่าจุดที่เราจะกล่าวถึงเป็นตอนที่กิลกาเมชเดินทางมาถึงสวนแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเต็มไปด้วยพืชพันธุ์แลสิ่งมีชีวิตอันน่าพิศวง อุทนาปิชทิม(หรือ Noah ในเวอร์ชั่นไบเบิล)บรรพบุรุษของกิลกาเมชก็อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย

อุทนาปิชทิมบอกแก่ลูกหลานของเขาว่าเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งมีชีวิตใดๆจะคงความ อมตะไม่ตายไปชั่วกาลนาน ความตายคือชะตากรรมที่มนุษย์ไม่มีทางเลี่ยง ถึงอย่างไรอุทนาปิชทิมก็ไม่ใจร้ายเกินไปนัก เขาเสนอให้กิลกาเมชลองหาวิธีอื่นมาทดแทน แน่ล่ะครับความตายต้องมาเยือนมนุษย์ทุกคนไม่วันใดก็วันหนึ่ง ในเมื่อหนีไม่พ้นก็ไม่ต้องไปวิ่งหนีมันหรอก แค่ชะลอมันลงให้มาถึงช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอแล้ว กิลกาเมชได้รับคำบอกใบ้ถึงที่ตั้งของต้นไม้แห่งความเยาว์วัย (Plant of Youth) ซึ่งมีสรรพคุณทำให้มนุษย์คงความเยาว์วัยได้แม้อายุจะล่วงเลยไปเท่าใดก็ ตาม(แต่มิได้หมายความว่าทำให้เป็นอมตะ)


ท่านที่เคยอ่านมหากาพย์กิล กาเมชคงทราบดีว่า การเดินทางเพื่อค้นหาความเป็นอมตะของวีรบุรุษชาวซูเมอร์ผู้นี้ลงเอยอย่างไร (ถ้าผมไม่บอกรายละเอียดอะไรบ้างก็ดูจะใจร้ายไป เอาเป็นว่าลองอ่านเรื่องย่อที่ผมเคยเขียนเอาไว้เมื่อปีกลายที่ ลิงค์นี้ กัน นะครับ) จะว่าไปกิลกาเมชแกก็ทึ่มอยู่พอสมควรที่ทำให้ความเพียรทั้งหลายแหล่มาเสีย เปล่าในขากลับ ยานของกิลกาเมชกลับมาลงจอดที่ Tilmun โดยสวัสดิภาพ อ้อ... TIL.MUN เป็นภาษาสุเมเรียนครับ ความหมายของมันคือ The Land of Missiles


egypt-tilmun.jpg


หากไม่นับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ความงดงามในภาษา รวมถึงปรัชญาโบราณที่แทรกอยู่ในเรื่องแล้ว มหากาพย์กิลกาเมชดูจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากๆเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการ บินในสมัยโบราณ ยาน(Shem)ของกิลกาเมชที่ใช้โดยสารไปยังดินแดนของ Anu ก็มีลักษณะคล้ายยานที่มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเป็นที่สุด ตามท้องเรื่องนั้นดินแดนที่กิลกาเมชนำยานขึ้นฟ้าอยู่บริเวณภูเขาที่แวดล้อม ด้วยป่าใหญ่ มียามคอยอารักขาอย่างเคร่งครัดไม่ผิดกับสนามบินหรือสถานีอวกาศในยุคปัจจุบันเลย

น่าเสียดายที่มหากาพย์เรื่องนี้ไม่มีภาพประกอบให้เห็นกันชัดๆว่าดินแดนแห่ง มิสไซล์ของกิลกาเมชนั้นมีสภาพอย่างไร แต่จากภาพโบราณภาพหนึ่งซึ่งพบในอียิปต์พอ จะทำให้เราอนุมานภาพออกได้บ้าง ภาพดังกล่าวเป็นภาพซึ่งถูกระบุว่าเป็นดินแดนอันรุ่งเรืองที่อียิปต์(ช่วง นั้น)รับเอาวิชาการหลายๆอย่างมา ดูรายละเอียดในภาพให้ดีนะครับ ว่าเป็นภาพของป่าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีไซโลยิงจรวดซ่อนอยู่ใต้ดิน ภายในไซโลมีลักษณะเป็นอุโมงค์ยาวซึ่งมีเทคนิคเชี่ยนสองคนกำลังทำงานอยู่ บริเวณโดยรอบมีการประดับประดาด้วยหนังแมวป่าตามไสตล์ศิลปะสุเมเรียน

ภาพของอุโมงค์(หรือท่อ)ดังกล่าวอาจเป็นภายในตัวจรวดเองก็ได้ เพราะถ้าเราสังเกตให้ดีเจ้าท่อที่ว่านี้เหมือนส่วนประกอบที่เป็นห้องต่างๆ ของจรวดในปัจจุบัน ช่างสองคนที่อยู่ด้านล่างอาจหมายถึงนักบินซึ่งคอยสั่งการไปยังห้องเครื่อง ที่มีลักษณะคันบังคับที่อยู่เหนือหัวพวกเขา ส่วนบนสุดของจรวดมีลักษณะคล้ายอนุสรณ์สถาน ben-ben ที่ผมเคยกล่าวถึงมาแล้ว เป็นไปได้ไหมครับว่านี่เป็นภาพของ MU หรือ Shem ของชาวสุเมเรียน ซึ่งดูจากสัดส่วนแล้วจรวดลำนี้สามารถบรรทุกผู้โดยสารสองคนได้อย่างสบายๆ เสียอย่างเดียวคือเราไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของจรวดลำนี้อยู่ที่ใดเท่านั้น เอง

arwrt_2.gif Chapter Five: THE NEFILIM,People of The Fiery Rockets (ต่อ)

butt.gif Commander of the Anunnaki Spaceport

TIL.MUN หรือ land of missiles ที่กิลกาเมชใช้เป็นจุดปล่อยยานนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเทพเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเทพองค์นั้นใช้ที่นี่เป็นที่เดินทางสู่ท้องฟ้าอันสูงลิบอยู่เสมอๆ นามของเทพองค์นั้นคือ UTU หรือ Shamash ผู้ยิ่งใหญ่

Shamash มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือดวงอาทิตย์ครับ ทรงเป็นจุดกึ่งกลางของสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ - ดวงตราแห่งดาวเคราะห์ทั้ง 12 ของชาวสุเมเรียนโบราณ นักวิชาการหลายคนให้ข้อสังเกตว่าดวงอาทิตย์อาจมิได้หมายถึงสัญลักษณ์ประจำ ตัวของเทพ Shamash หรอก ดวงแสงอันเจิดจ้าที่เข้าใจว่าเป็นแสงอันร้อนแรงแห่งสุริยะนั้นอาจหมายถึง พลังหรือหน้าที่ของ Shamash ก็เป็นได้ ข้อสังเกตนี้น่าคิดมากครับ เนื่องจากนามของ Shamash ในภาษาสุเมเรียนคือ Utu อันมีความหมายว่าเทพผู้เจิดจรัส คำๆนี้แผลงมาเป็นชื่อ Shem-Esh หรือ Shamash อันเป็นภาษาอัคเคเดียนในเวลาต่อมา Esh นั้นแปลว่าไฟ(หรือยิง) ส่วน Shem ก็แปลว่าจรวดอย่างที่รู้ๆกันอยู่

สรุปแล้ว Utu/Shamash น่าจะหมายถึงเทพผู้เป็นเจ้าของอากาศยานอันเรืองโรจน์ ซึ่งก็น่าจะเข้าเค้าถ้าเราสันนิษฐานต่อไปว่าเทพองค์นี้แหละคือผู้บัญชาการ สถานีอวกาศของพระเจ้าในยุคโบราณ


mi1sumertemp.gif

โบราณสถานเค้าออกใหญ่โตออกอย่างนี้ จะเก็บยานซักลำสองลำก็ไม่น่าจะมีปัญหานะครับ ว่าไหม


butt.gif Etana และความลับของมนุษย์อินทรี

พงศาวดารของสุเมเรียนโบราณบอกให้เราทราบว่าในบรรดากษัตริย์สุเมเรียนนั้น มีอยู่องค์หนึ่งซึ่งได้รับอภิสิทธิ์จากเทพเจ้าให้เดินทางสู่สวรรค์อันเป็น ดินแดนของ Anu ได้ กษัตริย์องค์นั้นมีนามว่าเอทานา(Etana) ขึ้นครองราขย์เป็นอันดับที่สิบสามในราชวงศ์แห่ง Kish

เอทานาได้รับมอบหมายจากเทพเจ้าให้เป็นผู้นำปวงราษฏร์ชาวมนุษย์ ภายใต้ความช่วยเหลือด้านวิทยาการจากเทพเจ้าอย่างใกล้ชิด มีข้อน่าสังเกตคือเอทานาเป็นเหมือนผู้นำที่ดีทั่วไปครับ คือโหมแต่งานโดยไม่สนใจเรื่องครอบครัว พงศาวดารกล่าวว่าเอทานาไม่มีรัชทายาทมาสืบสันตติวงศ์จากชายาองค์ใดทั้งสิ้น ผู้ที่มาสานต่องานของพระองค์ในฐานะบุตรแห่งเอทานานั้นเติบโตมาจาก Plant of Birth ซึ่งได้รับการประทานจากเทพเจ้าบนสวรรค์ โอรสองค์นี้ถือกำเนิดด้วยการฟักตัวจากผลของต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายรังไหม ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์มากกว่านิทานว่าไหมครับ :)

เอทานาเคยประกอบกิจอย่างหนึ่งเหมือนกิลกาเมชคือเดินทางสู่ท้องฟ้าอันไกลโพ้น พระองค์ของเทวานุญาตจากเทพ Shamash เพื่อโดยสาร Shem ขึ้นสู่ท้องฟ้า ดังคำแปลจากจารึกโบราณที่ว่า

Oh Lord, may it issue from thy mouth!
Grant thou me the Plant of Birth!
Show me the Plant of Birth!
Remove my handicap!
Produce for me a shem!


รายละเอียดในการเดินทางของกษัตริย์องค์นี้มิได้กล่าวถึง Shem มากนักเพราะบทไปตกอยู่ที่คู่หูซึ่งเทพ Shamash รับสั่งให้พาเอทานาเดินทางสู่สวรรค์ คู่หูที่ปรากฏตัวบ่อยที่สุดในตำนานของสุเมเรียนในฐานะคนของเทพเจ้า The Eagle หรือมนุษย์อินทรี...

Shamash นำเอทานามายังหลุมซึ่งมนุษย์อินทรีสถิตย์อยู่ จากนั้นรับสั่งถึงภารกิจที่ปักษาตนนั้นต้องกระทำ ในเอกสารโบราณกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อเดินทางมาถึงภูเขาอันเป็นนิวา ศสถานของเทพ Shamash เอทานาทรงเห็นหลุมขนาดใหญ่ซึ่งมนุษย์อินทรีสถิตย์อยู่ ณ ที่นั้น Shamash อธิบายถึงจุดหมายปลายทางที่มนุษย์อินทรีต้องพาเอทานาเดินทางไป จากนั้นทรงให้เอทานาทำการสื่อสารกับปักษาตนนั้นเพื่อทบทวนภารกิจอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดเรื่องจุดหมายแล้ว Shamash ทรงสอนเอทานาเกี่ยวกับวิธีนำมนุษย์อินทรีขึ้นจากหลุมอันเป็นที่สถิตย์ ก่อนที่การเดินทางจะเริ่มขึ้นนั้นกษัตริย์เอทานาทรงหายใจไม่ทั่วท้องเพราะ ความประหวั่น แต่แล้วก็ทรงใจชื้นขึ้นเมื่อเสียงของมนุษย์อินทรีดังกระหึ่มไปทั่วหลุมขนาด ใหญ่ว่า "เพื่อนยาก เราจะนำท่านขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน สู่ดินแดนแห่ง Anu ณ บัดนี้!"

alone_galaxy.jpg

อ่างน้ำเล็กๆของเอทานาควรจะมีลักษณะอย่างในรูป จริงไหมครับ :)


ช็อตเด็ดมันอยู่ตรงนี้นี่เองครับ ระหว่างเดินทางขึ้นสู่ท้องฟ้านั้นมนุษย์อินทรีพูดคุยกับเอทานาไปตลอดทาง พญาปักษาชี้ชวนให้เอทานามองภาพพื้นโลกเบื้องล่างว่ามีสภาพเป็นอย่างไรเมื่อ มองจากบนอากาศ เอกสารโบราณบรรยายภาพเอาไว้อย่างละเอียดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เอทานาได้เห็น ยิ่งขึ้นสูงเท่าไหร่ทิวทัศน์เบื้องล่างก็เล็กลงเท่านั้น เอทานามองเห็นทิวเขาเริ่มเล็กหรี่จนติดกันเป็นพืด มหาสมุทรสุดลูกหูลูกตาเริ่มมีขนาดเล็กลง ผืนโลกในสายตาของเขาในขณะนี้มีลักษณะไม่ผิดอะไรกับอ่างน้ำเล็กๆ! เมื่อผ่านไปชัวเวลาหนึ่งผืนโลกก็หายไปจากสายตาของเอทานาไปในที่สุด

ผมคิดว่าถ้าคุณเอารายงานของนักบินอวกาศในยุคปัจจุบันมาอ่าน เพื่อดูว่าภาพของโลกที่พวกเขาเห็นขณะกระสวยอวกาศทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น เป็นอย่างไร มันเปลี่ยนแปลงไปแบบไหนขณะที่ตัวยานห่างออกจากชั้นบรรยากาศไปเรื่อยๆ สิ่งที่คุณจะได้พบนั้นคงไม่ต่างอะไรกับคำบรรยายของกษัตริย์ลำดับที่ 13 แห่งคิชองค์นี้จริงไหมครับ :)

อ้อ... ตามคำบอกเล่าของเอทานั้น ขณะที่เขากำลังติดต่อสื่อสารกับมนุษย์อินทรีที่สถติย์อยู่ในหลุมขนาดยักษ์ ภาพประกอบในตราผนึกแสดงให้เห็นพญาอินทรีทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่วนด้านล่างมีหอคอยทรงสูงปรากฏอยู่ เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งนั้นคือหอคอยสื่อสารสำหรับอากาศยานของเทพเจ้า

ปัญหาที่เหลือคงมีอยู่แค่ว่า มนุษย์อินทรีที่นำเอทานาขึ้นสู่สรวงสวรรค์นั้นเป็นใครกันแน่?

แย่หน่อยที่ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้นอกจากตัวคุณผู้อ่านเอง ทำไมน่ะหรือครับ เอางี้นะ ลองนึกถึงฉากลงจอดของหนังอะไรซักเรื่องที่มียานอวกาศ ดีครับ หลับตานึกภาพเอาไว้ จะจินตนาการเอาซาวด์ประกอบกระหึ่มๆมาพ่วงด้วยก็ไม่ว่า จากนั้นก็ตัดภาพมาเมื่อครั้งที่ยานอพอลโล 11 เดินทางไปสู่ดวงจันทร์ ตอนที่ นีล อาร์มสตรอง กำลังส่งข้อความรายงานสถานการณ์มายังศูนย์ควบคุมฮุสตัน เสียงของหัวหน้าทีมอพอลโล 11 ดังกระหึ่มออกมาทางลำโพงสื่อสารเหมือนภาพยนตร์ซาวด์แทร็คว่า

“Houston! Tranquillity Base here. The Eagle has landed”!


เป็นไงครับพอจะจินตนาการออกหรือยังว่ามนุษย์อินทรีที่นำเอทานาขึ้นสู่ชั้น บรรยากาศนั้นเป็นใคร ข้อความที่ผมโควตมาด้านบนนั้นเป็นคำรายงานของ นีล อาร์มสตรอง ต่อสถานีสื่อสารฮุสตัน Tranquillity base หมายถึงจุดที่ยานจะลงจอด ส่วน Eagle นั้นเป็นโค้ดเนมของลูนาร์ โมดูล อันเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์สำคัญของวงการอวกาศไปแล้ว อ้อ... Eagle ยังเป็นโค้ดที่หมายถึงนักบินอวกาศทั้งสามผู้โดยสารไปกับอพอลโล 11 อีกด้วย เหตุการณ์ในเชิงเปรียบเหล่านี้คงพอทำให้คุณคล้อยตามได้บ้างแหละว่ามนุษย์ อินทรีในเอกสารโบราณของสุเมเรียนนั้น มิได้เป็นสัตว์ในเทพนิยายหรือสิ่งมีชีวิตในจินตนาการหรอก มันคือสัญลักษณ์ของนักบินอวกาศและเครื่องบินครับ ถ้าถามผมว่าทำไมต้องเป็นอินทรี ผมคงตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าเพราะอินทรีเป็นเจ้าแห่งเวหาครับ สง่างามเหนือวิหคพันธุ์ใดๆ เมื่อพูดถึงเจ้าแห่งท้องฟ้าแล้วไม่ว่าชาติใดภาษาใดก็ต้องนึกถึงนกอินทรีแหละ น่า คงไม่เข้าท่านักถ้า นีล อาร์มสตรอง จะรายงานสู่สถานีสื่อสารบนพื้นโลกว่า "ฮุสตัน! เรามองเห็นหลังควายเฒ่าแล้ว กำลังจะเอานกเอี้ยงลงไปเกาะ!"

...เห็นด้วยกับนายโซนิคไหมล่ะครับ :)


earthchro-u01.jpg

รูปเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์อินทรียุคปัจจุบันกับมนุษย์อินทรีเมื่อครั้งกระโน้น


เอาเป็นว่าตอนนี้คุณถูกผมต้มเสียเปื่อยสนิทว่าเทพโบราณของชาวสุเมเรียนนั้น คืออาคันตุกะจากนอกพิภพ (ไม่ใช่แค่เทพของสุเมเรียนหรอกของโลกด้วยซ้ำ เพราะหลักฐานก็มีอยู่อย่างชัดเจนแล้วว่า ชนชาติโบราณซึ่งเจริญแล้วทางอารยธรรมล้วนแต่รับการถ่ายทอดเอาวัฒนธรรมจากดิน แดนซูเมอร์ไปแทบทั้งสิ้น) ถ้าเป็นซุปเนื้อตอนนี้คุณคงเริ่มจะนุ่มส่งกลิ่นน่ากินนิดหน่อยแล้ว และเพื่อให้เปื่อยได้ที่นายโซนิคจะเริ่มกระบวนการตุ๋นต่อโดยการให้คุณตั้งคำ ถามไว้ในใจว่า


...เทพเจ้าแห่งโลกโบราณเหล่านี้เดินทางมาจากไหนกันแน่


arwrt_2.gif Chapter Six: The 12th Planet

ปัจจุบันแนวคิดที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากโพ้นพิภพเคยมาเยี่ยมเยือน โลกราหูของเราเมื่อนานมาแล้วนั้นค่อนข้างเป็นที่ยอมรับกัน ถึงจะไม่เต็มร้อยนักแต่หลายฝ่ายก็เริ่มตั้งใจที่ฟัง ไม่เหมือนเมื่อก่อนครับ ขืนใครพูดเรื่องนี้ออกไปเป็นถูกมองว่าไม่บ้าก็เมาแหง(ผมโดนบ่อย) ต่างจากทุกวันนี้อยู่ค่อนข้างมาก ประการสำคัญก็คือ แนวคิดนี้ถูกขยายออกไปว่าเมื่อครั้งกระโน้นนั้น มนุษย์ต่างดาวจากโพ้นพิภพหาได้มาเยี่ยมเยือนโลกของเราแต่ประการเดียวไม่ หากแต่ยังช่วยกันรังสรรค์อารยธรรม สถาปนาบ้านเมือง เข้าแทรกแซงวิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์ แถมยังเล่นบทพระเจ้าในศาสนาของคนโบราณอีกหลายๆศาสนาด้วย

ทั้งหมดทั้งเพมันมาจากความสงสัยอันไร้ที่สิ้นสุดของมนุษย์เรานี่ล่ะครับ สงสัยไปแม้กระทั่งว่าถ้าพระเจ้ามีจริงพระเจ้าคือใคร? ถ้าสวรรค์มีจริงสวรรค์ควรจะอยู่ที่ไหน?

...ชาวสุเมเรียนมิได้มีความสงสัยในการดำรงอยู่ของสวรรค์เลยครับ พวกเขามีความเชื่อว่าสวรรค์ของเทพเจ้านั้นมีจริง ตำนานของ การเยือนสวรรค์ก็มีบันทึกไว้อย่างที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อตอนก่อนๆนั่นแหละครับ ข้อสำคัญก็คือ พวกเขาเชื่อมั่นอย่างเหลือเกินว่าบนสวรรค์(หรือโพ้นฟ้าขึ้นไป)นั้นมี อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ อาณาจักรอันเป็นที่อยู่อาศัยของเทพเจ้าโบราณเช่น Enki, Enlil และ Ninhursag เป็นต้น พวกเขาเรียกอาณาจักรดังกล่าวว่า Heavenly Abode บ้าง Pure Place บ้าง หรือ Primeval Abode ซึ่งอันหลังแปลว่าที่พำนักเมื่อครั้งบรรพกาล(ของเทพเจ้า)บ้าง อาณาจักรเหล่านี้แหละครับที่เทพเจ้าของพวกเขาเคยพำนักอาศัยก่อนจะเสด็จมา เยือนโลกเพื่อปกครองพวกเขาชาวสุเมเรียน


earthchro-u02.jpg


เทพเจ้าโบราณเหล่านั้นไม่ได้จากมาแล้วมาเลย หากแต่ไปๆมาๆระหว่างโลกและที่พำนักของพวกเขา บิดรเทพ Anu เองก็ทรงมาเยือนโลกในลักษณะของการมาเยี่ยมเยียนเท่านั้น เทวีอิชตาร์เคยขึ้นสวรรค์ไปเฝ้า Anu อย่างน้อยสองครา ถ้าคุณยังไม่ลืมเมืองนิปเปอร์อันเป็นนครของ Enlil ที่ผมเคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนต้น คุณคงพอเดาได้ว่าฐานะของ a bound-heaven-earth หรือ พันธะแห่งสวรรค์และโลกของนครนิปเปอร์นั้นหมายถึงอะไร นอกจากนี้เรายังผ่านเรื่องราวของมนุษย์อินทรีของเทพ Shamash การเดินทางของวีรบุรุษกิลกาเมชเพื่อค้นหาความเป็นอมตะกันมาแล้ว เรื่องราวเหล่านี้บอกพวกเราได้เป็นอย่างดีว่าคนโบราณในสมัยนั้นสามารถเดิน ทางไปมาระหว่างสวรรค์กับโลกได้ภายใต้อาณัติของเทพเจ้า เป็นการเดินทางประเภทไปกลับเสียด้วย ไม่ได้ไปแล้วไปลับแต่อย่างใด

ลงไปๆมาๆกันได้บ่อยๆแบบนี้อาณาจักรแห่งสวรรค์ของเทพเจ้าโบราณของชาวสุเม เรียนก็ไม่น่าจะอยู่ไกลนัก และในความเป็นจริงคนโบราณพวกนี้ก็ระบุเอาไว้ว่าเทพเจ้าของพวกเขาไม่ได้อยู่ ห่างไกลประเภทคนละขั้วแกแล็กซี่เลย (ไม่เหมือนชาวอินคาที่ระบุว่าเทพของพวกเขามาจากกลุ่มดาวเพลเดียส) เทพของพวกเขามาจากดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งอยู่ในระบบสุริยะของพวกเรานี่แหละ

solar_planets.gif


นักโบราณคดีพบ ว่าชาวอัสสิเรียนมีความคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ของดวงดาวบนท้องฟ้าอยู่ไม่ใช่ น้อย สัญลักษณ์เหล่านี้ปรากฏอยู่ตามบันทึก งานเขียน ตลอดจนผนึกทางศาสนาที่กระจัดกระจายอยู่แทบจะทั่วอาณาจักร โดยเฉพาะภาพที่ชื่อว่า The Gateway of Anu นั้นแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า คนโบราณพวกนี้รู้จักดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์บริวารทั้งหลายเป็นอย่างดี

ด้วยความเจริญอย่างเหลือเชื่อทางวัฒนธรรมของชนชาตินี้ นักโบราณคดีไม่แปลกใจอะไรเลยที่พวกเขาชาวสุเมเรียน จะมีความเจริญทางสาขาวิชาดาราศาสตร์ชนิด ที่เรียกว่ารู้จักระบบสุริยะของเราจนเขียนแผนผังได้ เพียงแต่รู้สึกตะหงิดใจอยู่นิดๆเท่านั้นเองว่า ดาวเคราะห์ที่อยู่เลยดาวเสาร์ออกไปเช่น ดาวยูเรนัส เนปจูน และพลูโตนั้น ชาวสุเมเรียนรู้จักพวกมันได้อย่างไรทั้งที่มนุษย์สมัยใหม่อย่างเราๆเพิ่งจะ ส่องกล้องค้นพบกันเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง

ที่สำคัญที่สุดคือรูปอันเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขานั้น มีรูปสำคัญอยู่รูปหนึ่ง(ปัจจุบันถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ในกรุงเบอร์ลิน) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์กำลังถูกโคจรรอบโดยดาวเคราะห์ บริวารจำนวน 11 ดวง!

น่าแปลกนะครับ ปัจจุบันเราทราบกันดีอยู่ว่าระบบสุริยะของเราประกอบด้วยดวงอาทิตย์เป็น แกนกลาง มีดาวเคราะห์อันเป็นดาวบริวารโคจรล้อมรอบอยู่ 9 ดวงอันได้แก่ ดาวพุทธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน แล้วก็ดาวพลูโต (ส่วนดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเซดนานั้น ปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงหาข้อสรุปไม่ได้ว่า เจ้าดาวจิ๋วดวงนี้ควรจัดอยู่ในสารบบดาวเคราะห์หรือไม่ นักดาราศาสตร์บางคนให้ความเห็นว่าเซดนานั้นเป็นดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ยักษ์อีกดวงซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปด้วยซ้ำ ลองอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่นี่ดูนะครับ)

ชาวสุเมเรียนเอาดาวเคราะห์มาจากไหนครับตั้ง 11 ดวง?

ความเชื่อของชาวสุเมเรียนโบราณนั้นมีอยู่ว่า สวรรค์ประกอบไปด้วยดาวทั้งหมด 12 ดวง คือดวงอาทิตย์และดาวบริวารอีก 11 ดวง (พวกเขานับดวงจันทร์บริวารของโลกให้เป็น Planet หรือดาวเคราะห์ด้วย นิยามดาวเคราะห์ของชาวสุเมเรียนอาจจะต่างไปจากสาขาวิชาดาราศาสตร์ในปัจจุบัน ก็ได้นะครับ) เอ้า อย่าเพิ่งไปยึดติดกับความขัดแย้งของข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ที่พวกเราเรียน กันมาเลยครับ อย่างน้อยชนชาติโบราณนี้ก็ได้พิสูจน์ว่ามีอะไรดีๆไม่น้อยหน้ามนุษย์ในยุค ปัจจุบันเลยสักนิด ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าถัดจากดาวพลูโตออกไปยังมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่โคจร อยู่จึงไม่ควรเป็นเรื่องที่พวกเรามองข้าม ที่สำคัญดาวเคราะห์ดวงนั้นเป็นดาวเคราะห์ที่ชาวสุเมเรียนระบุว่าเป็นที่ พำนักของเหล่า Anunnaki เทพเจ้าผู้ลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบนเสียด้วย แหม... อยู่ในระบบสุริยะเหมือนกันนี่เอง มิน่าล่ะจึงเดินทางไปๆมาๆระหว่างโลกและดาวดวงนั้นได้เป็นว่าเล่น หากนับจากดวงอาทิตย์ออกไปดาวเคราะห์ดวงนั้นจะอยู่ในอันดับที่ 12 ของดาวเคราะห์ทั้งหมด

ดังนั้นชื่อชั่วคราวที่เราจะเรียกดาวเคราะห์ดวงนั้นก็น่าจะเป็น The Twelfth Planet -- ดาวเคราะห์ดวงที่สิบสอง ถูกต้องไหมครับ?

ความแม่นยำทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียน

บอกกล่าวกันก่อน: ดาวยูเรนัสถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1781 เนปจูนในปี 1846 และพลูโตในปี 1930 ตามลำดับ

ตั้งแต่กรีกยุคโบราณจนกระทั่งถึง ค.ศ. 1870 ผู้คนล้วนมีความเชื่อว่าบนท้องฟ้ามีดาวเคราะห์อยู่ 6 ดวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ หรืออีกนัยหนึ่งระบบสุริยะของเราประกอบด้วยสมาชิก 7 ดวงอันได้แก่ ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ดาวพุทธ, ดาวศุกร์, ดาวอังคาร, ดาวพฤหัส, และดาวเสาร์
โลกไม่ถูกนับรวมอยู่ด้วยเพราะคนโบราณ(ชาวยุโรป)เค้าเชื่อกันว่าโลกคือศูนย์ กลางของจักรวาล มีท้องฟ้าล้อมรอบโลกของเราเอาไว้ในลักษณะวงกลม โลกที่เราอยู่อาศัยนั้นถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดในจักรวาลที่ถูกสร้างโดยพระ ผู้เป็นเจ้า เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงรักที่สุดคือมนุษย์นั่นเอง

ตำราเรียนทางดาราศาสตร์พื้นฐานบอกกับเราว่านิโคลัส คอเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus) เป็นผู้ค้นพบว่าแท้ที่จริงโลกของเราเป็นเพียงสมาชิกดวงหนึ่งของดาวเคราะห์ใน ระบที่เรียกว่า Heliocentric System หรือระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ทฤษฎีของคอเปอร์นิคัสยังความโกรธเกรี้ยวให้แก่ศาสนจักรผู้เชื่อว่าโลกคือ ศูนย์กลางของจักรวาลเป็นอย่างมาก นิโคลัส คอเปอร์นิคัสมีโอกาสพิมพ์และเผยแพร่ทฤษฎีของเขาในปี 1543 อันเป็นเวลาที่เขานอนรอความตายอยู่บนเตียงนอน

ความรู้และเทคโนโลยีหลายอย่างที่เรารู้จัก ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกค้นพบอีกครั้งเท่านั้น เป็นต้นว่ากรรมวิธีผลิตไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี่ที่ เราเพิ่งรู้จักกันมาไม่กี่ร้อยปีนี้ เมื่อสามพันกว่าปีก่อนชาวแบกแดดเขามีไว้ใช้ชุบเครื่องทองกันแทบทั้งนั้น แนวคิดเรื่องระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางก็เช่นเดียวกันครับ นักวิชาการต่างประหลาดใจไปตามๆกันเพราะหลักฐานที่มีบอกกับพวกเขาว่า แนวคิดนี้เคยถูกเผยแพร่โดยนักดาราศาสตร์โบราณมาแล้วเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล, ค.ศ. 500 และศตวรรษที่ 15 ตามลำดับ


copernican-map.jpg

แผนที่จักรวาลตามแบบฉบับของคอปเปอร์นิคัส


ยิ่งไปกว่านั้นนักวิชาการรู้สึกประหลาดใจจนยากจะอธิบายว่า เหตุใดชาวกรีกในยุคหลัง(รวมทั้งชาวโรมันในเวลาต่อมา)จึงหันมาคล้อยตามแนวคิดเรื่องโลกแบน คุ้นกันอยู่ใช่ไหมครับกับคนโบราณที่เชื่อว่าโลกของเราแบนเหมือนแผ่นกระดาน ลอยอยู่เหนือแผ่นน้ำอันดำมืด ใต้โลกลงไปเป็นพิภพของความมืดมิดที่เรียกกันว่า The World of Hades ซึ่งแนวคิดนี้นับว่าถอยหลังลงคลองชัดๆเมื่อเทียบกับข้อเท็จจริงที่ว่า บรรพบุรุษของพวกเขาค้นพบกันมานานนมว่าโลกของเรามีสันฐานกลมแป้นไม่ได้แบนราบ


ฮิปปาร์คัสนักเขียนโบราณเคยเขียนเผยแพร่ผลงานของ เขาที่อยู่บนพื้นฐานของการศึกษาเอกสารโบราณ เขากล่าวว่าความรู้ที่เขานำมาประมวลในงานเขียนของเขานั้นถูกสั่งสมถ่ายทอดมา จากบรรพชนเป็นเวลานับพันๆปี เจ้าของผลงานเดิมเหล่านั้นฮิปปาร์คัสกล่าวถึงในลักษณะของผู้มีเครดิตในงาน ของเขา ซึ่งแต่ละคนล้วนอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมียทั้งสิ้น เป็นต้นว่า นักดาราศาสตร์ชาวบาบิโลเนียนแห่งอีเร็ค, บอร์ซิปปา และบาบิโลน

เจอร์มินัสแห่งเกาะโรดส์กล่าวถึงชาวคาลเดียนอันเป็นบรรพชนของชาวบาบิโลเนียน ว่า ค้นเหล่านี้ค้นพบและคำนวณวงโคจรของดวงจันทร์ได้ ส่วนนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกชื่อไดโอโดรัส ซิคูลัส เขียนเอาไว้ในเอกสารเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนคริสตกาลว่าชาวกรีกในสมัยนั้นได้ วิชาดาราศาสตร์มาจากเมโสโปเตเมีย เขากล่าวว่าคนเล่านั้นจัดลำดับและตั้งชื่อแก่ดาวเคราะห์บนท้องฟ้า กึ่งกลางของจักรวาลคือดวงอาทิตย์อันเปล่งรัศมีเจิดจ้า ดาวเคราะห์ที่ส่องแสงนวลบนท้องฟ้าล้วนเป็นลูกหลานที่อาศัยแสงสะท้อนจากดวง อาทิตย์ทั้งสิ้น

มหัศจรรย์เหลือที่จะกล่าวจริงๆครับ คนโบราณรู้ข้อเท็จจริงว่าดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตนเองและต้องอาศัยแสง สะท้อนจากดาวฤกษ์ได้อย่างไร ในเมื่อนักวิชาการสมัยใหม่ของพวกเราเพิ่งจะค้นพบข้อเท็จจริงเมื่อไม่กี่ร้อย ปีมานี้ ห่างจากยุคสมัยของพวกเขาตั้งหลายพันปี

zodiac12.jpg


Zodiac กับราศีทั้ง 12 อันเป็นสัญลักษณ์ของโกลด์เซ็นต์ เอ๊ย... กลุ่มดาวทั้ง 12 ตามความเชื่อของชาวกรีก (ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากชาวคาลเดียนอีกต่อหนึ่ง)

พวกเราทุกคนรู้กันดีว่าพื้นทางวิชาดาราศาตร์ในปัจจุบันนั้นมาจากชาวกรี กโบราณ(ฟังแค่ชื่อดาวก็พอจะรู้ใช่ไหมครับ) แต่ทราบกันไหมว่าแหล่งความรู้ในสาขาวิชาดาราศาสตร์ของชาวกรีกนั้นมาจากชาวคา ลเดีย ซึ่งชาวคาลเดียเองก็สะสมความรู้ดังกล่าวมาจากคนรุ่นก่อนอีกทีหนึ่ง จากยุคสู่ยุค จากรุ่นสู่รุ่นย้อนหลังเวลาขึ้นไปนับไปเป็นพันๆปี สำหรับชาวกรีกโบราณแล้วคาลเดียมีความหมายเดียวกับคำว่า Stargazer และ Astronomers ครับ

ตำราประวัติศาสตร์บอกกับเราว่า ดาราศาสตร์พัฒนามาจากวิชาดูดาวและโหราศาสตร์ที่ใช้วิถีโคจรของดาวมาทำนายทาย ทักดวงชะตา จากนั้นด้วยกึ๋นอันแสนอัจฉริยะของนักวิชาการในยุโรป วิชาโหราศาสตร์จึงค่อยๆพัฒนามาเป็นดาราศาสตร์ยุคใหม่อย่างในปัจจุบัน ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วมันผิด!

ในไบเบิลฉบับพันธสัญญาเก่าเองก็กล่าวถึงข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความรู้ที่สั่งสมมาจากตะวันออกกลางแทบทั้งสิ้น เช่นเรื่องของจักรราศี กลุ่มดาว รวมถึงทางช้างเผือกเป็นต้น

จะด้วยอะไรก็ตามแต่ ดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาปรากฏการณ์บนท้องฟ้าของคนโบราณกลับกลายมาเป็นวิชาโหราศาสตร์ที ละน้อยละน้อย คนโบราณเชื่อเรื่องของอิทธิพลของดวงดาวต่อชะตามนุษย์ก็จริงครับ แต่เชื่อในลักษณะของผลกระทบโดยรวมต่อสังคมหรือบุคคลสำคัญของสังคมเช่น กษัตริย์เท่านั้น วิถีโคจรหรือปรากฏการณ์บนท้องฟ้าบางอย่างอาจส่งผลต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว โรคระบาด หรือความเข้มแข็งของนครรัฐ ไม่ได้ส่งผลต่อบุคคลในลักษณะปัจเจกเช่นวิชาโหราศาสตร์ในยุคหลังเลย

ระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางที่เราใช้กันในทุกวันนี้ เราอาศัยการขึ้นและตกของดวงดาวที่มองเห็นจากท้องฟ้าของโลก(โดยสัมพันธ์กับ ดวงอาทิตย์)เป็นมาตรวัด ทำนองเดียวกับที่ชาวเมโสโปเตเมียโบราณอย่างชาวคาลเดียนใช้สิ่งที่เรียกว่า Ephemerides เมื่อ ครั้งกระโน้น ชาวเมโสโปเตเมียเหล่านี้กล่าวว่า ความรู้ทุกอย่างในแขนงของดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ของพวกเขาได้รับการถ่ายทอด จากบรรพชน คุณคงไม่ถามผมหรอกนะครับว่าบรรพชนอันเป็นรากเหง้าของความรู้เหล่านี้เป็นใคร กันแน่

butt.gif A Radiant Celestial Body....

พูดถึงปฏิทินทางดาราศาสตร์แล้ว ชนชาติที่มีชื่อเสียงด้านนี้เห็นจะหนีไม่พ้นชาวบาบิโลเนียนกับอัสสิเรียน ทว่าทั้งสองชาตินี้กลับไม่ได้เป็นผู้ค้นคิดวิธีการคำนวณตลอดจนกำหนด คุณสมบัติสำคัญของปฏิทินทางดาราศาสตร์เลยครับ ปฏิทินของพวกเขาเป็นที่ทราบกันดีว่าไปเอาแบบมาจากต้นกำเนิดซึ่งเป็นคนโบราณ ในดินแดนซูเมอร์ นักโบราณคดีหลายคนลงความเห็นว่า รูปแบบของปฏิทินเหล่านั้นถูกดัดแปลงมาจากหลักการสร้างปฏิทินแห่งนิ ปเปอร์(Nippur) โดยเฉพาะสัญลักษณ์ที่ใช้ในปฏิทินนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเอามาจากหลักการแบ่ง ท้องฟ้าออกเป็น 3 ฟากของชาวสุเมเรียน คือ way of Enlil, Enki และ way of Anu

...ทราบไหมครับว่าปฏิทินที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ก็มีรากฐานมาจากปฏิทินแห่งนิปเปอร์นี่แหละ

พูดถึงความรู้ทางดาราศาสตร์ของสุเมเรียนโบราณกันสักนิด พวกเขามีศัพท์คำว่า DUB อันมีความหมายทางดาราศาสตร์ว่าเส้นรอบวง 360 องศาของโลก ซึ่งในสายตาของชาวสุเมเรียนมีความสัมพันธ์กับความโค้งของสวรรค์(ท้อง ฟ้า)ซึ่งครอบคลุมโลกอยู่อย่างแน่นแฟ้น เพื่อความสะดวกในการคำนวณทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ พวกเขาลากเส้นสมมติที่เรียกว่า AN.UR เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดปรากฏการณ์บนท้องฟ้า เส้นดังกล่าวนี้เป็นเส้นแบ่งในแนวนอนครับส่วนแนวตั้งนั้นพวกเขามีเส้นที่ชื่อว่า NU.BU SAR.DAR อันมีจุดสำคัญที่สุดที่เรียกว่า AN.PA หรือ Middle lines of heaven

...ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าเจ้าเส้นชื่อประหลาดๆเหล่านี้ได้รับการสืบ ทอดมาจนถึงปัจจุบัน และพวกเรารู้จักกันในนามของเส้นละติจูดและเมอร์เดียน


seal-of-sargon.jpg

The Seal of Sargon อันโด่งดัง


นอกจากนี้พวกเขายังมีศัพท์เฉพาะที่ใช้สำหรับทำปฏิทินทางดาราศาสตร์อย่าง ละเอียดละออ ตัวอย่างเช่นพวกเขามีเส้นที่แสดงช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกที่สุด ที่ชื่อ AN.BIL เป็นต้น ซึ่งหลักการ(รวมทั้งศัพท์)เหล่านี้มีให้เห็นเกลื่อนไปหมดในเอกสารโบราณของชน รุ่นหลังๆ เช่น อัคเคเดียน เฮอร์เรียน ฮิตไทต์ และชนชาติอื่นๆในแถบนั้น

น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารบางอย่าง หลักฐานบางชิ้น ที่เรามีอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่ฉบับที่เป็นออริจินอลของชาวสุเมเรียนโดยตรง แต่เป็นของชนชาติรุ่นหลัง(ที่ผมได้เอ่ยนามมาแล้ว)ซึ่งก็ไปเอามาจากต้นฉบับ ของชาวสุเมเรียนอีกต่อหนึ่ง เรื่องของการตกทอดเอกสารนี่ปัญหาใหญ่ของมันคือความคลาดเคลื่อนครับ โดยเฉพาะหากต้องมีการแปลจากภาษาต้นฉบับไปสู่อีกภาษาหนึ่ง คำ ความ และบริบทที่ถูกแปลไปมีสิทธิเพี้ยนเอาได้ง่ายๆ ซึ่งตรงนี้จะก่อให้เกิดปัญหากับผู้ศึกษาตีความเอามากๆ

อย่างไรก็ตามแต่ เอกสารโบราณจำนวนกว่า 25,000 ชิ้น ที่ถูกค้นพบในตะวันออกกลางส่วนใหญ่กล่าวถึงหลักดาราศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ หลักการบางอย่างสอดคล้องต้องตรงกับวิชาดาราศาสตร์ของเราในปัจจุบัน แต่หลักการบางอย่างก็ไม่ตรง อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเกิดจากความผิดพลาดของคนโบราณหรือว่าเป็น เพราะศาสตร์ของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ยังไปไม่ถึงกันแน่

หลักฐานชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจเป็นเอกสารโบราณของชาวบาบิโลเนียนชื่อ The Day Of Lord ซึ่งถูกจัดทำในสมัยของพระเจ้าซาร์กอนแห่งอัคเคดเมื่อประมาณ 3 พันปีก่อนคริสตกาล ส่วนอีกชิ้นมาจากสมัยราชวงศ์ที่ 3 แห่งนครรัฐเออร์(Ur) เป็นเอกสารที่รวบรวมรายชื่อของกลุ่มดาวบนท้องฟ้าเอาไว้ เจ้าเอกสารสำคัญชิ้นนี้แหละครับที่ทำเอานักโบราณคดีปวดหัวเกือบตายกว่าจะแกะ ออกมาได้ว่า มันเป็นงานเขียนที่ว่าด้วยรายชื่อของกลุ่มดาวบนท้องฟ้า

butt.gif แนวแบ่งแห่งฟากฟ้า
หลังจากศึกษาวิจัยร่วมกันมาอย่างยาวนาน สมาคมนักดาราศาสตร์โลกได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการแบ่งจุดสังเกตปรากฏการณ์ บนท้องฟ้า(เมื่อมองจากโลก)ในปี 1925 ออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆได้แก่ ท้องฟ้าทางทิศเหนือ ส่วนกลาง และทิศใต้ นอกจากนี้พวกเขายังได้แบ่งกลุ่มดาวออกเป็น 88 กลุ่มตามเซ็นต์ของอาธีนาทั้ง 88 คน เอ๊ย... เพื่อให้ง่ายต่อการสังเกตและจดจำ

มันเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเราแต่ไม่ใหม่เลยสำหรับชาวสุเมเรียนเมื่อค่อน หมื่นกว่าปีก่อน พวกเขาแบ่งสวรรค์(ท้องฟ้า)ออกเป็น 3 เส้นหรือ 3 วิถี(ways)

วิถีด้านเหนือถูกตั้งชื่อตามเทพ Enlil, ด้านใต้เป็นของ Enki ส่วนวิถีที่อยู่ตรงกลางถูกตั้งตามชื่อของบิดรเทพ Anu นอกจากนั้นชาวสุเมเรียนยังรู้จักที่จะแบ่งดาวบนท้องฟ้าออกเป็นกลุ่มดาว ซึ่งใน The Way of Anu นั้นชาวสุเมเรียนเขาแบ่งกลุ่มดาวออกเป็น Zodiac หรือจักรราศีทั้งหมด 12 ราศีแบบเดียวกับที่พวกเราแบ่งในปัจจุบันเด๊ะ

หลักการก็คือ พวกเขาแบ่งวงโคจรรอบดวงอาทิตย์(ของโลก)ออกเป็น 12 ส่วนเท่าๆกัน แต่ละส่วนมี 30 ดีกรีจาก 360 องศาของวงโคจร ดวงดาวที่ปรากฏแก่สายตาในแต่ละส่วนแบ่งนั้นจะถูกนำมาจัดเป็นหมู่ดาว พร้อมตั้งชื่อให้กับหมู่ดาวเหล่านั้นตามรูปทรงที่คนโบราณอย่างพวกเขาจะมอง เห็นเป็นอะไร

earthchro-u03.jpg

Zodiac Sign ในแบบฉบับของชาวสุเมเรียน


คำว่าจักรราศีนั้นเรามาจากคำว่า Zodiac อันมาจากคำภาษากรีกว่า ZodiakosKyklos หรือ Animal Circle รูปลักษณ์ของกลุ่มดาวจะถูกแทนที่ด้วยสัตว์เช่น สิงโต ปลา หรืออื่นๆที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทราบกันไหมครับว่า Zodiac ของชาวกรีกนั้นเอามาจากพื้นฐานทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ พวกเขาเรียกมันว่า UL.HE หรือ The Shiny Herd ครับ และนี่คือรายชื่อของ Zodiac ในภาษาสุเมเรียนครับ

1. GU.AN.NA (Heavenly Bull) Taurus
2. MASH.TAB.BA (Twins) or Gemini
3. DUB (Pinchers or Tongs) the crab, or Cancer
4. UR.GULA (Lion) Leo
5. AB.SIN (Her father was Sin), the maiden, Virgo
6. ZI.BA.AN.NA (Heavenly fate), the scales of Libra
7. GIR.TAB (Which claws and cuts), Scorpio
8. PA.BIL (Defender), the Archer, Sagittarius
9. SURHUR.MASH (Goat fish), Capricorn
10. GU (Lord of Waters), the water bearer, Aquarius
11. SIM.MAH (Fishes), Pisces
12. KU.MAL (Field Dweller) the ram, Aries


butt.gif ว่าด้วยระบบสุริยะ

ผ่านตากันไปแล้วนะครับกับจักรราศีของชาวสุเมเรียน คราวนี้ก็มาถึงหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งซึ่งยืนยันกับเราได้เป็นอย่างดี ว่า คนโบราณเหล่านี้รู้จักปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์พอๆกับที่พวกเรารู้จักกัน ชาวสุเมเรียนมีคำๆหนึ่งซึ่งใช้เรียกระบบสุริยะหรือ Solar System ของเราว่า MUL.MULผม คงไม่สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำด้วยการไล่รายละเอียดของระบบสุริยะให้คุณๆฟังกัน หรอกนะครับ ว่าระบบนี้ประกอบด้วยศูนย์กลางและดาวเคราะห์บริวารกี่ดวง ได้แก่ดาวอะไรบ้าง เพราะทุกๆคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว

โครงสร้างระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนก็ไม่ต่างกันเลยกับโครงสร้างที่พวกเรา รู้จัก ยกเว้นจำนวนของดาวเคราะห์บริวารซึ่งรายชื่อที่คนโบราณเหล่านี้ระบุไว้นั้น มันมากกว่าที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันบอกเราเอาไว้ ชาร์ลส์ ไวโรลีออด นักภาษาศาสตร์ได้ทำการแปลเอกสารโบราณอันอธิบายถึง MUL.MUL หรือ KAKABU / KUKKABU เอาไว้อย่างละเอียด แต่ส่วนที่น่าสนใจอยู่ที่สามบรรทัดสุดท้ายอันมีใจความว่า


The number of its celestial bodies is 12.
The stations of its celestial bodies 12.
The complete months of the moon, is 12.


เอาล่ะสิครับ ชนชาติที่เจริญด้วยวิทยาการซึ่งพวกเราได้ซึมทราบกันดีอย่างชาวสุเมเรียนนี้ ได้ให้หลักฐานชิ้นสำคัญไว้กับอนุชนรุ่นหลังอย่างพวกเราเสียแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า MUL.MUL อันหมายถึงระบบสุริยะในแนวคิดของพวกเขานั้นประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 12 ดวง (ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อื่นๆ) ในบทแรกๆผมได้กล่าวถึงความสำคัญของหมายเลขสิบสองในสายตาของคนโบราณไปแล้ว ดังนั้นผมไม่ย้ำรายละเอียดเรื่องเลข 12 อีกแล้วนะครับ นอกจากจะเพิ่มเติมให้ว่าชาวสุเมเรียนโบราณถือว่ามหาจักร (The Great circle of Gods) ของพวกเขาประกอบไปด้วยเทพ 12 องค์ เทพอายุเยาว์จะเข้ามาแทนที่ในลำดับมหาจักรนี้ได้ก็ต่อเมื่อเทพอาวุโสที่เคย อยู่มาก่อนได้สิ้นชีพไปแล้วเท่านั้น


nibiru2.gif


ต่อเรื่องเลข 12 อีกหน่อยดีกว่า โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของอารยธรรมมนุษย์กับเลขดังกล่าวนี้นั้นปัจจุบันยังตก ทอดมาสู่พวกเรา เช่น ในปีหนึ่งเรามี 12 เดือน, ในหนึ่งวันเรามี 2 คาบ คาบละ 12 ชั่วโมงอันเป็นการแบ่งกลางวันและกลางคืน

ไม่ประหลาดใจกันหรือครับว่า เลขฐานที่พวกเราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นฐานสิบก็จริง แต่เมื่อไหร่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความเชื่อทางศาสนาแล้ว คนโบราณมักเลือกใช้เลข 12 เป็นหลัก เช่น การแบ่งส่วนสวรรค์ของชนชาติโบราณต่างๆมักลงตัวด้วยเลข 12, เทพโบราณของชาวกรีกก่อนหน้าราชวงศ์โอลิมปัสก็มีอยู่ 12 องค์, ชาวอิสราเอลโบราณ 12 เผ่า, ส่วนประกอบเกราะของ High Priest ของชาวอิสราเอลโบราณมีทั้งหมด 12 ชิ้นตามสัดส่วนแห่งสวรรค์, อัครสาวกทั้ง 12 ของพระเยซู ฯลฯ

ภาพแสดงระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนนั้น นอกจากดาวเคราะห์ดวงที่พวกเรารู้จักกันยังมีดาวเคราะห์ลึกลับอยู่อีกดวง หนึ่ง ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์อันหมายถึงการส่องสว่างอย่างเจิดจ้า เป็นที่พำนักของ The Anunnaki เทพเจ้าที่เสด็จลงมาจากห้วงฟ้าของพวกเขา และเป็นสัญลักษณ์แทนบิดรเทพ Anu เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของชาวสุเมเรียนโบราณ

ก็ประหลาดดีเหมือนกัน(ในสายตาของคนปัจจุบัน) ที่คนโบราณที่มีอารยธรรมย้อนหลังไปนับหมื่นปีเหล่านี้จะรู้เรื่องของระบบ สุริยะ รู้ว่ามีดาวเคราะห์อีกหลายดวงอยู่ถัดจากดาวเสาร์ออกไป ดาวเหล่านั้นมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ถึงพวกเราเองก็เถอะครับ เราเพิ่งค้นพบดาวเหล่านี้โดยพึ่งอุปกรณ์อันทันสมัยและวิชาการคำนวณยุคใหม่มา เมื่อไม่นานนี้เอง หากหั่นทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศทิ้งไป เราคงได้แต่งุนงงสงสัยเพราะหาคำอธิบายในความรู้อันนี้ของคนโบราณไม่ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าทฤษฎีนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่พอสมควร นักวิชาการผู้ข้าม field มาศึกษาในสาขาวิชาแขนงนี้ก็ไม่ได้คิดกันไปเองอย่างเลื่อนลอย พวกเขาอาศัยคำยืนยันจากเอกสารโบราณหรือหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ทั้งนั้น

โดยเฉพาะชาวสุเมเรียนโบราณที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า The Anunnaki (Nefilim ตามไบเบิล) เทพเจ้าของพวกเขานั้นเดินทางมาจากดาวเคราะห์ยักษ์ใหญ่ซึ่งอยู่โพ้นดาวเสาร์ ออกไป

ดาวดวงนั้นมีชื่อว่า Marduk หรือ Nibiru ครับ...


Chapter 7: The Epic of Creation


banner_12thplanet.gif


arwrt_2.gif Chapter Seven: The Epic of Creation

butt.gif Enuma Elish

เรื่องราวทั้งหลายเริ่มต้นจากการพยายามอ่านจารึกของชาวอัคเคเดียนที่มีอายุ ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล จารึกดังกล่าวปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Vorderasiatische Abteilung ในเบอร์ลินตะวันออก (ถ้ามีโอกาสไปเยี่ยมเยียนล่ะก็ลองถามหาแคตตาล็อกหมายเลข VA/243 จากภัณฑารักษ์เค้าดูนะครับ นายโซนิคเองคาดว่าคงไม่มีวาสนา) ตัวผนึก(Seal)มีรูปของวัตถุทรงกลม 11 ดวงรายล้อมทรงกลมดวงใหญ่ที่เปล่งรัศมีเจิดจ้า ภาพลักษณะนี้เป็นที่คุ้นตานักโบราณคดีเป็นอย่างดีครับ ว่ามันคือตัวแทนของระบบสุริยะตามความเชื่อของชาวสุเมเรียนโบราณ...

...ระบบสุริยะที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 12 ดวง

enuma-sumerio.jpg

Some of The Seven Tablets of Creation


หนังสือชุด 12th Planet ของ Zecharia Sitchin กล่าวถึงมหากาพย์แห่งการสร้าง Enuma Elish ว่ามหากาพย์นี้หาใช่เทพตำนานตามที่ชนรุ่นหลังอย่างพวกเราเข้าใจไม่ หากแต่เป็นประวัติศาสตร์การ ก่อกำเนิดของโลกราหูใบนี้ซึ่งถูกเล่าเอาไว้ในรูปของเทพตำนาน ผู้ตีความต้องมีความเข้าใจทั้งในด้านโบราณคดีและวิทยาศาสตร์จึงจะจับจุดและ ตีความมันออกมาได้ (จริงไม่จริงพิจารณาเอานะครับ อย่าเผลอเป็นเนื้อชิ้นโตให้ผมตุ๋นเอาล่ะ ^^) มหากาพย์เรื่องนี้ซุกซ่อนความลับของดาวเคราะห์สีฟ้ากับบริวารที่มีนามว่าดวงจันทร์เอา ไว้อย่างมิดชิด ความลับที่กล่าวถึงการชนกันอย่างมโหฬารของดาวเคราะห์สองดวง หนึ่งในนั้นเป็นดาวเคราะห์ที่เรารู้จักกันในนามของโลกหรือ Planet Earth...

ต่อไปนี้คือเนื้อหาที่ถอดความมาจาก Seven Tablets of Creation ของดินแดนเมโสโปเตเมีย ชื่อของมันได้มาจากคำขึ้นต้นคำแรกของเรื่องคือคำว่า Enuma Elish ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า When in the heights

When in the heights…heaven had not been named…
And below, firm ground (Earth) had not been called.

เรื่องราวต่อจากนั้นของมหากาพย์ได้กล่าวถึงเทพเจ้าแห่ง สวรรค์ผู้ร่วมกันให้กำเนิดเทพองค์อื่นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จำนวนของเทพเจ้าบนท้องฟ้าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทพรุ่นเยาว์เหล่านี้สร้างเสียงดังและความโกลาหลอยู่ไม่หยุดหย่อน ยังความรำคาญให้แก่บิดรเทพผู้ให้กำเนิดเป็นยิ่งนัก

solar-system.jpg


เนื้อหาในส่วนนี้กล่าวถึงกำเนิดของระบบสุริยะ ในความว่างเปล่าอันมหาไพศาลของห้วงอวกาศ เทพเจ้า(The Gods - The Planets)ได้ถือกำเนิดขึ้น เทพเหล่านี้ถูกตั้งชื่อและกำหนดชะตากรรม (Destinies - อาจหมายถึงวงโคจร) ให้ดำรงอยู่เยี่ยงนั้นตลอดกาล น่าประหลาดใจมากครับที่ตำนานของชาวสุเมเรียนดันไปตรงกับข้อเท็จจริงทางวิทยา ศาสตร์ข้อหนึ่ง กล่าวคือในมหากาพย์อิลนูมา เอลลิช ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเทพเจ้า(หรือดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ)ออกมาว่า เทพเจ้าถือกำเนิดจากละอองหมอก ซึ่งตรงกับทฤษฎีการกำเนิดดวงดาวที่ว่าดวงดาวในอวกาศเกิดจากการรวมตัวของ กลุ่มก๊าซที่ร้อนจัด ดาวเคราะห์บริวารในระบบใดๆจะมีวงโคจรรอบดาวแม่อยู่เช่นนั้นนิรันดร ซึ่งก็ตรงกันกับข้อความที่ว่าชะตากรรมและตำแหน่งของเทพเจ้าบนสวรรค์จะดำรง อยู่เช่นนั้นโดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ผู้มีบทบาทสำคัญในตอนต้นของ The Epic of Creation นี้ประกอบไปด้วย Apsu (ผู้ถือกำเนิดก่อน), MUM.MU (ผู้กำเนิดขึ้น), และ Tiamat (สตรีแห่งชีวิต)

Apsu หมายถึงดวงอาทิตย์ และใกล้ๆตัวของ Apsu จะมีเทพนาม MUM.MU คอยสนองโองการอยู่ไม่ห่าง นอกจากนั้นยังทรงคอยทำหน้าที่คอยเป็นทูตส่งข่าวจาก Apsu ไปยังเทพองค์อื่นๆ คงพอจะเดาออกนะครับว่า MUM.MU หมายถึงดาวพุทธนั่นเอง ถ้าคุณยังจำเทพนิยายของกรีกและโรมันที่กล่าวถึงบทบาทของเทพ Mercury ได้ คุณก็คงพอจะนึกออกว่าแนวคิดเรื่องความไวและบทบาทของเทพแห่งการสื่อสารของ Mercury นี้ชาวกรีกโบราณเค้ารับการถ่ายทอดมาจากไหน

ถัดออกไปก็เป็น Tiamat นางเป็นอสูรร้ายในตำนานที่ถูกเทพมาร์ดุค(Marduk)สับร่างกายขาดเป็นชิ้นๆใน เวลาต่อมา นางเป็นดวงดาวที่หายไปากสารบบดาวของชาวสุเมเรียน ถึงกระนั้นบทบาทของ Tiamat ก็นับว่ามีความสำคัญยิ่งครับ เพราะนางเป็นถึง 1 ใน 3 องค์ประกอบหลักของจักรวาล(ตาม ที่มหากาพย์กล่าวเอาไว้) เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของน้ำแห่งชีวิต(ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าสรรพชีวิตบนโลก ถือกำเนิดมาจากน้ำ ซึ่งก็ตรงกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่ว่าชีวิตถือกำเนิดมาจากท้อง ทะเลอีก) และที่สำคัญคือเป็นต้นกำเนิดของเทพเจ้าคู่หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมา ณ ห้วงอวกาศที่อยู่ระหว่าง Apsu และ Tiamat

Their waters were mingled together…
Gods were formed in their midst:
God "LAH.MU" and God "LAHA.MU" were brought forth,
By name they were called....


ชื่อของเทพเจ้าทั้งสองที่กำเนิดขึ้นมานั้นมาจากรากศัพท์คำว่า LHM (ผู้ก่อสงคราม) ถ้าเราพิจารณาดีๆแล้วจะเห็นว่า บทบาทของเทพแห่งสงความของคนโบราณถูกยกให้แก่เทพเจ้าชายหญิงคู่หนึ่ง ผู้ก่อสงครามฝ่ายชายได้แก่พระอังคารหรือ Mars อันนี้คงไม่ต้องอธิบายกันมากเพราะแนวคิดเรื่องเทพเจ้าแห่งสงครามองค์นี้ตรง กันในหลายๆวัฒนธรรม ส่วนเทพฝ่ายหญิงนั้นคุณๆคงนึกถึงเทวีพัลลัสอาธีนาของกรีก ซึ่งผิดครับ เทพผู้ก่อสงครามของชาวเมโสโปเตเมียหมายถึงดาวศุกร์ (Venus) ซึ่งรับควบไปสองตำแหน่งคือเป็นทั้งเทวีแห่งความรักและสงคราม

ในมหากาพย์เรียกเทพเจ้าหรือดวงดาวคู่นี้ว่า LAH.MU และ LAHA.MU อันเป็นชื่อของชายหญิงคู่หนึ่ง และหมายความถึงดาวอังคารและ ดาวศุกร์ตามลำดับ ซึ่งนอกจากจะให้ความหมายตรงตามตำนานเทพปกรณัมแล้ว ยังเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันว่าผู้ชายมาจากดาว อังคาร-ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์อีกด้วย

สองสามย่อหน้าก่อนผมกล่าวถึงเทพเจ้า(ดาวเคราะห์)ผู้อยู่ถัดจากดาวอังคารที่ ได้หายไปจากสารบบใช่ไหมครับ มหากาพย์นี้ทำให้เราฉุกคิดถึงข้อสันนิษฐานทางดาราศาสตร์ข้อ หนึ่งที่ว่า เคยมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งอยู่ตรงนั้น และจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ดาวดวงนั้นได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆคงเหลือแต่แถบดาวเคราะห์น้อยหรือ Asteriods Belt อยู่บริเวณนั้น ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกันในข้อที่ว่า มหากาพย์โบราณเรื่องนี้ที่ดูเผินๆเหมือนนิทานนั้น กลับมีข้อเท็จจริงตรงกับทฤษฎีทางดาราศาสตร์หลายข้อในปัจจุบันอย่างที่สุด อืมห์... ก็คงจะบังเอิญนั่นแหละครับ เพียงแต่มันบังเอิญบ่อยไปหน่อยเท่านั้นเอง ฮ่า ฮ่า...

Before they had grown in age,
And in stature to an appointed size…
God "AN.SHAR" and God "KI.SHAR" were formed,
Surpassing them in size.
As lengthened the days and multiplied the years,
God "ANU" became their son….of his ancestors, a rival.
The "AN.SHAR’S" first-born "ANU",
As his equal and in his image begot "NU.DIM.MUD".


มหากาพย์บอกกับเราต่อไปว่า ขณะที่ดาวอังคารและดาวศุกร์กำลังก่อตัวเพื่อที่จะเป็นดาวเคราะห์ขนาดจำกัด นั้น มีดาวอีกคู่หนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้น เป็นดาวที่มีความสำคัญทั้งขนาดและศักดิ์ศรีในระบบสุริยะ (และรวมไปถึงความสำคัญในฐานะประมุขแห่งเทพเจ้าในเทพปกรณัมของหลายๆวัฒนธรรม อีกด้วย) ดาวคู่นั้นมีนามว่า AN.SHAR (มกุฏราชกุมาร ผู้มีความสำคัญที่สุดแห่งสรวงสวรรค์) และ KI.SHAR (ผู้เกิดก่อนดินแดนใดๆ) ซึ่งเมื่อดูจากสัญรูปที่ปรากฏในจารึกแล้วเทพเจ้าคู่นี้หมายถึงดาวเสาร์และ ดาวพฤหัสอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

เมื่อเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง เทพเจ้าอีกสามองค์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เทพองค์แรกได้แก่ ANU เทพ ANU นี้มีขนาดเล็กกว่า AN.SHAR และ KI.SHAR แต่มีขนาดใหญ่กว่าเทพองค์แรกคือดาวพุทธ(หรือ MUM.MU) ถัดจากนั้น ANU ได้ให้กำเนิดดาวเคราะห์ซึ่งมีขนาดและรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับตนคือ NU.DIM.MUD หรือ EA/ENKI ที่ผมกล่าวถึงบทบาทของเทพองค์นี้ไปแล้วในบทแรกๆนั่นเอง

ถ้าให้คุณเดาต่อว่าเทพ ANU กับ ENKI นี่หมายถึงดาวเคราะห์คู่ไหน คุณก็คงบอกผมได้ไม่ยากนะครับว่าคือดาวยูเรนัส (Uranus) กับดาวเนปจูน (Neptune) นั่นเอง (ของกล้วยๆใช่มะ ^^)

solar-system-interface.jpg


แล้วถัดจากนั้นล่ะครับ ดาวเคราะห์ขนาดเล็กจิ๋วที่เรารู้จักกันในนามของดาวพลูโต (Pluto) มหากาพย์ Enuma Elish ได้กล่าวถึงหรือไม่

ไม่มีดาวพลูโตครับ... ตรงกับข้อถกเถียงกันในวงการดาราศาสตร์ปัจจุบันว่า ดาวเคราะห์สองดวงอันได้แก่พลูโตและเซดน่านั้นควรหรือไม่ที่จะจัดให้อยู่ใน สารบบดาวเคราะห์ในสุริยะจักรวาลของเรา (อันเนื่องมาจากขนาด พฤติกรรม และนิยามของคำว่าดาวเคราะห์ในทฤษฎีทางดาราศาสตร์นั่นแหละครับ) ถึงกระนั้นมหากาพย์เรื่องนี้ก็ยังมีบทของดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งซึ่งมีนามว่า GA.GA ผู้ถือกำเนิดมาจากเทพ AN.SHAR หรือดาวเสาร์

แผนผังจักรวาลของชาวสุเมเรียนโบราณได้ให้ขนาดและความสำคัญของ GA.GA ให้เทียบชั้นได้กับ MUM.MU หรือดาวพุทธ ซึ่งในทางดาราศาสตร์แล้วดาวทั้งสองดวงนี้มีอะไรที่ออกจะคล้ายๆกันอยู่ แต่มันก็น่าแปลกตรงที่ว่า ถ้าคนโบราณใช้สัญลักษณ์ของ GA.GA แทนดาวพลูโตจริงๆแล้วล่ะก็ เหตุไฉนพวกเขาจึงเอาตำแหน่งของดาวดวงนี้ไปวางถัดจากดาวเสาร์ ทั้งที่ในความเป็นจริงมันควรจะอยู่ถัดจากดาวเนปจูนล่ะครับ เป็นไปได้ไหมว่าเทพ GA.GA ของชาวสุเมเรียนมีความหมายแทนดวงจันทร์ดวงใดดวงหนึ่งของดาวเสาร์ ซึ่งจัดว่ามีความสำคัญจนถึงขั้นถูกยกให้เป็นเทพเจ้าในสารบบแห่งสวรรค์ของพวก เขาในทำนองเดียวกับดวงจันทร์ของโลก ที่ถูกนับให้เป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งไปด้วย

เพื่อกันไม่ให้คุณสับสน เดี๋ยวเราจะมาไล่ลำดับของเทพเจ้าเปรียบเทียบกับลำดับของดาวเคราะห์ในระบบ สุริยะกันใหม่ เทพแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนที่เราได้ทำความรู้จักกันไปแล้วได้แก่

Sun-APSU
Mercury-MUMMU
Venus-LAHAMU
Mars-LAHMU
TIAMAT
Jupiter-KISHAR
Saturn-ANSHAR
Pluto-GAGA
Uranus-ANU
Neptune-NUDIMMUD (EA)


ไล่ดูนะครับว่ายังขาดดาวเคราะห์ดวงไหนในระบบสุริยะไปอีก เท่าที่ดูๆแล้วก็น่าจะครบน่ะนะครับ ปฐมสมาชิกแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนในยุคปฐมกำเนิดก็ดูจะมีเพียงเท่านี้ เมื่อเทียบกับแผนผังระบบสุริยะในปัจจุบันแล้วก็นับว่าเกือบครบ จะขาดไปก็เพียงแต่โลกของเราเท่านั้น...

เฮ้ย! แล้วโลก(รวมไปถึงดวงจันทร์)ของเราล่ะครับไปอยู่ซะที่ไหน โลกของเราไม่ใช่สมาชิกในช่วงปฐมกำเนิดของระบบสุริยะหรอกรึ?

Chapter 7: The Epic of Creation

butt.gif Earth an The Moon

ตามตำนานของชาวสุเมเรียนกล่าวไว้ว่า โลกและดวงจันทร์อันเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยะ(ตามความเชื่อของพวก เขา)นั้นถูกสร้างขึ้นมาหลังสุดครับ แต่เป็นการสร้างที่ค่อนข้างน่าหวาดเสียวอยู่สักหน่อย คือสร้างการจากชนกันของดาวเคราะห์สองดวง

ระบบสุริยะในช่วงนั้นขาดความเสถียรเป็นอย่างมาก เทพเจ้า(ดาวเคราะห์)แต่ละองค์ตกอยู่ในความโกลาหล โดยเฉพาะเมื่อเทพเจ้าองค์ใหม่แห่งระบบปรากฏตัวขึ้น พลังอำนาจและแรงดึงดูดที่กระทำต่อกันของเทพเจ้าในแต่ละวงโคจรจึงเริ่มปั่น ป่วนเกินจะควบคุมได้ ความรุนแรงของเหตุการณ์นี้สร้างความตระหนกให้กับสุริยเทพ Apsu เป็นยิ่งนัก มากไปกว่านั้นบทหนักของการถูกรบกวนจากแรงดึงดูดล้วนไปตกอยู่ที่ Tiamat หนึ่งในเทพผู้สร้างดั้งเดิมทั้งสาม

เพื่อไม่ให้สถานการณ์ร้ายแรงไปกว่านั้น เหล่าเทพจึงได้เรียกเทพองค์ใหม่มาสร้างความสันติให้บังเกิดแก่ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ผู้มีเทวานุภาพเป็นรองเพียงแต่สุริยเทพ Apsu เทพองค์นี้ก่อตัวขึ้นในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น ตามปกติแล้วเทพองค์นี้มีชะตากรรม(หมายถึงวงโคจร)ที่ไม่เกี่ยวข้องกับใคร แต่เมื่อระบบสุริยะเกิดความปั่นป่วนเสียสมดุลย์ เทพองค์นี้จึงถูกแรงดึงดูดดึงเข้ามายังระบบสุริยะ และตามตำนานกล่าวไว้ว่าเทพ(ดาวเคราะห์)ที่ส่งผลในการดึงเทพองค์ใหม่เข้ามา นี้คือดาวเนปจูน (NUDIMMUD) ถ้าคุณได้อ่าน Enuma Elish ฉบับการ์ตูนที่ผมเอาไปโพสต์ไว้ในเว็บบอร์ด คุณก็คงรู้แล้วนะครับว่านามของเทพองค์นี้ก็คือ Marduk หรือ Nibiru นั่นเอง


In the Chamber of Fates, the place of Destinies…
A God was engendered…..most able and wisest of the Gods…
In the heart of the deep…..was "MARDUK" created…


ด้วยการปรากฏกายจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น Marduk ยังอยู่ในฐานะของเทพที่เพิ่งกำเนิดใหม่ ทรงเพ่นความร้อนแรงจากเปลวไฟและรังสีไปรอบทิศ ตามตำนานกล่าวว่า อาภรณ์อันทรงรัศมีของ Marduk เกิดจากการประทานของเทพทั้งสิบแห่งระบบสุริยะ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าตรงนี้เป็นเรื่องของภาษาพาไปหรือว่าหมายถึงความ ปั่นป่วนของสนามแม่เหล็ก ที่ดาวเคราะห์ทั้งหลายได้กระทำแก่กันในช่วงเกิดกลียุค แต่ผลสรุปก็คือ Marduk ถูกดึงเข้าสู่แกนกลางของระบบสุริยะอย่างช้าๆ โดยมีดวงอาทิตย์เป็นจุดหมายปลายทาง

x_inner_orbit.jpg

ภาพแสดงการเข้าสู่ระบบสุริยะของ Marduk/Nibiru


การเข้าสู่ระบบสุริยะของเทพองค์นี้นับว่าสร้างความครื้นเครงจนสวรรค์แทบถล่ม เมื่อ Marduk โคจรผ่านดาวเนปจูน(NUDIMMUD) สนามแม่เหล็กระหว่างสองดาวเคราะห์ได้เกิดแรงกระทำระหว่างกันขึ้น ฤทธิ์ของเนปจูนทำให้ร่างของ Marduk ร้าวปูดออกมาแต่ก็ไม่ถึงกับหลุดแยกออกจากร่างกายหลัก แต่พอเฉียดเข้าใกล้ยูเรนัส (เทพบิดร Anu) เท่านั้นแหละครับ แผลที่เดิมที่เกิดก็ฉีกควากออกทันที ผลก็คือส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้ได้หลุดออกทั้งกระบิ และแยกตัวออกเป็นสี่ส่วนโคจรรอบดาวแม่ในลักษณะของดาวบริวารไปเลย

ตามตำนานกล่าวว่า ANU/Uranus เป็นผู้บันดาลพลังให้กับ Marduk โดยเสกลมทั้งสี่ทิศห่อหุ้มเทพองค์ใหม่เอาไว้ ลมทั้งสี่ต่างพากันหมุนวนเป็นวงโคจรรอบกายของ Marduk อย่างรวดเร็วประหนึ่งวรกายของ Marduk สวมใส่อาภรณ์ที่ถักทอจากพายุหมุนอันบ้าคลั่ง

เอาล่ะครับ เรามาไล่ลำดับที่ Marduk ทรงโคจรผ่านกันอีกทีหนึ่งดีกว่า เริ่มจาก Neptune/NUDIMMUD จากนั้นก็เป็น ANU/Uranus เป็นลำดับที่สอง มีข้อสังเกตจากตำนานอีกอย่างหนึ่งคือ Marduk ไม่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ไปด้านซ้ายหรือทวนเข็มนาฬิกา หากแต่โคจรหมุนขวาตามเข็มซึ่งนับว่าพิศดารผิดจารีตของดาวเคราะหบริวาร์ ทุกดวง!

...อย่างเชื่องช้า Marduk โคจรผ่านสองยักษ์ใหญ่แห่งระบบสุริยะ ANSHAR/Saturn และ KISHAR/Jupiter ตามลำดับ และตรงดิ่งสู่แกนกลางของระบบเข้าไปเรื่อยๆ หากวิถีของเทพองค์นี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วล่ะก็ Marduk จะไปชนกับดาวเคราะห์ Tiamat อย่างไม่ต้องสงสัย

oasis2.jpg

TIAMAT และ KINGU


การมาถึงของ Marduk สร้างความปั่นป่วนให้กับห้วงอวกาศรอบ Tiamat และดาวเคราะห์ชั้นในอีกสามดวงอันได้แก่ ดาวพุทธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร แรงกระทำที่เกิดขึ้นรุนแรงราวกับจะฉีกห้วงอวกาศรายรอบออกเป็นชิ้นๆ Tiamat โดนรบกวนอย่างหนักและเริ่มเสียเสถียรภาพราวกับตกอยู่ในวังวนของพายุ

ตามตำนานแล้ว Tiamat ป้องกันการโจมตีของ Marduk ด้วยการสร้างมอนสเตอร์จากชิ้นส่วนของตนเองจำนวน 11 ตน จากนั้นจึงบัญชาให้มอนสเตอร์เหล่านั้นเข้าโรมรันกับเทพองค์ใหม่ Marduk ระหว่างที่เทพทั้งสองโคจรเข้าใกล้กัน เปลวเพลิงอันโชติช่วงได้ลุกไหม้แผ่รังสีไปรอบอาณาบริเวณ ซึ่งตรงนี้นะครับ หากมองอย่างหนังวิทยาศาสตร์แล้วล่ะก็ มอนสเตอร์ที่ถูกสร้างจากร่างกายของ Tiamat ก็น่าจะหมายถึงดวงจันทร์บริวารหรือไม่ก็ชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ Tiamat ซึ่งแยกตัวออกจากดาวแม่เนื่องจากความรุนแรงของสนามแม่เหล็ก

tiamat.jpg

Tiamat เทวีผู้รับบทมังกรร้ายในเทพนิยายและอีกหลายๆเกมส์ในยุคนี้


ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้นี่เองครับ ในบรรดาดวงจันทร์บริวารของ Tiamat นั้นมีอยู่ดวงหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า KINGU ซึ่งเจ้า Kingu นี้ตามตำนานกล่าวว่าเป็นเทพอีกองค์หนึ่งซึ่ง Tiamat ได้สร้างขึ้นจากร่างกายของนางเอง

She exalted KINGU,
In their midst, she made him great….
The High command of the battle,
She entrusted into his hand….


ด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาลที่ดาวเคราะห์สองดวงกระทำต่อกัน ดวงจันทร์บริวารขนาดใหญ่ดวงนี้เลยเคลื่อนตัวเข้าหาดาวเคราะห์ Marduk อย่างไม่มีอะไรจะหยุดได้ ซึ่งนี่เป็นการเปลี่ยนฐานะของ KINGU จากเดิมที่เป็นเพียงดาวเคราะห์บริวารมาเป็น tablet of destinies แน่นอนครับว่าเหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้แก่เทพเจ้า(ดาวเคราะห์)ดวง อื่นๆในระบบ

marduk-t.jpg

เทพ Marduk โปรดสังเกตสัญลักษณ์กางเขนของ planet of the Cross


เมื่อดาวเคราะห์ดวงใหม่(KINGU)ถือกำเนิดขึ้นในลำดับที่สี่ของระบบ ความเสถียรที่เคยมีอยู่เดิมก็เริ่มปั่นป่วนสิครับ เหล่าเทพเจ้าถกเถียงกันว่าใครกันที่ให้สิทธิ์แก่ TIAMAT ในการถือกำเนิดดาวเคราะห์ดวงใหม่แบบนี้ เทพ Neptune/NIMMUDUD รู้สึกร้อนใจเป็นกำลัง เลยตัดสินใจนำปัญหานี้ไปปรึกษากับ Saturn/ANSHAR รายละเอียดของการหารือนี้ไม่เป็นที่ปรากฏเนื่องจากแผ่นจารึกที่กล่าวถึงตอน นี้ชำรุดครับ เลยได้แต่เดาๆกันไปเองว่าทั้งคู่ปรึกษาอะไรกันบ้าง แต่ผลสรุปของการหารือในครั้งนี้ก็คือจะต้องมีใครทำอะไรซักอย่างกับ KINGU และ TIAMAT ม่ายอย่างนั้นระบบสุริยะมีปัญหาแน่

ถ้าอ่านแล้วงงก็ทำใจหน่อยนะครับ เพราะบทนี้ผมจะพูดปนๆกันไประหว่างตำนานและการตีความ โดยจะสรุปเอา ไม่เล่าแบบการแปลบรรทัดต่อบรรทัด(ซึ่งแน่นอนว่าให้รายละเอียดที่ครบถ้วน มากกว่า แต่ผมไม่สะดวกเรื่องเวลาที่จะทำแบบนั้น ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ^^)

ว่าแต่ใครกันล่ะที่จะยอมเผชิญหน้ากับ TIAMAT? แม้แต่บิดรเทพ Uranus/ANU เองก็ยังส่ายหัวไม่เอาด้วย พระองค์ให้เหตุผลว่า TIAMAT น่ะจะเข้าไปพบนางเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไปแล้วกลับไม่ได้นี่สิ...ที่เป็นปัญหา ก็เห็นจะจริงล่ะครับ ขืนพุ่งเข้าไปเป็นมีปัญหากับดวงอาทิตย์แน่ๆ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันล่ะ?

Chapter 7: The Epic of Creation

butt.gif Earth an The Moon

เมื่อ Marduk โคจรผ่านดาวเนปจูนและยูเรนัสไปและเข้าใกล้วงแหวนของ ANSHAR/Saturn (ถึงบอกไงว่ามันเป็นตำนานที่น่าทึ่ง เพราะต่อให้ตัดเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศออกไป คนโบราณเหล่านี้ก็ยังมหัศจรรย์อยู่ดีที่พวกเขารู้ว่าดาวเสาร์มีวงแหวน) ANSHAR/Saturn จึงปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันทีครับว่าจะจัดการกับ TIAMAT ซึ่งกำลังสร้างปัญหานี้อย่างไรดี กุญแจสำคัญของการนี้อยู่ที่ดาวเคราะห์ยักษ์ที่ชื่อ MARDUK/NIBIRU นี่แหละ

ตามปกติแล้ว MARDUK กับ TIAMAT จะไม่มีวันจ๊ะเอ๋กันได้เลย เนื่องจากวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ของ Marduk นั้นกินรัศมีกว้างมาก กว้างกว่าดาวเคราะห์บริวารดวงใดๆในระบบสุริยะ ทว่าด้วยแผนของ ANSHAR/Saturn วงโคจรของ Marduk เลยเบี่ยงไปจากเดิมเล็กน้อย

ผมเข้าใจว่าแผนดังกล่าวเป็นเพียงการต่อเติมของคนโบราณครับ เรื่องของเรื่องคือเมื่อสนามแม่เหล็กเกิดผันผวนวงโคจรของ Marduk ก็เลยเบี่ยงไปอย่างที่กล่าวไปแล้ว หลังจากผ่านดาวยูเรนัสกับเนปจูนมาได้ Marduk ก็มาเฉียดยักษ์ใหญ่อย่างดาวเสาร์(ANSHAR)เข้าให้ ยังผลให้ดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์ดวงหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง และหลุดออกไปเป็นดาวเคราะห์อิสระอีกดวงคือ Pluto/GAGA ในที่สุด

...แต่ตรงนี้ก็มีคนแย้งขึ้นมาเยอะเหมือนกันครับว่า Zecharia Sitchin ให้คำอธิบายการกำเนิดดาวพลูโตแบบตีขลุมเกินไป เพราะในแผนผังระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนโบราณนั้นไม่ได้ระบุถึงดาวพลูโต ณ ตำแหน่งปัจจุบันของมันเลยแม้แต่น้อย...


เป็นไปได้ไหมว่า ชาวสุเมเรียนโบราณไม่ได้นับพลูโตเป็นดาวเคราะห์อย่างที่พวกเรานับกัน ว่ากันตามตรงนักดาราศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังเถียงกันอยู่เลยครับว่าพลูโต (รวมทั้งน้องใหม่อย่าเซดนา) ควรได้รับการนิยามว่าเป็นดาวเคราะห์หรือไม่ เนื่องจากในตอนค้นพบพลูโตนั้นวงการดาราศาสตร์กระหายอยู่แล้ว ที่จะค้นหาดาวบริวารดวงถัดๆไปของดวงอาทิตย์ อีกทั้งเลข 9 ก็เป้นเลขที่สวยงามตามความเชื่อของมนุษย์อยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าพลูโตจะเข้าข่ายของดาวเคราะห์หรือไม่ พลูโตก็ไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธตำแหน่งบริวารหมายเลข 9 ของดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน

...และที่ Sitchin ตีความตำนานการกำเนิดของ Pluto ออกมาอย่างนี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์(ในสมัยที่เขา เขียนหนังสือเล่มนี้) หรืออีกนัยหนึ่งพยายามหาดาวเคราะห์มาให้ครบ 9 ดวงเท่านั้นเอง แต่นี่เป้นเพียงข้อสันนิษฐานของนายโซนิคเท่านั้นนะครับ เท็จจริงอย่างไรไม่ขอยืนยัน :)


nibiru-art.gif

การเผชิญหน้าระหว่าง Marduk กับ Tiamat


โม้อยู่ตั้งนานมาเข้าเรื่องของเราดีกว่าครับ...

GAGA ชักนำเทพอื่นๆเพื่อกระตุ้นให้ Marduk เบี่ยงวงโคจร เทพทั้งหลายลงมติเห็นชอบและเชียร์ Marduk กันอย่างอื้ออึง เสียงตะโกนร้องดังกึกก้องไปทั่วระบบสุริยะ Marduk ผู้ถูกยกให้เป็นจอมราชันย์องค์ใหม่เริ่มเปลี่ยนเส้นทางเดิมของตน และมุ่งหน้าอย่างฮึกเหิมเพื่อปลิดชีพของ TIAMAT ผู้กำลังสร้างความปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้ ดาวเคราะห์ทั้งหลายต่างผนึกกำลังส่งแรงดึงดูดเพื่อกำหนดวงโคจรใหม่ของ Marduk วงโคจรที่จะสร้างความสะเทือนไปทั่วระบบสุริยะ เพราะปลายสุดของการเดินทางนั้นอยู่ที่การโรมรัน(หรืออีกนัยหนึ่งการชน)กับ อสูรร้าย TIAMAT!

ดาวเคราะห์ทั้งสองดวงเริ่มปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่กัน แรงดึงดูดอันมหาศาลที่กระทำต่อกันเริ่มแผ่เป็นตาข่ายมหึมา และทั้งคู่ก็เคลื่อนที่เข้าใกล้กันทีละน้อยละน้อย...

ตำนานกล่าวเอาไว้ว่าอาวุธหลักที่ Marduk ใช้โรมรันกับ TIAMAT คือดาวบริวารของพระองค์อันเป็นสายลมทั้งสี่ที่ได้รับการประทานมาจาก Uranus/ANU คือ ลมใต้ ลมเหนือ ลมตะวันออกและ ลมตะวันตกตามลำดับ (คงหมายถึงชื่อของดวงจันทร์ ไม่ใช่สายลมจริงๆ) แถมตอนที่ Marduk โคจรผ่านยักษ์ใหญ่อย่างดาวเสาร์และดาวพฤหัสมานั้น Marduk ทรงได้รับอาวุธอันเปนดวงจันทร์เพิ่มมาอีกสามดวง ดวงจันทร์ทั้งสามที่กลายมาเป็นบริวารใหม่ของ Marduk อันเนื่องมาจากแรงดึงดูดนั้นได้แก่ ลมร้าย ลมหมุน และลมไร้พ่าย(Matchless wind)

x_smash_earth1.jpg

เมื่อลมเหนือ(Northwind)ชน TIAMAT เข้า เทหวัตถุ 2 ชนิดก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
หนึ่งคือโลก อีกหนึ่งคือ Asteroid Belt


กล่าวโดยสรุป เมื่อระบบสุริยะเกิดไม่เสถียรขึ้นทำให้ดวงอาทิตย์และดาวบริวารทั้งเก้า ต้องเผชิญกับดาวเคราะห์ยักษ์ใหญ่ซึ่งมีวิถีการโคจรคล้ายดาวหาง ดาวดวงนี้มาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมุ่งหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ในตอนแรกดาวดวงนี้นี้โคจรผ่านดาวเนปจูน จากนั้นจึงเป็นดาวยูเรนัส ดาวเสาร์และดาวพฤหัส จากแรงกระทำต่างๆทำให้ดาวยักษ์ดวงนี้มีบริวารเพิ่มขึ้นมาอีก 7 ดวง และอย่างไม่มีทางเลือก ดาวยักษ์ดวงนี้ต้องชนกับดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า TIAMAT ซึ่งบังเอิญมาขวางวงโคจรของมันเข้า

บังเอิญว่าดาวเคราะห์สองดวงนั้นไม่ได้ชนกันครับ (ถ้าชนจริง ป่านนี้ก็ไม่มีเราแล้วแหละ ^^) แม้ตำนานจะว่าอย่างนั้นแตในความเป็นจริงแล้วดวงจันทร์ของ Marduk ต่างหากครับที่ชน ไม่ใช่ตัวของ Marduk เองอย่างที่ตำนานกล่าวเอาไว้ การเผชิญหน้ากันครั้งแรกของ Marduk และ TIAMAT ทำให้ตัวเธอปริแตกอย่างน่ากลัว เนื้อเรื่องส่วนนี้กลับมาตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ซึ่งผมจะกล่าวถึงใน ภายหลังครับ

ตามปกติแล้ววงโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์จะมีลักษณะเกือบเป็นวงกลม (ยกเว้นพลูโต) ส่วนวงโคจรของดาวหาง(ซึ่งก็เป็นบริวารของดวงอาทิตย์เช่นเดียวกัน)กับยืดออก ในลักษณะคล้ายวงรี ดาวหางเกือบทั้งหมดมีวงโคจรที่ยาวมากๆ จนหลายครั้งที่ดาวหางเหล่านั้นจะโคจรผ่านจุดที่เราไม่อาจสังเกตเห็นได้นับ ร้อยนับพันปี จนกว่ามันจะโคจรกลับเข้ามาเฉียดโลกอีกครั้ง

butt.gif The Comets...
hya4-p.jpg


อย่างที่กล่าวไปแล้วนะครับว่าดาวเคราะห์ทุกดวงยกเว้นพลูโตนั้น มีวงโคจรในลักษณะเดียวกันและเกือบอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งสิ้น แต่ดาวหางกลับมีระนาบการโคจรที่แตกต่างกันไปในแต่ละดวง ที่น่าสังเกตก็คือ ในขณะที่ดาวเคราะห์โคจรเป็นวงกลมรอบดวงอาทิตย์ในทิศทวนเข็มนาฬิกา ดาวหางกลับโคจรในทิศทางที่สวนกับดาวเคราะห์ ทั้งที่มันก็โคจรรอบดวงอาทิตย์เหมือนๆกัน คำถามก็คือทำไม

นักดาราศาสตร์บางท่านตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะมีพลังงานบางอย่าง หรืออุบัติกาลอันรุนแรงบางประการที่สร้างดาวหางเหล่านี้ขึ้น และเหวี่ยงมันเข้าสู่วงโคจรอันแปลกประหลาดนี้ เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นกำเนิดของดาวหางบริวารผู้งดงามแห่งระบบสุริยะนั้นคือ Marduk

มันก็เป็นไปได้เหมือนกันนะครับ เพราะพี่แกโคจรแบบสวนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ด้วยขนาดอันมหึมาและแรงดึงดูดอันมหาศาล เมื่อผ่านบริเวณใด Marduk กว่ากวาดเทหวัตถุใหญ่น้อยตามรายทางเสียราบเรียบ จนกระทั่งร้าวและแตกออกเมื่อชนกับ TIAMAT เข้า เศษชิ้นส่วนจาก Marduk จึงกลายมาเป็นดาวหาง แรงกระทำของ Marduk ยังคงมีผลกับเศษดาวเหล่านี้ ทำให้วงโคจรของพวกมันแปลกประหลาดไปจากดาวเคราะห์อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน นี่แหละครับ

ตำนานกล่าวต่อไปว่าหลังจากการต่อสู้จบลง Marduk ได้กลายเป็นเทพเหนือเทพ และคงสถิตย์อยู่บนสวรรค์ตราบนานเท่านาน ซึ่งเราพอจะอนุมานได้ว่า Marduk/Nibiru ชนะศึก TIAMAT แต่พ่ายต่อแรงดึงดูดของ APSU หรือดวงอาทิตย์ ทำให้ Marduk ต้องแปรสภาพจากดาวจรมาเป็นบริวารของดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง และยังคงโคจรรอบดวงอาทิตย์มาจนถึงทุกวันนี้


butt.gif ข้อมูลจาก Genesis

หลังจากปราบ TIAMAT ลงได้ เทพ Marduk ก็ได้กลับคืนสู่สรวงสวรรค์... อวกาศชั้นนอก โคจรรอบ APSU หรือดวงอาทิตย์ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นอุบัติเหตุทางแรงดึงดูดโดยแท้

หลังจากปรากฏการณ์อันสะเทือนจักรวาลนี้มีอะไรต่อ? ท่านที่คุ้นเคยกับ Epic of Creation ก็คงจะตอบได้นะครับ ว่าเป็นตำนานการสร้างโลกของ Marduk เช่นการสร้างมนุษย์ สัตว์ และสรรพสิ่งตามสไตล์ Mythology โบราณเขาล่ะ ซึ่งตรงนี้นี่เองที่ทำให้หลายคนได้เค้าเงื่อนสำคัญ เพราะถ้าว่าถึงตำนานแห่งการสร้างแล้ว คงไม่มีตำนานไหนตรึงใจและได้รายละเอียดเท่ากับบทบาทการสร้างโลกของพระยะโฮวา ในบท Genesis ของไบเบิล

ปัจจุบันนักวิชาการหลายคนยอมรับแล้วครับว่า Genesis มีส่วนคล้ายคลึงกับตำนานการสร้างของชาวสุเมเรียนอยู่ไม่น้อย และเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าตกลงใครเอามาจากใคร ฮีบรูว์หรือสุเมเรียน เพราะถ้านับอายุแล้วสุเมเรียนเก่ากว่าเห็นๆ ประเด็นนี้เอาไว้ถกกันทีหลังเถิดครับ ทราบกันแต่ว่า หลังจาก Enuma Elish จบลง Genesis ก็เข้ามาสานต่อเรื่องราวได้พอดิบพอดีราวกับเป็นภาคต่อกันยังไงยังงั้นเลย ^^

ตำนานกล่าวต่อไปว่า ชิ้นส่วนของ TIAMAT ได้กลายมาเป็นโลกที่เราอยู่อาศัยในปัจจุบัน นั่นหมายถึงแรงปะทะระหว่างดาวเคราะห์ทั้งสอง Marduk - TIAMAT (จริงๆแล้วที่ชนคือดวงจันทร์ของ Marduk นามว่า North Wind) ทำให้ชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของ TIAMAT ส่วนหนึ่งถูกผลักเข้าไปยังวงโคจรซึ่งไม่มีดาวเคราะห์ดวงใดโคจรอยู่ในตอนนั้น และในที่สุดก็กลายมาเป็นดาวเคราะห์บิดๆเบี้ยวนามว่าโลกดังปัจจุบัน ดังที่ตำนานว่าไว้ว่า "destined to become the Earth"…


asterods.jpg


butt.gif กำเนิดของ Asteroid Belt

การชนของ Marduk ยังก่อให้เกิดปรากฏการณ์อื่นๆอีก ในการโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นรอบที่สองนั้น Marduk เป็นฝ่ายชนเศษส่วนที่เหลือของ TIAMAT ด้วยตนเอง ชิ้นส่วนเหล่านั้นกระจัดกระจายกลายมาเป็นกำไลอันสวยงามแห่งสรวงสวรรค์ กำลังดังกล่าวทำหน้าที่เป็นฉากกั้นกลางระหว่างหมู่เทพเจ้าที่อยู่ชั้นในและ ชั้นนอกของสรวงสวรรค์...

...กำไลสวรรค์ตามตำนานจะเป็นอะไรไปได้ล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ Asteroid Belt หรือกลุ่มดาวเคราะห์น้อยในปัจจุบัน (เคยมีนักวิทยาศาสตร์บางท่านตั้งสมมติฐานว่า ต้นกำเนิดของดาวเคราะห์น้อยเหล่านั้นน่าจะมาจากการระเบิดของดาวเคราะห์ บางดวง ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อมันเอาไว้สวยหรูว่าเฟอีธอน สมมติฐานดังกล่าวใกล้เคียงกับเรื่องเล่าเก่าเก็บของเมโสโปเตเมียเมื่อเกือบ หมื่นปีก่อนมากๆ รายละเอียดอ่านได้จากลิงค์นี้ครับ http://www.thai.net/myth/mytpln/mytpln_1.htm)

ไม่ว่าคุณจะเลือกเชื่อนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันหรือตำนานของคนโบราณ (หรือไม่เชื่อฝ่ายใดเลย รับฟังเฉยๆอย่างผม ^^) ข้อสรุปที่พ้องต้องตรงกันก็คือ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่แบ่งดาวเคราะห์บริวารของดวงอาทิตย์ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่เราเรียกว่าดาวเคราะห์ชั้นในได้แก่ ดาวพุทธ, ดาวศุกร์, โลกกับดวงจันทร์ และดาวอังคาร ส่วนกลุ่มที่สองเรียกว่าดาวเคราะห์ชั้นนอกซึ่งนับจากดาวพฤหัสเป็นต้นไป ดาวเคราะห์ทั้งสองกลุ่มถูกกั้นด้วยฉากตามธรรมชาติที่ชาวเมโสโปเตเมียโบราณ เรียกว่ากำไลสวรรค์ ในขณะที่พวกเราปัจจุบันรู้จักมันในนามของ Asteroid Belt ครับ :)

asteroidbelt3.jpg

กำไลแห่งสวรรค์ Asteroid Belt ที่เป็นเส้นกั้นระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในและชั้นนอก


จากมหากาพย์โบราณนี้ทำให้เราได้แนวทางของปริศนาหลายอย่าง ที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังขบไม่แตก ผมบอกว่าแนวทางนะครับ ไม่ใช่คำตอบ หึ หึ...

เริ่มจากทฤษฎีที่ว่าเคยมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งเป็นบริวารของดวงอาทิตย์ เช่นเดียวกัน ดาวเคราะห์ดวงนี้หายไปจากระบบสุริยะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ต่อมาก็เป็นพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของดาวเคราะห์พลูโต ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากแรงดึงดูดของอะไรบางอย่าง (ส่วนจะเป็นอะไรนั้นปัจจุบันเรายังไม่ทราบ ที่แน่ๆไม่ใช่เซดนาครับ) ปริศนาอีกประการคือกำเนิดของแถบดาวเคราะห์น้อย (Asteroid Belt) และข้อสุดท้ายซึ่งเป็นข้อที่เกี่ยวกับพวกเราทุกคนโดยตรง กำเนิดของโลกและดวงจันทร์ :)

สำหรับบุตรชายคุณนายช่างฝันทั้งหลายคงหาคำตอบได้ไม่ยากจาก Epic of Creation ที่ผมเล่ามา และมากไปกว่านั้น คุณอาจจะได้คำตอบที่ว่าทำไมสันฐานของโลกเราจึงไม่กลมดิกอย่างที่ควรเป็น หากแต่มีทวีปสูงต่ำอยู่ที่ซีกหนึ่ง ส่วนซีกตรงข้าม(มหาสมุทรแปซิฟิก)กลับแหว่งเว้าเป็นหลุมมหึมา คำถามนี้ย้อนให้เรากลับไปพิจารณาถึงตำนานที่เกี่ยวกับน้ำของอสูรร้าย TIAMAT อีกครั้ง อสูรร้ายนางถูกคนโบราณเรียกว่า Watery Monster ครับ ดังนั้นเราไม่ต้องสงสัยอะไรเลยว่าน้ำบนโลกของเรา(ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่แตกออก มาจาก TIAMAT)นั้นมาจากไหน

นักวิชาการในปัจจุบันมักเรียกโลกของเราว่า Planet Ocean เนื่องจากโลกเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีมหาสมุทรอันเป็นต้น กำเนิดแห่งชีวิต(เท่าที่ทราบในปัจจุบัน) แต่ก็มีหลายกระแสสันนิษฐานว่าดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ชั้นนอกบางดวง เช่น ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูนก็อาจมีมหาสมุทรอยู่ด้วยเช่นกัน ข้อสันนิษฐานนี้คงกระจ่างในเร็ววันนี้แหละครับ ^^

ย้อนกลับมาที่ไบเบิลกันสักนิด มีศัพท์คำหนึ่งใน Genesis ที่น่าสนใจคือคำว่า Tehom(watery deep) ซึ่งดูแล้วน่าจะแผลงมาากคำว่า TIAMAT ครับ และ Tehom-Raba ในไบเบิลก็แปลว่า Great TIAMAT อีกด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรใช่ไหมล่ะครับ ถ้าเรายังยึดสมมติฐานเดิมของเราอยู่ว่า เนื้อหาในไบเบิลฉบับ Old testament นั้นส่วนหนึ่งมาจากตำนานของชาวสุเมเรียนโบราณ

ลองมาดูตรงนี้อีกนิด กับตำนานที่กล่าวถึงรายละเอียดการสร้างโลกของ the Lord เช่น สายลมของพระองค์ที่พัดครอบคลุม Tehom เอาไว้ สายฟ้าของพระองค์ที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิดของจักรวาล (และผ่า TIAMAT ออกเป็นส่วนๆในเวอร์ชั่นบาบิโลเนียน) สายฟ้านี้ก่อให้เกิดโลกและ Rakia (แปลว่ากำไลที่ถูกสร้างขึ้นจากฆ้อนยักษ์) แถบแห่งสวรรค์... แต่ความหมายของไบเบิลฉบับแปลกลับหมายความถึงท้องฟ้าทั้งหมดครับ ไม่เหมือนฉบับของสุเมเรียนที่ชี้ชัดลงไปเลยว่า แถบแห่งสวรรค์หรือกำไลที่ถุกสร้างขึ้นนั้น อยู่ตรงจุดที่เป็น Asteroid Belt ในปัจจุบัน

หลังจากที่ลมหนือของ Marduk พัดเอาโลกไปอยู่ในตำแหน่งของมัน โลกก็เริ่มโคจรรอบดวงอาทิตย์ก่อให้เกิดฤดูกาลขึ้น เมื่อแกนของโลกเริ่มหมุนเวลาอันเป็นกลางวันและกลางคืนก็ได้เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในตอนนั้นเอง...

creationdays2.jpg

ลำดับการสร้างโลกตาม The book of Genesis  


จารึกเมโสโปเตเมียโบราณกล่าวถึงกิจของ Marduk หลังจากที่สร้างโลกขึ้นมาแล้วว่า พระองค์ทำให้โลกมีเวลากลางวันและกลางคืนตามกฏแห่งธรรมชาติ (เห็นไหมว่าพระเจ้าอย่าง Marduk ไม่ได้ทรงมีอภินิหารเหนือกาลเวลาอันเป็นกฏสากลแห่งจักรวาลเลย) จากนั้นเมฆและน้ำของโลกก็ก่อตัวขึ้นเป็นมหาสมุทร (คนโบราณพวกนี้รู้วัฏจักรของ น้ำ-เมฆ-ฝน ด้วยแฮะ ^^) มหาสมุทรได้แบ่งโลกออกเป็นส่วนและเป็นทวีป...

เมื่อทวีปผุดตัวขึ้น Marduk ทรงก่อให้เกิดความเย็นอันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนและหมอก ฝนตกลงสู่พิภพเบื้องล่างก่อให้เกิดสายธารกัดเซาะตามทวีป ก่อให้เกิดภูเขา แม่น้ำ น้ำพุ และหุบเหว ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้คนโบราณเชื่อว่าเป็นการรังสรรค์ของเทพเจ้าผู้ยิ่ง ใหญ่จากโพ้นอวกาศ Marduk...

มาถึงตรงนี้ Book of Genesis และ Enuma Elish (รวมถึงตำนานการสร้างโลกในอีกหลายชนชาติ) ก้ได้กล่าวอย่างตรงกันแล้วครับว่า สถานที่ที่ชีวิตบนโลกได้ก่อกำเนิดขึ้นมาก่อนใครเพื่อนนั้นคือมหาสมุทร ตามมาด้วยสิ่งมีชิวิตที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างเป็นกลุ่มก้อน พวกมันอพยพขึ้นมาอยู่บนบก จากนั้นก็เริ่มบิน...

ชีวิตกลุ่มต่อมาก็คือบรรดาสัตว์กินพืชที่ปัจจุบันเป็นสัตว์เลี้ยงของพวกเรา นอกจากนั้นสัตว์รูปร่างน่าเกลียดเช่นสัตว์มีพิษและอสูรร้ายก็ได้ถือกำเนิด ขึ้น พัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามประสงค์ของ Marduk จนกระทั่งขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างโลกมาถึง กำเนิดของมนุษยชาติ... ซึ่งเป็นตอนท้ายสุดของ Epic of Creation พอดี๊ พอดี...

butt.gif เมื่อดวงจันทร์ถือกำเนิด

earth-moon.jpg

Earth and SHES.KI or Tiamat and Kingu


จากนั้นเทพองค์ใหม่ที่โคจรรอบโลกก้ได้กำเนิดขึ้น Marduk ทรงสร้างดวงจันทร์อันศักดิ์สิทธิ์ขึ้น เพื่อให้ดวงจันทร์เป็นเครื่องหมายอันแสดงถึงกลางคืน แหละเป็นสิ่งที่ให้มนุษย์ใช้เป็นตัวนับจำนวนวันในแต่ละเดือน

จารึกโบราณเรียกดวงจันทร์ว่า SHES.KI เทพผู้พิทักษ์โลก แต่ SHES.KI มาจากไหนล่ะครับในเมื่อ Epic of Creation ที่เราฟังมาเมื่อตอนที่แล้วนั้นไม่ได้กล่าวถึงนามของเทพองค์นี้เลย บทบาทของ SHES.KI มีแต่เพียงว่าคอยวนเวียนเพื่อพิทักษ์องค์เทวีซึ่งน่าจะหมายถึงโลกนั่นแหละ แต่เป็นโลกไหนครับ โลกเมื่อครั้งยังเป็น TIAMAT หรือว่าโลกที่เรียกกันว่า Planet Earth ในปัจจุบัน?

จาก Enuma Elish มหากาพย์แห่งการสร้างนั้น TIAMAT และ Earth เป็นดาวดวงเดียวกันหากแต่ถูกเรียกต่างชื่อ ต่างเวลา ในเมื่อ TIAMAT กลายมาเป็นโลกปัจจุบันได้ KINGU บริวารดวงสำคัญของ TIAMAT ซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์นางจากการราวีของ Marduk ก็ไม่น่าจะไปไหนไกลเสีย

สรุปง่ายๆถ้า TIAMAT = Earth แล้ว KINGU ก็น่าจะเป็น SHES.KI เทพปริศนาผู้ไร้ชาติกำเนิดใน The Epic of Creation นั่นล่ะครับ

butt.gif Pluto เทพผู้ไม่ปรากฏในสารบบเทพของสุเมเรียน

ตำนานกล่าวว่า หลังเกิดวิกฤตการณ์เทียแมตและคิงกูแล้ว เทพเจ้ามาร์ดุคได้เดินทางข้ามขอบสวรรค์อีกครั้งเพื่อเยือนดินแดนอันไกลโพ้น ในการเดินทางครั้งนี้เทพมาร์ดุคมีจุดประสงค์เพื่อจัดแจงชะตากรรม (destiny-หมายถึงวงโคจร)ของเทพองค์หนึ่งที่ชื่อ GAGA ให้เรียบร้อย ถ้าลืมไปแล้วผมทวนความจำให้นิดนึงละกันนะครับว่า GAGA ทรงทำหน้าที่เป็นทูตคนสนิทให้กับดาวเสาร์(ANSHAR/Saturn) เทพเจ้าผู้ทรงวงแหวนอันงดงาม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ GAGA คือดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์

มาร์ดุคจัดแจงให้เทพองค์นี้มีที่สถิตใหม่อันซ่อนเร้น ซึ่งอาจหมายถึงวงโคจรรอบนอกซึ่งไกลกว่าเดิมและยากจะสังเกตเห็น และมาร์ดุคได้เปลี่ยนนามของ GAGA เป็น US.MI (แปลว่าผู้ชี้ทาง) ดาวเคราะห์ดวงที่เก้าตามสารบบดาราศาสตร์ในปัจจุบัน... พลูโต

แค่เข้าสู่ระบบสุริยะได้รอบเดียวมาร์ดุคนำโลก(อดีตเทียแมต)เข้าสู่วงโคจร ใหม่ที่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากขึ้น ทรงตีกำไลมือแห่งสวรรค์ (หรือ Asteroid Belt นั่นแหละ) ที่กลายเป็นเส้นแบ่งแดนระหว่างดาวเคราะห์ชั้นในกับชั้นนอก ทรงแปรสภาพดาวบริวารของเทียแมตเกือบทุกดวงให้เป็นดาวหาง บริวารดวงใหญ่ที่สุดของเทียแมตนามคิงกูกลายเป็นดวงจันทร์เทพพิทักษ์ของโลกไป ชะตากรรมลักษณะคล้ายๆกันเกิดขึ้นกับดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์นาม GAGA ที่ถูกแรงดึงดูดเจ้ากรรมเล่นงานให้กระเด็นจากวงโคจรเดิม กลายเป็นดาวเคราะห์ Pluto และพลานุภาพที่มาร์ดุคทำกับพลูโตยังส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้ คือวงโคจรอันแสนประหลาดผิดไปจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆนั่นเอง

เมื่อตำแหน่งดาวเคราะห์แต่ละดวงในวงโคจรใหม่ลงตัวแล้ว มาร์ดุคได้วางตำแหน่งของตนเองบ้างในฐานะของ Planet of the Cross: Nibiru เดินทางสัญจรไปรอบแอปซู (APSU/Sun) ในฐานะของเทพเจ้าองค์ที่สิบสองของมหาวงจรศักดิ์สิทธิ์

...ซึ่งทั้งหมดทั้งเพที่กล่าวมาแล้วนั้นคือที่มาของชื่อ the Twelve Planet หรือ Twelve Celestial bodies ครับ


planetline.jpg

กึ่งกลางของสรวงสวรรค์และปวงเทพ งั้นก็ดาวพฤหัสน่ะสิ...


butt.gif Marduk / Nibiru
แรกทีเดียวนักสุเมเรียนวิทยาเชื่อกันว่า MARDUK หมายถึงดาวเหนือ (North Star) หรือไม่ก็ดาวฤกษ์ซักดวงที่สว่างเอามากๆที่ชาวสุเมเรียนโบราณสามารถสังเกต เห็นได้ในช่วงฤดูร้อน ทั้งนี้เพราะในตำนานเน้นเหลือเกินว่าวรกายของจอมเทพมาร์ดุคเปล่งแสงเจิดจ้า กลางสรวงสวรรค์ แต่เทพเจ้าองค์นี้จะทรงเป็นดาวเหนือหรือดาวฤกษ์ได้อย่างไรเล่าครับ ในเมื่อตำนานระบุไว้อย่างชัดเจนว่ามาร์ดุคทรงเป็นสมาชิกดวงหนึ่งของระบบ สุริยะด้วย

อันเนื่องมาจากจารึกบางชิ้นพรรณนาถึง MARDUK ว่าเป็นดาวที่มีขนาดใหญ่โตกว่าดวงอื่นๆ แถมมีแสงสว่างเจิดจ้ากว่าใครเพื่อน ดังนั้นนักโบราณคดีบางคนจึงสงสัยว่า MARDUK ที่ปรากฏในตำนานของบาบิโลเนียน(ที่ถ้าเทียบบทบาทกันฉากต่อฉากแล้ว ก็เทียบได้กับสุริยเทพ Ra ของอียิปต์)อาจหมายถึงดวงอาทิตย์ก็เป็นได้ นักโบราณคดีบางคนมั่นใจจนถึงกับยกข้อความสรรเสริญ MRADUK ในจารึกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ว่า MARDUK ทรง "**censor**ส่องทั่วห้วงสรวงสวรรค์จากเบื้องสูง ทรงรัศมีเจิดจ้าเป็นอาภรณ์ ให้แสงสว่างอันอบอุ่นจรรโลงใจ" ไอ้ข้อความทำนองนี้น่ะมันบทสวดสรรเสริญสุริยะเทพชัดๆ ท่านว่าอย่างอย่างนั้นน่ะนะ...

ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรครับ ที่หนังสืออารยธรรมบางเล่มที่คุณจับกล่าวถึง MARDUK ในบทบาทของสุริยเทพ บางเล่มเอาไปรวมกับ Shamash ซึ่งเป็นคนละองค์กัน ทำไมถึงว่าอย่างนั้นน่ะหรือครับ ก็บทสรรเสริญเจ้ากรรมที่ยกตัวอย่างมานั้นยังมีข้อความต่ออีกน่ะซีครับว่า MARDUK ทรง"สัญจรไปทั่วดินแดนต่างๆประหนึ่ง SHAMASH"

SHAMASH หรือ UTU เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ที่ผมเคยเล่าไปในตอนก่อนๆ ยังจำได้ใช่ไหมครับ?

ดังนั้น ถ้า MARDUK เปรียบประหนึ่งดวงอาทิตย์ทั้งรูปลักษณ์และพฤติกรรม ก็ย่อมหมายความว่าเทพเจ้าองค์นี้เพียงแต่"คล้ายกับ"ดวงอาทิตย์เท่านั้น ไม่ได้ทรงเป็นดวงอาทิตย์เสียเองอย่างที่นักโบราณคดีบางคนเชื่อ และที่พวกเขาเลือกเชื่อหรือเสนอทฤษฎีอย่างนั้นขึ้นมาก็เพราะ MARDUK เป็นตัวแทนของดาวเคราะห์บางดวงที่ไม่มีในสารบบดาวสมัยใหม่ของพวกเรา เรื่องนี้จึงอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่

นักวิชาการผู้พะอืดพะอมกับทฤษฎี Planet X จึงได้เริ่มมองหาดาวเคราะห์ดวงอื่นที่พอจะเป็นตัวแทนของ MARDUK ได้ (เพราะผลสรุปออกมาแล้วนี่ครับว่าบ่ใช่ดวงอาทิตย์) ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่า แม้จะรับไม่ได้กับเรื่องของดาวเคราะห์อันไม่ปรากฏในสารบบดาราศาสตร์ปัจจุบัน เพียงไรก็ตาม ความรู้ความสามารถของบรรพชนแห่งตะวันออกกลางกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควร มองข้ามเสียง่ายๆ เพราะเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าความรู้ของคนโบราณเหล่านี้เที่ยงตรงไม่โมเม ดังนั้นนักวิชาการบางกลุ่มเสนอว่า MARDUK อาจหมายถึงดาวเสาร์ ส่วนอีกกลุ่มคิดว่าเป็นดาวอังคาร

เป็นตัวเลือกที่ดีครับน่าเสียดายที่ไม่ใช่ เพราะจารึกโบราณระบุตำแหน่งของ MARDUK ว่าอยู่กึ่งกลางของสวรรค์ ตัวเลือกใหม่ของนักวิชาการผู้ไม่เชื่อทฤษฎี Planet X จึงเกิดขึ้น ตัวเลือกดังกล่าวคือดาวพฤหัสยักษ์ใหญ่ของระบบสุริยะ โดยมีสองเหตุผลยกมาสนับสนุนอันได้แก่ ขนาดอันใหญ่โตของ MARDUK ซึ่งสอดคล้องกับขนาดของดาวพฤหัส และอีกเหตุผลคือถ้ามองตามอันดับก่อนหลังของดาวเคราะห์แล้ว ดาวพฤหัสจะอยู่กึ่งกลางไม่ว่าจะมองมาจากดาวพุทธหรือดาวพลูโต ก็นับว่าเป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าคิดครับ

แต่เราต้องไม่ลืมว่า Epic of Creation กล่าวถึงวงโคจรของ MARDUK ที่ผ่านดาวยักษ์สองดวงอย่าง ANSHAR และ KISHAR มาจนถึง TIAMAT ณ จุดที่ตำนานเรียกว่า Planet of the Cross ลงถ้าโคจรผ่าน ANSHAR กับ KISHAR (ดาวเสาร์กับดาวพฤหัส) มาได้ล่ะก็ MARDUK จะหมายถึงดาวเคราะห์สองดวงนี้ได้อย่างไรล่ะครับ จริงไหม?

สรุปแล้ว MARDUK น่าจะเป็นดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้ว่าคือดาวดวงไหน

ถ้าเราเชื่อตาม Enuma Elish ว่า MARDUK เป็นดาวเคราะห์ยักษ์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์โดยทิศทางในการเข้าต้องผ่านระหว่าง ดาวอังคารกับดาวพฤหัสล่ะก็ ทำไมเราจึงไม่เคยดาวเคราะห์ดวงนี้เลยนับตั้งแต่อารยธรรมโมเดิร์นแมนของพวก เราถือกำเนิดขึ้น ดาว MARDUK ไม่ใช่ดาวเคราะห์ดวงเล็กๆแถมยังสว่างออกปานนั้น ถ้ามันมีอยู่จริงนักดาราศาสตร์ก็น่าจะค้นพบไปนานแล้วสิน่า

คำตอบอยู่ในจารึกโบราณอีกเช่นกันครับ เนื่องจาก MARDUK มีวิถีการเดินทางที่ยาวไกลมาก ท้าวเธอโคจรผ่านห้วงลึกของอวกาศที่ไม่เคยมีดาวเคราะห์ดวงไหนโคจรไปถึง แถมย้ำอย่างชัดเจนครับว่าวงโคจรของ MARDUK กว้างและไกลกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆในระบบอย่าทาบกันไม่ติด อย่าลืมเสียว่าอารยธรรมโมเดิร์นของพวกเราเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่ถึงหมื่นปี หาก MARDUK ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเวลาหลายหมื่นปีพวกเราจะไปเห็นได้อย่างไรล่ะ ครับ

เพื่อให้คุณมองภาพได้ชัดเจนขึ้น ขอให้เปรียบเทียบ MARDUK/NIBIRU กับดาวหางสักดวง แล้วจะเข้าใจเองว่าทำไมตลอดเวลาหลายร้อยปีของมนุษย์ยุคใหม่ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้เลย

butt.gif หรือ Marduk / Nibiru จะเป็นดาวหางมิใช่ดาวเคราะห์?

ที่พูดแบบนี้ก็เพราะพฤติกรรมตลอดจนวงโคจของ MARDUK ที่กล่าวถึงใน Epic of Creation นั้นมีลักษณะคล้ายดาวหางจริงๆครับ ทำไมจึงว่าแบบนั้น? ผมจะแสดงให้เห็นเดี๋ยวนี้แหละครับ ขอให้ทุกคนหยิบกระดาษขึ้นมาสักแผ่นแล้ววาดภาพตามผม โดยอันดับแรกให้กำหนดจุดศูนย์กลางของระบบสุริยะเป็นดวงอาทิตย์เสียก่อน จากนั้นแทนตำแหน่งดาวเคราะห์แต่ละดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นลักษณะคล้ายวง กลม ทีนี้คุณก็แทนที่ดาวนิบิรุลงไปในที่ว่างระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัส วงโคจรของดาวดวงนี้จะมีลักษณะเป็นวงรีทวนเข็มนาฬิกา และคุณจะได้จุดสมมติสำคัญขึ้นมาสองจุดด้วยกันครับ คือจุดที่ดาวดวงนี้อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดและจุดที่อยู่ห่างจากดวง อาทิตย์มากที่สุด ลักษณะดังภาพ

planet_perigee.jpg


MARDUK เป็นภาษาบาบิโลเนียนส่วน NIBIRU เป็นภาษาสุเมเรียนครับ ที่เค้าเอา MARDUK กับ NIBIRU มาเชื่อมโยงกันก็เพราะชาวบาบิโลเนียนรับสืบทอดความรู้ทางดาราศาสตร์จากชาวสุ เมเรียนเป็นส่วนใหญ่ ในบันทึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ดวงหนึ่งซึ่งเดินทางมา จาก AN.UR (Heaven's base) อันหมายถึงห้วงอวกาศอันไกลโพ้นไปยัง E.NUN (Lordly Abode) ซึ่งหมายถึงดินแดนแถบกำไลสวรรค์

อันกำไลสวรรค์นี้ท่านที่อ่านบทที่แล้วคงอ๋อกันได้ว่ามันคือ Asteroid Belt ที่อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส คนโบราณเรียกดาวเคราะห์ดวงนี้ว่า Planet of the Cross โปรดสังเกตว่าสัญลักษณ์ของมันถูกแทนด้วยกางเขนหรือกากบาท อันเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ในหลายๆศาสนาของคนโบราณ ทีนี้เมื่อดูจากภาพจะเห็นว่าตำแหน่งที่ดาวเคราะห์โคจรมาอยู่ในจุดที่ใกล้โลก ที่สุด(Perigee)นั้นเทียบได้กับ E.NUN ส่วนจุดที่ดาวเคราะห์มาร์ดุคโคจรออกห่างโลกมากที่สุด (Apogee) จะเทียบได้กับ AN.UR อย่างพอดิบพอดี และวงโคจรของดาวเคราะห์ก็แทบจะเป็นวงรียาวเหยียด ซึ่งผ่านเข้ามาใกล้โลกในพื้นที่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส ดังภาพ

planet_marsju.jpg


มากไปกว่านั้น ชาวเมโสโปเตเมียโบราณถือเอาปรากฏการณ์ใหญ่ๆบนท้องฟ้าเป็นลางของการเปลี่ยน แปลงแห่งยุคสมัย บอกเหตุการณ์สำคัญๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต(โดยเฉพาะชะตาเมือง) การพบเห็น Nibiru สำหรับคนโบราณก็เข้าข่ายเดียวกันครับ

arwrt_2.gif Chapter Eight: Kingship of Heaven

butt.gif The Great Planet


Oh the great planet
As his apprearance, dark red...
The Heaven he devides in half,
And stands as Nibiru.


นี่คือบทนำในจารึกโบราณ (ที่ตามมาด้วยคำพรรณนาอีกยาวยืด แต่ผมไม่ยกมา) ที่กล่าวถึงความผิดปกติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว อุทกภัยและวาตภัยใหญ่โตที่เกิดขึ้นเมื่อดาวเคราะห์นิบิรุปรากฏ บนท้องฟ้า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติดังกล่าวโดยเฉพาะน้ำท่วมและพายุ เป็นปรากฏการณ์ที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบันครับ ว่าเมื่อดาวเคราะห์สองดวงโคจรมาใกล้กันมากๆ(แต่ไม่ชนนะ) ผลจากแรงดึงดูดจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น

plowmenx.gif


ภาพวาดโบราณที่ขุดพบที่นิปเปอร์ แสดงให้เห็นเกษตรกรกลุ่มหนึ่งมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อสังเกตการขึ้นของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 (ในภาพใช้สัญลักษณ์กางเขน) เอ... ลงแหงนหน้ามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแบบนี้เนี่ย เป็นไปได้ไหมว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ หนึ่ง..จะมีขนาดที่ใหญ่เอามากๆ สอง..มีแสงสว่างในตัวเอามากๆ หรือ สาม...ทั้งสองข้อมารวมกัน

ในบทเอไสยะห์, อาโมส และจ็อบของคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเก่าก็กล่าวถึงดาวดวงนี้ด้วยเช่นกัน ในส่วนของรายละเอียดขอก็บไว้เล่าในเล่มหลังๆละกันนะครับ เพราะเกี่ยวกับเนื้อหาในคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเก่าโดยตรงเลย

นักวิชาการหลายคนวิเคราะห์ภาพนี้แล้วลงความเห็นว่า น่าจะเป็นภาพการสังเกตดาวหางของคนโบราณมากกว่าการดูดาวเคราะห์ ในขณะที่อีกกลุ่มระบุว่าถ้าเป็นดาวหางสัญลักษณ์ที่ใช้แทนก็น่าจะมีหางสิ เพราะคนโบราณเหล่านี้ก็คุ้นเคยกับดาวหางดีอยู่ เอาเป็นว่าอย่าไปฟังเค้าเถียงกันเลยครับ เรามาสรุปเอาเองดีกว่าว่ามันคือภาพของดาวเคราะห์ที่มีพฤติกรรมคล้ายดาวหาง ต่างหากเล่า ฮา ฮา...

นอกจากลักษณะของวงโคจรแล้ว MARDUK / NIBIRU ยังมีส่วนที่คล้ายกับดาวหางอีกกล่าวคือ ดาวหางบางดวงที่พวกเรารู้จักเช่น ดาวหางฮัลเลย์นั้นจะปรากฏให้พวกเราเห็นทุกๆ 75 ปี และหายไปอีกเป็นระยะเวลายาวนานจนกว่าจะวนกลับมาอีกครั้ง สำหรับนักดาราศาสตร์ใช่ ว่าพวกเขาจะมีโอกาสพบเห็นดาวหางดวงเดิมซ้ำอีกครั้ง เพราะดาวหางบางดวงสามารถมองเห็นได้เพียงครั้งเดียวในชั่วชีวิตหนึ่งของผู้ สังเกต (เช่น ดาวหางฮัลเลย์) บางดวงหนักไปกว่านั้นเพราะหนึ่งรอบวงโคจรของมันกินเวลานับเป็นพันๆปี

ตัวอย่างก็คือดาวหาง Kohoutek ที่ถูกค้นพบใน ปี 1973 ดาวหางดวงนี้โคจรใกล้โลกที่สุดเมื่อปี 1974 ด้วยระยะห่าง 75,000,000 ไมล์ มันหายไปสู่ด้านหลังของดวงอาทิตย์หลังจากนั้นไม่นานนัก นักดาราศาสตร์ทำนายว่ามนุษยชาติจะเห็นดาวหางดวงนี้อีกครั้งราวๆ 7,500 - 75,000 ปีข้างหน้า เกิดแล้วตายอีกกี่ชาติล่ะครับเนี่ยถึงจะเห็น -_-'

butt.gif วงโคจรของ Planet X

แล้ววงโคจรของนิบิรุจะยาวเท่ากับดาวหาง Kohoutek ไหม? คำตอบคือไม่ ส่วนจะยาวเท่าไหร่ยังไม่มีใครกล้ายืนยัน

จริงๆแล้วนักดาราศาสตร์ปัจจุบันก็ตั้งความหวังเอาไว้เหมือนกันครับว่า น่าจะมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อีกดวง(ที่ไม่ใช่เซดนา)รอการค้นพบของพวกเขาอยู่ สาเหตุที่ทำให้นักดาราศาสตร์พากันคาดการณ์เช่นนั้นก็เพราะ พฤติกรรมอันแสนประหลาดของดาวเคราะห์รอบนอกหลายๆดวง ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังโดนรบกวนจากแรงดึงดูดของเทหวัตถุขนาดใหญ่ ซึ่งเรายังไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรในปัจจุบันนี้

จารึกเกี่ยวกับดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ของชาวสุเมเรียนกล่าว ว่า หนึ่งวงโคจรหรือหนึ่งคาบของดาวดวงนี้กินเวลา 3,600 ปี โดยตัวเลข 3,600 นี้ถูกเขียนเป็นสัญลักษณ์ของวงกลมขนาดใหญ่ วงกลมอันสมบูรณ์แบบที่เรียกกันว่าชาร์ (Shar) ซึ่งตีความได้สามความหมายคือ ดาวเคราะห์/วงโคจร/3600

บันทึกของนักบวชเบรอสซัสแห่งบาบิโลเนียน ได้กล่าวถึงผู้ปกครองแผ่นดินทั้ง 10 ก่อนยุคน้ำท่วมโลก (สากลเหลือเกินนะครับ ชาติไหนตำนานใดก็ล้วนแล้วแต่มีเรื่องของน้ำท่วมโลกแทบทั้งสิ้น) หรือที่รู้จักกันในนามของ 10 Kings of Chaldeans ที่ นอกจากจะระบุพระนามของกษัตริย์ผู้ปกครองทั้งสิบพระองค์แล้ว ยังมีช่วงปีที่แต่ละพระองค์ขึ้นครองราชย์ก่อนผลัดแผ่นดินอีกด้วย ที่น่าแปลกใจก็คือเวลารวมทั้งหมดจากกษัตริย์องค์แรกจนถึงองค์ที่ 10 กินเวลา 120 ชาร์ หรือ 432,000 ปี

ส่วนรายนามกษัตริย์สุเมเรียนฉบับหนึ่งกล่าวถึงผู้ปกครองแผ่นดินแห่งราชวงศ์ เทพ ทำการปกครองนครรัฐแรกของโลกคือเอริดู (Eridu) กษัตริย์สองพระองค์มีคำนำหน้านามว่า อา(A) อันหมายถึงแหล่งกำเนิดหรือต้นตระกูล

A.LULIM ปกครองแผ่นดิน 28,800 ปี
A.LAL.GAR ปกครองแผ่นดิน 36,000 ปี
สองกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน 64,800 ปี


คนหรือเปล่าครับนั่น! ทำไมถึงได้อายุยืนปานนั้น จากชื่อของเมืองและกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จ จริงอันน่าพิศวง ประการแรกคืออายุขัยของกษัตริย์เหล่านั้น ประการที่สองก็คือช่วงเวลาในแต่ละรัชกาลหารด้วย 3600 ได้อย่างลงตัว

scripts_a5.jpg


ข้อสังเกตดังกล่าวนำไปสู่บทสรุปบางประการครับ กล่าวคือแต่ละยุคของกษัตริย์เหล่านั้นไปมีส่วนสัมพันธ์กับวงคาบของมหาวงจร ศักดิ์สิทธิ์หรือ Shar อันกินเวลา 3600 ปับนโลก ถ้าสมมติ(สมมตินะครับ เพราะเอกสารโบราณกล่าวไว้เช่นนั้น)ว่ากษัตริย์โบราณยุคก่อนน้ำท่วมโลกเป็น เชื้อสายของ Nefilim (หรือ Anunnaki) ตามที่เอกสารโบราณกล่าวอ้างและเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงที่ 12 จริง มันก็ไม่น่าแปลกที่อายุขัยและช่วงรัชกาลของกษัตริย์โบราณจะใช้หน่วยนับจาก ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 คือรอบละหนึ่งชาร์หรือ 3600 ปี อนึ่ง... ดาวเคราะห์ MARDUK / NIBIRU มักถูกคนโบราณนำมาเชื่อมโยงกับสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า Winged disc ซึ่งบางครั้งถูกแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาทหรือกางเขน ซึ่งเข้ากับชื่อ Planet of Crossing พอดี๊ พอดี...

เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว... บางท่านอาจทักท้วงขึ้น

สมมติว่า Anunnaki หรือ Nefilim เดินทางมายังโลกในฐานะผู้ปกครองแผ่นดินจริง รวมทั้งครองราชย์เป็นระยะเวลา 28,800 หรือ 36,000 ปีจริง อะไรหมายถึงปีที่ว่า ปีของโลกมนุษย์หรือปีของ Planet X?

เป็นคำถามที่น่าคิดมากครับ ปีในความหมายของพวกเราคือคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบหนึ่งรอบ ซึ่งเราใช้เป็นหน่วยนับอายุขัยของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์สีฟ้า ดวงนี้ ดังนั้นคำว่าปีของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงใดๆก็ตาม จึงน่าจะวัดตามคาบเวลาหนึ่งรอบที่ดาวดวงนั้นโคจรรอบดาวแม่ของตนด้วย โอ้โหเฮะ... เวลา 28,800 ปีบนโลกนับว่ายาวนานพออยู่แล้ว ถ้าสองหมื่นกว่าปีที่ว่าเป็นปีของดาวเคราะห์นิบิรุล่ะครับมันจะยาวนานขนาด ไหนสำหรับพวกเรา?

บังเอิญว่าในจารึกโบราณค่อนข้างชี้ชัดว่าปีในเนื้อความหมายถึงปีของโลก มนุษย์ นั่นหมายถึงบางครั้งการเทียบอายุของ Anunnaki จำเป็นต้องดูบริบทประกอบให้ดีๆว่าจารึกกำลังกล่าวถึงปีบนดาวดวงใดอยู่ อย่าลืมว่า Anunnaki ผู้มีอายุ 10 ปีนิบิรุจะมีอายุถึง 36,000 ปีโลก! ฟังแล้วก็อดนึกถึงเรื่องในพุทธศาสนาไม่ได้ ในข้อที่ว่านอกจากชมพูทวีปอันหมายถึงโลกมนุษย์ของเราแล้ว ในสากลจักรวาลยัง ประกอบด้วยทวีปอื่นๆที่มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอาศัยอยู่ หนึ่งวันของพวกเขากับหนึ่งวันของเรายาวไม่เท่ากัน ซึ่งก็นับว่าสอดคล้องกับเรื่องราวในจารึกโบราณของตะวันออกกลางอยู่ว่าไหม ครับ?

นอกจากนั้น วลีที่ว่า พันปีโลกเท่ากับหนึ่งปีสวรรค์ยังเป็นแนวความเชื่อสากลในหลายๆศาสนาอีกด้วย...

arwrt_2.gif Chapter Eight: Kingship of Heaven

ข้อสังเกตอีกอย่างจากนักโบราณคดีก็คือ อารยธรรมของมนุษย์ก้าวกระโดดไปในช่วงที่บรรจบกับการมาเยือนของเทพเจ้าตาม จารึกโบราณอย่างน่าพิศวง กล่าวคือ มนุษย์เริ่มเข้าสู่ยุคนิโอธีลิคเมื่อประมาณ 11,000 BC, ยุคเครื่องปั้นดินเผา 7,400 BC และอารยธรรมแบบปุบปับที่โผล่ขึ้นแบบไม่รู้ที่มาของชาวสุเมเรียนเมื่อประมาณ 3,800 BC

จากข้อนี้แสดงให้เห็นว่าเหล่าผู้ปกครองจากห้วงอวกาศลงมาเยือนโลก และช่วยเร่งพัฒนาของมนุษยชาติอยู่เป็นช่วงๆ นั่นอาจจะหมายถึงพวกเขาเดินทางไปกลับระหว่างดาวแม่และโลกได้ไม่สะดวกนัก เนื่องจากข้อจำกัดของระยะทาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยคาบเวลาที่ดาวแม่โคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดเป็น ช่วงเวลาของการเดินทาง ซึ่งช่วงดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบทุก 3600 ปีเท่านั้น แหม... ยังกะอ่านนิยายวิทยาศาสตร์เลยครับ สารภาพตรงๆว่าผมเองก็ยังไม่ค่อยจะศรัทธาเท่าไหร่ ^^

ย้อนกลับมากล่าวถึงดาวเคราะห์ปริศนาที่ได้ชื่อว่า Kingship of Heaven กันอีกที คำพรรณนาเกี่ยวกับ MARDUK/NIBIRU ที่ว่าทรงอาภรณ์เป็นรัศมีน่าจะเป็นรายละเอียดของดาวเคราะห์มากกว่าสำนวนกวี พาไป กล่าวคือดาวเคราะห์ดวงดังกล่าวคงมีแสงสว่างเอามากๆ ควรมีความร้อนอันเกิดจากแกนกลางของตัวมันเอง และมีบรรยากาศหนาแน่นซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่กักความร้อนแล้ว ยังสามารถทำปฏิกิริยากับความร้อนภายในและแผ่รังสีออกสู่ห้วงอวกาศได้


kingship_a2.jpg


ใน Enuma Elish คุณได้ทราบแล้วถึงการเฉี่ยวชนดาวดวงอื่นๆของ MARDUK/NIBIRU ก่อนที่จะมาชนกับ TIAMAT เข้าโครมเบ้อเริ่ม ตรงนี้แหละครับที่นักคิดนักเขียนหลายๆคนสงสัยกันว่า ปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตอาจจะเริ่มขึ้นตอนนี้เพียงแต่ว่ายังไม่พบ สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม การเฉี่ยวชนที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับดาวดวงต่างๆนั้นมีส่วนเป็นไปได้ อย่าลืมว่าดาวเคราะห์ดวงต่างๆ เช่น ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ยูเรนัส หรือเนปจูนนั้นแม้มีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต แต่อย่างน้อยดาวเคราะห์ที่ผมเอ่ยนามมาทั้งหมดก็ล้วนอุดมไปด้วยแร่ธาตุอัน เป็นองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของชีวิต

ปฏิกิริยาอันเกิดจากการเฉี่ยวชนได้ฟอร์มรูปแบบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเอาไว้ จนกระทั่งเมื่อมาชนเอาจังๆกับดาวเคราะห์เทียแมท จุดอุบัติของสิ่งมีชีวิตโบราณในรูปอินทรีย์สารจึงถือกำเนิดขึ้น เนื่องจากดาวเคราะห์คู่กรณีทั้งสองมีองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ตรงกันคือน้ำ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต(อย่างน้อยก็ในรูปแบบที่พวกเรารู้จัก) โดยเฉพาะเมื่อตำนานโบราณย้ำนักย้ำหนาเกี่ยวกับการมีมหาสมุทรและแหล่งน้ำของ ดาวเคราะห์สองดวงนี้

นี่ไม่ใช่แนวคิดอันเลื่อนลอยนาคุณ แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเองก็ยังยอมรับว่า เป็นไปได้ที่กุญแจสำคัญของการอุบัติสิ่งมีชีวิตบนโลกของเรานั้นมาจากห้วง อวกาศ เจ้ากุญแจดังกล่าวอาจเป็นก้อนอุกกาบาต ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง หรืออะไรก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่กล้าระบุ ถ้าคุณเคยอ่านแนวคิดของซุปดึกดำบรรพ์ (Primeval soup) คุณจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก แถมจะคล้อยตามทฤษฎีนี้เอาได้ง่ายๆด้วยสิครับ ฮา ฮา...

kingship_a1.jpg

kingship_a03.jpg


ป.ล. ถ้ามีเวลาเดินแผงหนังสือโปรดมองหา เอกภพ สรรพสิ่ง และมนุษยชาติ ที่แปลโดยคุณรอฮีม ปรามาท มาอ่านเสีย ใครที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ก็ให้ไปยืมจากห้องสมุด(ผมเชื่อว่ามี) ลองอ่านบทที่ 5 จากธุลีสู่ชีวิต แล้วคุณจะเข้าใจเนื้อหาของ 12th Planet ในบทที่เจ็ดและแปดนี้มากขึ้น

MARDUK/NIBIRU ทรงโรมรันกับ TIAMAT จนสะท้านทั่วระบบสุริยะ เศษชิ้นส่วนของดวงจันทร์บริวารแห่งเทียแมทกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยบ้าง ดาวหางบ้างอย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ กระนั้นก็มีอยู่ไม่น้อยที่สะเก็ดดาวเหล่านั้นถูกแรงดึงดูดของเทียแมทดึงเข้า ถล่มตัวเองในลักษณะของห่าอุกกาบาต

...เทหวัตถุนับไม่ถ้วนที่โหมลงมา อาจมีสักชิ้นที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในการสร้างอินทรีย์สารขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยกินเวลานับพันล้านปี

ในปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่มั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกของเรา เกิดขึ้นได้เพราะวัตถุจากห้วงอวกาศ เพียงแต่ยังไม่มีใครบอกได้เท่านั้นเองว่าวัตถุเจ้ากรรมดังกล่าวเป็นอะไรและ มาจากไหน นี่เป็นคำถามที่ยังค้างคาใจใครหลายๆคนและรอวันให้คำตอบนั้นมาถึงโดยเร็ว

Enuma Elish: the Epic of Creation ของเมโสโปเตเมียโบราณกลับอธิบายคำตอบส่วนหนึ่ง ซึ่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายได้ ก็นับว่าสมชื่อ Epic of Creation อยู่หรอก จริงไหมครับ :)

arwrt_2.gif Chapter Nine: Landing on Planet Earth

และแล้วก็ผ่านตาไปสำหรับ Enuma Elish มหากาพย์ แห่งการก่อเกิดในเวอร์ชั่นบาบิโลเนียน ที่กล่าวถึงดาวพระเคราะห์ปริศนารวมถึงรายละเอียดอื่นอีกจิปาถะที่ผมพอจะสรุป ให้คุณๆฟังกันได้อย่างย่นย่อที่สุด

Enuma Elish: Epic of Creation ทรงคุณค่าต่อมนุษยชาติอย่างล้นเหลือในฐานะมรดกโลก ทรงคุณค่าต่อนักประวัติศาสตร์ในฐานะวรรณกรรมโบราณชิ้นเอก และทรงคุณค่ากับพวกเราสาวกนิกาย Ancient Astronaut เพราะเป็นบันทึกปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ ที่ยืนยงเหนือห้วงเวลามาจนถึงทุกวันนี้

ณ ที่นี่ บทที่เก้านี้ นายโซนิคจะพาคุณย้อนกลับมายังเวอร์ชั่นสุเมเรียน เพื่อพบกับการเดินทางอันน่าตื่นใจของสิ่งมีชีวิตบางเผ่าพันธุ์ พวกเขาเดินทางจากดาวเคราะห์ดวงที่สิบสองมายังโลก ด้วยสาเหตุบางประการที่เรายังไม่ทราบชัดนอกจากคาดเดากันไปตามหลักฐานที่มี


nibiru-line.jpg


ถ้าเรื่องราวหลุดโลกไปหน่อยผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ แต่ยืนยันกับคุณๆที่กำลังอ่านอยู่ครับว่าทั้งหมดเป็นผลพวงของการศึกษาตีความ อย่างยาวนานของนักวิชาการบางกลุ่ม พวกเขาทุ่มเวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะได้ผลงานลักษณะนี้ออกมา ดังนั้นวางใจได้ครับว่าคุณไม่ได้อ่านผลงานนั่งเทียนของใครคนใดคนหนึ่งอยู่ และเราไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อหรือคล้อยตาม แค่สรุปมาให้อ่านเอาสนุก อ่านพอเป็นพื้นฐานในการศึกษาเพิ่มเติม(หากคุณสนใจ) เพราะในปัจจุบันเนื้อหาแขนงนี้มีแหล่งข้อมูลอยู่มากมายทั้งที่เป็นหนังสือ หรือบนเน็ต

และนี่คือบันทึกทางประวัติศาสตร์ (ถ้าคุณเลือกที่จะเชื่อว่ามันเป็น) ของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางมายังโลกเมื่อประมาณสี่แสนปีที่แล้ว สิ่งมีชีวิตที่ชาวเมโสโปเตเมียขนานนามว่า the Nefilim/Anunnaki เทพเจ้าผู้เสด็จลงมาจากเบื้องบน

butt.gif สู่ผืนพิภพ...

ในห้วงแห่งรุ่งอรุณของยุคบุกอวกาศ มนุษย์สามารถนำพาตัวแทนของตนเยื้องย่างก้าวแรกลงบนดวงจันทร์ ถึงกระนั้นเรายังไม่สามารถพาตัวแทนไปเยือนดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆได้เลย ที่ทำได้ก็เพียงแต่ใช้ยานอัตโนมัติที่ไร้มนุษย์โดยสารบินไปสำรวจดาวดวงใกล้ๆ เท่านั้น การท่องไปยังดวงดาวต่างๆเป็นความฝันของมวลมนุษยชาติว่าคงจะเป็นไปได้ในอนาคต ที่กำลังจะมาถึง ในความปลื้มปิติของความฝันนี้ เราอาจลืมไปว่าเมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งได้ทำความฝันของเผ่าพันธุ์ตนให้เป็นจริง พวกเขานำยานอวกาศมาเยือนดาวเคราะห์ดวงที่สามของระบบสุริยะที่มีนามว่า Planet Earth สำเร็จมาแล้วเช่นกัน

ผมขอเรียกมนุษย์กลุ่มนั้นว่า Nefilim ตามคำเรียกของคนโบราณนะครับ เพราะมนุษย์มาจากคำว่า มน + อุษย แปลว่าผู้มีความคิดจิตใจอันประเสริฐ ตามคำจำกัดความนี้ Nefilim ย่อมสามารถจัดเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งได้เช่นกัน ส่วนจะเหมือนหรือต่างจากโฮโมเซเปี้ยนอย่างพวกเราแค่ไหนขอยกยอดไปอธิบายในบท หลังๆ ตอนนี้ขอเล่าเรื่องของ Nefilim (หรือ Anunnaki)ไปพลางๆก่อน

เราไม่ทราบว่าเนฟิลิมและอารยธรรมของพวกเขาอุบัติขึ้นมาเมื่อใด ทราบเพียงแต่พวกเขาอาศัยอยู่บนดาวยักษ์ดวงใหญ่ที่ชื่อนิบิรุ (MARDUK/NIBIRU) ด้วยวงโคจรอันยาวไกลเกินจะจินตนาการ ดาวเคราะห์นิบิรุจึงเสมือนหนึ่งยานอวกาศขนาดยักษ์นำพาบรรดาเนฟิลิมท่องไปสุด ห้วงอวกาศ และวนกลับสู่ระบบสุริยะเมื่อถึงกาลวาระของมัน

จนกระทั่งวันที่เทคโนโลยีของเนฟิลิมเข้าขั้นเหยียบอวกาศ พวกเขาพากันออกเดินทางสำรวจดาวเคราะห์ต่างๆในระบบสุริยะ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าโลกของเราก็ได้ถูกพวกเขาส่งยานมาสำรวจแถมปักหลักตั้ง รกรากอยู่เป็นเวลายาวนาน มรดกที่เนฟิลิมทิ้งไว้ให้คือคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ Nefilim-พระเจ้าจากอวกาศสอนมนุษยชาติให้รู้จักที่จะฝันแล้วแหงนมองท้องฟ้า เฉกเช่นเดียวกับที่ยะโฮวาสอนให้อับราฮัมกระทำเมื่อนานมาแล้ว

เรื่องราวของพวกเขาถูกบันทึกไว้ในรูปของพงศาวดารดึกดำบรรพ์ ตำนาน และกลายเป็นเทพปกรณัมในภายหลัง มนุษย์ปัจจุบันต้องอาศัยการตีความ ใช้วิทยาศาสตร์เข้าคลี่คลายเงื่อนงำของข่าวสารที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนล่ะครับว่า บางเรื่องง่ายแสนง่าย บางเรื่องยากจนรากเป็นเลือด โดยเฉพาะบันทึกเชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าและดาวเคราะห์

ในเวอร์ชั่นบาบิโลเนียนของ Enuma Elish คุณคงจำกันได้ว่าดาวเคราะห์ของเทพเจ้า Enlil คือดาวเนปจูน แต่ในเวอร์ชั่นสุเมเรียนที่เรากำลังพูดถึงนั้น ชาวสุเมเรียนกลับยกดาวเคราะห์ดวงหนึ่งให้กับ Enlil ดาวดวงนี้มีสัญลักษณ์เป็นเจ็ดดาวเหนือ เอ๊ย...ดาวเจ็ดจุด (seven dot) ไอ้เจ้าสัญลักษณ์ที่ว่านี้แหละครับที่เป็นตัวยืนยันว่า ตำนานการมาเยือนของพระเจ้าจากอวกาศไม่น่าจะเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลที่คนรุ่น หลังคิดกันขึ้นมาเอง แถมยังสอดคล้องกับความเป็นจริงเสียด้วย ทำไมน่ะหรือ?

ท่านที่เคยอ่านเรื่องราวของชาวสุเมเรียนมาบ้างคงทราบกันดีว่า โลกของเราถูกคนโบราณยกให้เป็นดาวเคราะห์ของเทพเอนลิล มีสัญลักษณ์แทนตัวด้วยจุดเจ็ดจุดอันหมายความว่าโลกคือดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด - ในสายตาของเนฟิลิม

มั่วหรือเปล่าคุณโซนิค... หลายท่านอาจทักท้วงมา เพราะโลกของเรานั้นเด็กอมมือมันยังรู้เลยว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่สามในบรรดา ดาวบริวารของดวงอาทิตย์ นั่งนับนอนนับยังไงก็ได้อันดับสาม มั่ว มั่ว มั่ว...

nibiru_point.jpg


เอ๋... คุณนับยังไงครับถึงได้อันดับสาม? อ้อ... นับจากดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางใช่ไหมครับ อันนั้นผมไม่เถียงหรอกเพราะมนุษย์เราอาศัยอยู่ด้านในของระบบสุริยะ ดังนั้นการลำดับดาวเคราะห์ของเราจึงเป็นปกติธรรมดามากที่จะเรียงจากในไปหาน อก

ทีนี้ถ้าเกิดเราอาศัยอยู่นอกระบบสุริยะล่ะครับ พวกเราอยู่บนดาวซักดวงที่ถัดจากพลูโตออกไปและต้องการเดินทางมายังโลก ในระหว่างเดินทางนั้นเราต้องทำปูมการเดินทางว่าผ่านดาวเคราะห์ดวงใดมาบ้าง เราจะจัดอันดับดาวเคราะห์ตามรายทางอย่างไรครับ? get แล้วใช่ไหมเอ่ย :) จากนอกระบบสุริยะดาวเคราะห์ดวงแรกที่พวกเราต้องผ่านคือพลูโต ต่อมาเป็นดาวเนปจูน และผ่านยูเรนัสเป็นอันดับที่สาม-ไม่ใช่ผ่านโลก สี่ก็เป็นดาวเสาร์ ห้าดาวพฤหัส หกดาวอังคาร...

โดยมีโลกของเราเป็นดาวเคราะห์ลำดับที่เจ็ด ถูกต้องไหมล่ะครับ?

ชาวสุเมเรียนโบราณไม่ได้แทนสัญลักษณ์ทางตัวเลขให้กับโลกเพียงดวงเดียวหรอกนะ ครับ ดาวศุกร์(อันควรเป็นลำดับที่แปดเมื่อนับจากภายนอกเข้ามา)ก็มีสัญลักษณ์เป็น ดาวแปดแฉก ตัวแทนของเทวีอิชตาร์(Ishtar)เทพธิดาแห่งสงครามและความรัก ส่วนดาวอังคสารนั้นเล่าก็เป็นตัวแทนของเทพ Nergal (ภายหลังคือ Nabu) ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ของบัลลังก์ที่มีดาวหกแฉกลอยอยู่เบื้องบน ซึ่งดาวอังคารก็นับเป็นอันดับหกหากคุณเดินทางเข้าสู่ใจกลางระบบสุริยะ คิดว่าบังเอิญหรือเปล่าครับแบบนี้?

นอกจากนั้นก็มีสัญลักษณ์อื่นๆที่น่าสนใจ เช่น ดวงอาทิตย์-ดวงจันทร์ ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์สากลที่เราใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ สัญลักษณ์ดังกล่าวมีต้นกำเนิดมาจากตะวันออกกลางนี่เอง และที่ลืมเสียไม่ได้ก็คือสัญลักษณ์ของดาวเคราะห์ที่ผลุบๆโผล่ๆตามตำนานโบราณ เครื่องหมายกางเขนอันเป็นตัวแทนของ Nibiru: the Planet of Crossing

ในหนังสือ 12th Planet ของ Zecharia Sitchin กล่าวถึงสถานี(Sattion)ทั้งเจ็ดของเนฟิลิม อันหมายถึงจุดผ่านทางหลักๆจากดาวเคราะห์ของพวกเขามาสู่โลกมนุษย์ รายชื่อของสถานีดังกล่าวได้แก่


สถานีแรก
The Sattion of Marduk -House of Holiness.
สถานีที่สอง
Where the field separates.
สถานีที่สาม
Lord of Poured - Out fire.
สถานีที่สี่
Holy place of destinies.
สถานีที่ห้า
The roadway.
สถานีที่หก
Traveller's ship
สถานีที่เจ็ด
House of building life on Earth.


เชื่อกันว่าชื่อของแต่ละสถานี เป็นคำพรรณนาถึงการเดินทางผ่านดาวเคราะห์แต่ละดวง สถานีแรกหมายถึงพลูโต, สถานีที่สองคือเนปจูน,... จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางคือโลกของเรา ที่ซึ่งตำนานกล่าวไว้ว่าเป็นที่ๆเทพเจ้า Marduk ทรงกำหนดให้เป็นเรือนพำนัก(House of Resting) ที่ปวงเทพจะใช้เป็น the house of building life on Earth เป็นลำดับต่อๆไป

Aeronautics and Space Administration of the Nefilim

ลองมาดูกันนะครับ ว่าปูมการเดินทางของนักบินอวกาศยุคโบราณเหล่านี้มีเรื่องราวของการเดินทาง สู่ระบบสุริยะ กว่าจะมาถึงโลกของเราอย่างไรบ้าง

Nefilim แบ่งโซนเป้าหมายของพวกเขาออกเป็นสองโซนใหญ่ๆ โดยเรียกว่าโซนแห่งความสับสนและโซนแห่งการเดินทางตามลำดับ ภาพจากต้นฉบับโบราณแสดงการแบ่งภาพของห้วงอวกาศออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆด้วยกัน ส่วนแรกประกอบด้วยสัญลักษณ์แทนดาวเคราะห์เจ็ดดวง จากพลูโตเรียงมาจนถึงโลก ส่วนที่สองเนฟิลิมใช้เป็นจุดชี้เส้นทางของพวกเขา ประกอบด้วยสัญลักษณ์ของดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวพุทธ และดวงอาทิตย์ตามลำดับ ทั้งสองส่วน(หรือโซน-เขตแดน)ถูกคั่นกลางด้วยสัญลักษณ์รูปแท่งในรูปแบบ 7 ต่อ 4 ครับ

มากล่าวถึงโซนชี้ทางกันก่อน สัญลักษณ์ของดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวพุทธ ดวงอาทิตย์ถูกเรียกรวมกันว่า GIR.HE.A อันหมายถึง celestial waters where rockets are confused, MU.HE (confusion of spacecraft - ยังจำความหมายของ MU และ SHEM ในบทแรกๆได้อยู่ใช่ไหมครับ ^^) หรือ UL.HE (band of confusion) ก็แปลกดีเหมือนกันว่าทำไมเนฟิลิมจึงระบุเขตแดนเหล่านี้ว่าเป็นโซนแห่งความสับสน

บางทีเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับดาวเทียมของโลกเราอย่างสดๆร้อนๆน่าจะให้คำตอบได้...

เมื่อเร็วๆนี้วิศวกรของ Comsat (Communication Satellite Corporation) ได้ค้นพบปรากฏการณ์ทางธรรมชาตที่เล่นตลกกับดาวเทียมของพวกเขา ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้รบกวนจนดาวเทียมหลายดวงเกิดอาการรวนหรือไม่ก็ปิดวงจร ของตัวไป สาเหตุเกิดการการรบกวนของอนุภาคจาก Solar flares และแสงสะท้อนจากดวงจันทร์ซึ่งเป็นแสงอินฟราเรด คาดว่าอาการลักษณะเดียวกันคงเกิดขึ้นกับยานอวกาศของเนฟิลิมด้วย พวกเขาจึงระบุเขตอันตรายต่อวงจรของระบบขับเคลื่อนว่าเป็น zone of confusion เมื่อเดินทางเข้ามาใกล้โลกและต้องผ่านไปยัง ดาวศุกร์ ดาวพุทธ และดวงอาทิตย์


pluto-charon.jpg

พลูโตและดวงจันทร์คารอน


saturn2.jpg

ดาวเสาร์ เทพผู้ลงทัณฑ์


ในบทที่เจ็ด Enuma Elish คุณได้เรียนศัพท์ภาษาบาบิโลเนียนที่ใช้เรียกดาวเคราะห์ไปหลายคำแล้ว ในบทนี้ผมจะสอนศัพท์ภาษาสุเมเรียนอีกหลายคำให้คุณด้วยเช่นกันครับ :)

butt.gif สู่ระบบสุริยะ

...ดาวเคราะห์ดวงแรกที่เนฟิลิมต้องเดินทางผ่านคือดาวพลูโต ชื่อพลูโตในภาษาสุเมเรียนคือ SHU.PA (supervisor of SHU) ซึ่งตามความเชื่อของพวกเขานั้นดาวพลูโตจะทำหน้าที่ประหนึ่ง รปภ. เอ๊ย... องครักษ์คอยปกป้องทางเข้าสู่แกนกลางของระบบสุริยะ ต่อจากพลูโตก็จะเป็น IRU (loop-ดาวเนปจูน) ยานอวกาศของเนฟิลิมใช้เนปจูนเป็นจุดสังเกตในการตีวงโค้งหรือลูปเพื่อปรับ เป้าหมายของยานให้ตรงทิศทาง ในบางครั้งเนปจูนถูกเรียกว่า HUM.BA (swampland vegetation) สักวันหนึ่งหากมนุษย์มีโอกาสเยือนเนปจูน เราคงจะได้ทราบกันแหละครับว่าดาวเนปจูนจะมีแหล่งน้ำสมกับชื่อ swampland อย่างที่เนฟิลิมเรียกขานกันไหม

...ดาวยูเรนัสถูกเรียกว่า Kakkab Shanamma (planet is the double) ซึ่งก็เป็นข้อพิสูจน์ภูมิความรู้ทางดาราศาสตร์ของคนโบราณ(ที่ได้รับการถ่าย ทอดจากเนฟิลิม)อีกเช่นเคย พวกเขารู้ในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ศตวรรษที่ยี่สิบเพิ่งจะรู้เมื่อไม่กี่สิบปีมา นี้ ว่ายูเรนัสเปรียบเหมือนฝาแฝดของเนปจูนอย่างแท้จริงทั้งขนาดและรูปร่าง ในตำราว่าด้วยรายชื่อดาวเคราะห์ของสุเมเรียนเล่มหนึ่งเรียกยูเรนัสว่า EN.TI.MASH.SIG หรือดาวผู้นำสรรพชีวิตสีเขียว หรือว่าภายใต้บรรยากาศและพื้นผิวของดาวยูเรนัสมีแหล่งน้ำอยู่ด้วยเช่นกันครับ?

ต่อจากยูเรนัสเนฟิลิมต้องผ่านดาวเสาร์ ดาวยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกเป็นสิบเท่า ใครๆก็ประทับใจวงแหวนอันสวยงามของดาวพระเคราะห์ดวงนี้ แต่ภายใต้ความงามเหล่าเนฟิลิมได้ระบุถึงความน่าเกรงขามแห่งอันตรายที่มีต่อ ยานอวกาศของพวกเขา เราไม่อาจแน่ใจได้ครับว่าอันตรายที่ว่ามาจากแรงดึงดูดของดาวเสาร์ซึ่งแน่ล่ะ ว่าดาวดวงบะเฮิ่มขนาดนั้นต้องมีแรงดึงดูดอันมหาศาล หรือมาจากวงแหวนอันประกอบด้วยวัตถุธาตุที่สามารถทำอันตรายกับยานที่เดินทาง มาด้วยความเร็วสูงกันแน่

jupiter-and-moon.jpg

ดาวพฤหัสและดวงจันทร์บริวาร


neptune-clound.jpg

เมฆหมอกบนดาวเนปจูน สามมุม ถ่ายโดยกล้องฮับเบิล 1994


ก็เป็นอันว่าการเดินทางของเนฟิลิมในเที่ยวนี้เกิดอาการพระเสาร์แทรกโดยพระศุกร์ไม่จำเป็นต้องเข้า เนฟิลิมจึงเรียกดาวเสาร์ว่า TAR.GALLU (the great destroyer) ความหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากดาวเสาร์นี้สะท้อนออกอย่างชัดเจนใน วัฒนธรรมของโลกยุคหลังโดยเฉพาะตะวันออกกลาง ที่ให้บทบาทของดาวเสาร์เป็นดาวประจำองค์ของเทพแห่งการลงทัณฑ์

มีรายละเอียดกล่าวถึงในจารึกโบราณที่พบที่ Akitu ดังนี้

It has been created like a weapon;
It has charged forward like death
The Anunnaki who are fifty,
it has smitten...
The flying, birdlike SHU.SAR
it has smitten on the breast


จารึกไม่ได้ระบุเอาไว้ครับว่ามัน(it)ที่ทำลาย SHU.SAR (ชื่อของพาหนะที่แปลว่า the flyingsupreme chaser) และนักบินทั้งห้าสิบคนนั้นเป็นอะไร นอกจากบ่งเป็นนัยๆว่าเป็นผลอันเกิดจากดาวเคราะห์ดวงใหญ่ เทพแห่งการลงทัณฑ์ที่มีนามว่าดาวเสาร์

...เนฟิลิมเรียกดาวเคราะห์ดวงที่ห้าว่าบาบูรู(Barburu) - the bright one ในบางครั้งก็เรียกว่า SAG.ME.GAR (great one, where the space are fastend) นอกจากนั้นยังมีฉายาเพิ่มเติมว่า SIB.AN.NA-ผู้นำทางแห่งสวรรค์ และอธิบายถึงบทบาทของดาวพฤหัสในการใช้กำหนดเส้นทางของยานอวกาศ เนฟิลิมต้องระวังจนตัวลีบเมื่อยานเดินทางผ่านเขตอoัตรายอย่าง Asteroid belt ที่คั่นระหว่างดาวพฤหัสและดาวอังคาร

UTU.KA.GAB.A (light established at the gate of the waters) เป็นชื่อเรียกของดาวอังคาร ความหมายของชื่อดาวดังกล่าวผูกติดกับกำไลสวรรค์ (celestial bracelet) อันเป็นชื่อที่ชาวสุเมเรียนโบราณและไบเบิลใช้เรียก Asteroid belt อย่างลึกซึ้ง แสงสว่างแห่งประตูน้ำ(UTU.KA.GAB.A)หมายถึงจุดที่ตั้งอยู่ ณ ประตูซึ่งกั้นกางระหว่าง upper waters และ lower waters ของระบบสุริยะ ประตูนี้เป็นคำอธิบาย Asteroid belt ในสไตล์สุเมเรียนที่กั้นดาวเคราะห์ชั้นในกับชั้นนอกออกจากกัน ในบางครั้งดาวอังคารถูกเรียกว่า Shelibbu - ผู้ที่อยู่ใกล้ศูนย์กลาง(ของระบบสุริยะ)

butt.gif ยานอวกาศ

ภาพประหลาดที่ปรากฏบนผนึกโบราณแสดงให้เห็นถึงวัตถุบางอย่างลอยผ่านดาวอังคาร ไป นั่นเป็นภาพของยานอวกาศที่เนฟิลิมโดยสารมาและกำลังทำการติดต่อกับสถานีสื่อ สารบนโลกอยู่ Zecharia Sitchin กล่าวเอาไว้ในหนังสือของเขาว่า

"ภาพวัตถุที่ปรากฏในงานเขียนโบราณชิ้นนี้ที่จริงคือภาพสัญลักษณ์ของดาว เคราะห์ดวงที่สิบสอง, the Winged Globe แต่รายละเอียดของมันดูต่างออกไป มันดูคล้ายเครื่องจักรมากกว่าสัญลักษณ์ตามปกติ ดูที่ปีกของ winged globe สิครับ คล้ายกับแผงสุริยะที่ยานอวกาศอเมริกันใช้แปลงพลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นไฟฟ้า หรือเปล่า เสาอากาศสองเส้นนั่นก็ด้วย...

psc2.jpg


...ยานรูปวงกลมที่มีมงกุฏครอบอยู่ด้านบน ด้านข้างประกอบด้วยปีกและเสาอากาศ ตำแหน่งของยานถูกระบุว่าลอยอยู่บนสวรรค์ กึ่งกลางระหว่างดาวอังคาร(สัญลักษณ์ดาวหกแฉก) โลกแล้วก็ดวงจันทร์ เห็นแล้วคุณคิดว่ามันเป็นอะไรล่ะครับ?"

บนโลกเทพเจ้ากลุ่มหนึ่งกำลังทักทายนักบินซึ่งยังอยู่บนสวรรค์ใกล้กับดาว อังคาร ภาพของนักบิน(เนฟิลิม)สวมชุดเต็มยศที่ทำเอาท่อนล่างกลายเป็นมนุษย์ปลาไปเลย นี่อาจจะเป็นต้นตอแห่งตำนานมนุษย์มัจฉาของชาวโดกอนแห่งอาฟริกา แต่ที่แน่ๆเนฟิลิมเหล่านี้คือบรรดามนุษย์มัจฉาของเทพเจ้าอีอา(EA) หรือ ENKI เทพและนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสภาเทพนั่นเองครับ

...และแล้วพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด

สวนสวรรค์ Eden
เรื่องราวของการตั้งรกรากบนโลกโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานั้น มีความน่าสนใจไม่แพ้การค้นพบทวีปอเมริการหรือการบุกเบิกล่าอาณานิคมของชาติ ตะวันตก อันที่จริงมันมีความสำคัญมากกว่ากันโขเลยครับ เพราะถ้าไม่มีการตั้งรกรากเกิดขึ้น เราและอารยธรรมของเราจะปรากฏดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้หรือ?

The Epic of creation ให้ข้อมูลแก่พวกเราเกี่ยวกับเทพเจ้าผู้ เดินทางมายังโลกตามบัญชาของมหาเทพ ในเวอร์ชั่นบาบิโลเนียนกล่าวว่าเป็นบัญชาจากมหาเทพมาร์ดุค ซึ่งเตรียมการนำเทพเจ้าลงสู่ผืนพิภพอยู่นานแล้วหากแต่สภาพของโลกยังไม่พร้อม มาร์ดุครอจนกระทั่งผิวโลกแห้งผากและแข็งพอจะนำปวงเทพลงมาปฏิบัติการได้ มาร์ดุคแถลงนโยบายแต่ปวงเทพที่ร่วมทางมาว่า


In the deep Above,
where you have been residing
"The kingly House of Above" have I built.
Now, a counterpart of it
I shall build in the Below.


ท่านผู้ว่าราชการมารดุคยังกล่าวถึงแผนพัฒนากรุงเทพฯ เอ๊ย... โลกมนุษย์ต่อไปว่า

When from the Heavens
for assembly you shall decend,
there shall be a restplace for the night
to receive you all
I will name it "Babylon" -
The Gateway of the Gods.


(ผมว่าผมใช้คำว่ากรุงเทพฯ-City of the Gods ก็ถูกแล้วนา ฮา ฮา...)

กล่าวได้ว่าโลกของเรา(ซึ่งตอนนั้นเป็นโลกของเขา)ไม่ได้เป็นเป้าหมายของการมา เยือนแบบประเดี๋ยวประด๋าวเลยครับ หากแต่มีการเตรียมพร้อม วางแผน เตรียมกำลังคน จัดสรรงบประมาณ ฯลฯ เป็นระยะเวลาอันยาวนานกว่าการเดินทางมาปฏิบัติการจริงๆจะเริ่มต้นขึ้น ในทางปฏิบัติแผนการสำหรับโลกของเนฟิลิมก็คือ การสร้างดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนี้ให้เป็น home away from homeนั่นเองครับ

โลกคือดาวเคราะห์แห่งสีสันในความรู้สึกของเนฟิลิมโดยแท้ ชั่วขณะที่พวกเขาออกเดินทางอย่างยาวไกลเพื่อหาบ้านแห่งที่สองสำหรับการตั้ง รกราก ดาวดวงนี้คือสีสันแห่งระบบสุริยะโดย แท้ สีฟ้าอันแสดงถึงการคงอยู่ของน้ำทะเลและบรรยากาศที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต สีน้ำตาลที่หมายความว่ามีผืนดินสำหรับสร้างเมืองและถาวรวัตถุ สีเขียวอันเป็นตัวแทนของพืชพันธุ์ธัญญาหารสำหรับสัตว์โลก ความรู้สึกของเนฟิลิมที่มีต่อโลกผู้ทรงคุณูปการทั้งปวงคงไม่ต่างจากพวกเราใน ปัจจุบันนี้เท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในห้วงเวลาที่ครอบครัวของเนฟิลิมเดินทางมาถึงโลกนั้น สภาพของโลกเมื่อมองจากห้วงอวกาศไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้หรอกครับ เพราะเมื่อครั้งที่เนฟิลิมมาถึงโลกของเรานั้น โลกอยู่ในช่วงตอนกลางของยุคน้ำแข็งพอดี

Sitchin อนุมานว่าเนฟิลิมลงสู่พื้นโลกเมื่อประมาณ 450,000 ปีก่อน ตอนนั้นพื้นที่หนึ่งในสามของโลกถูกปกคลุมด้วยธารน้ำแข็ง สภาพทั่วไปของโลกต่างจากปัจจุบันมาก โดยเฉพาะในส่วนของผืนน้ำซึ่งมีความลึกความตื้นไม่เหมือนปัจจุบัน เขาสรุปว่า พวกเขาทำการค้นหาผืนดินที่อยู่ในเขตอบอุ่น อุณหภูมิไม่ทารุณกับพวกเขาเกินไปนัก เป็นเรื่องธรรมดาๆเหมือนกับผู้ตั้งรกรากทั้งปวงย่อมแสวงหาดินแดนที่พวกเขา สามารถทำงานได้อย่างสบายๆ สวมเสื้อผ้าบางเบาแทนที่จะต้องแบกชุดปรับอุณหภูมิหนาหนักเดินท่อมๆใต้ฟ้า หิมะ นอกจากนั้นยังต้องมีแหล่งน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค และใช้ในการอุตสาหกรรม และที่แน่ๆผืนดินที่พวกเขาตั้งรกรากต้องทำกสิกรรมและปศุสัตว์เพื่อผลิตอาหาร สำหรับพลเมืองพลัดถิ่นชาวนิฟิลิมได้

ตอนนี้เรารู้แล้วว่าจุดที่ดึงดูดใจเนฟิลิมผู้บุกเบิกคือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ สามแห่ง ได้แก่ ไนล์, สินธุ และไทกริส-ยูเฟรติส ลุ่มน้ำเหล่านี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างอาณานิคม ซึ่งก็ปรากฏว่าในภายหลังอารยธรรมของมนุษย์ยุคโบราณก็ได้เริ่มต้นขึ้นที่ดิน แดนลุ่มแม่น้ำทั้งสามนี้จริงๆเสียด้วยสิครับ
...บันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณ กล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ปริโตเลียมของเนฟิลิม ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลหลักในการเลือกตั้งอาณานิคมเนื่องจากคุณูปการทั้งปวงที่ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีให้ (มีหลักฐานชัดเจนอยู่แล้วครับว่าชาวเมโสโปเตเมียโบราณรู้จักที่จะใช้น้ำมัน ดิบในกิจกรรมต่างๆ) ดินแดนแรกที่พวกเขาจะตั้งรกรากจึงน่าจะเป็นดินแดนที่ทรัพยากรดังกล่าวอุดม สมบูรณ์ที่สุด

earth-chrono-u01.jpg

ซ้าย: แหล่งน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์ถึงขั้นทะลักสู่พื้นดินในทะเลอาราเบียน
กลางและขวา: ภาพถ่ายจากอวกาศของบริเวณอ่าวเปอร์เซีย ด้านเหนือและตรงกลางตามลำดับ


เมโสโปเตเมียดินแดนระหว่างสองแม่น้ำจึงเป็นตัวเลือกแรกของเนฟิลิม ณ ดินแดนส่วนปลายแถบอ่าวเปอร์เซียไล่มาจนกระทั่งถึงภูเขาอันเป็นต้นกำเนิดของ แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส...

ในเยเนซิสกล่าวถึงถิ่นฐานของพระเป็นเจ้าบนโลกมนุษย์-สวนสวรรค์เอเดนว่าตั้ง อยู่ในพื้นที่อันอบอุ่น เป็นสถานที่ที่มีแม่น้ำสี่สายไหลผ่าน...
แม่น้ำทั้งสี่มีชื่อเป็นของตนเอง เราไม่ทราบว่าแม่น้ำสองสายแรกคือ พีชอน(Pishon-abundant) และกีฮอน(Gihon-which gushes forth)นั้นเป็นแม่น้ำอะไรและมาจากไหน แต่แม่น้ำสองสายหลังคือไทกริสกับยูเฟรติสกลับเป็นที่รู้จักกันดีของพลโลก ปัจจุบัน

คำว่าเอเดน(Eden)ในพระคัมภีร์มาจากศัพท์เมโสโปเตเมีย โดยมาจากคำว่าเอดินู(Edinu)ในภาษาอัคเคเดียนอันหมายถึงที่ราบลุ่ม ผมไม่แน่ใจครับว่าเคยพูดถึงศัพท์คำว่าดินเกอร์(DIN.GIR)ไปแล้วหรือยัง (ขี้เกียจย้อนกลับไปอ่านน่ะ) คำๆนี้เป็นสมัญญาของเทพเจ้าโบราณที่มีความหมายว่าพระเจ้าผู้ทรงธรรม (DIN.GIR - the righteous/just one of the rockets) และศัพท์ภาษาสุเมเรียนอันหมายถึงถิ่นพำนักของเทพเจ้าใช้คำว่า E.DIN ซึ่งแปลว่าเรือนแห่งเทพผู้ทรงธรรม เข้ากันพอดี๊

earth-chrono-u02.jpg

ภาพจากบางมุมมองของดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์ สินธุ และไทกริส-ยูเฟรติสตามลำดับ


Sitchin กล่าวในหนังสือของเขาครับว่าเนฟิลิมลงสู่โลกด้วยการนำยานสู่ผิวน้ำ ณ จุดที่ปัจจุบันคือทะเลอาราเบียนทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย จารึกโบราณมีภาพของนักบินในชุดพิเศษที่ดูคล้ายปลา(และเป็นต้นกำเนิดของตำนานมนุษย์ มัจฉา) ยานของพวกเขามีชื่อเรียกว่า Celestial boats-นาวาสวรรค์ ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าทำไมเนฟิลิมจึงเลือกลง ณ จุดดังกล่าวทั้งที่ห่างจากผืนดินที่พวกเขาเลือกตั้งรกรากเป็นระยะทางนับ ร้อยๆไมล์ ดูจากแผนที่โลกในปัจจุบันแล้วลงที่อ่าวเปอร์เซียใกล้กว่ากันเป็นไหนๆ ทำไมพวกเขาไม่ทำ
...นี่คืออีกหนึ่งหลักฐานครับว่าบันทึกโบราณสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง สมัยนั้น อ่าวเปอร์เซียที่ปัจจุบันเป็นผืนน้ำเมื่อหลายแสนปีก่อนกลับไม่ใช่ เพราะมันเต็มไปด้วยที่ราบลุ่มและทะเลสาบจำนวนมากมาย ยานอวกาศขนาดใหญ่ของเนฟิลิมที่ต้องนำลงบนผืนน้ำ(เพื่อลดอัตราเสี่ยงจาก แรงกระแทก)ไม่มีทางนำลงตรงจุดนั้นได้แน่ๆ

ณ ดินแดนเมโสโปเตเมีย เนฟิลิมเริ่มสร้างที่พำนักอันเป็นอาณานิคมแรกบนโลกของเรา พวกเขาขนานนามสถานที่นั้นว่า E.RI.DU (house in far away built) แหม... เข้าใจตั้งชื่อจริงๆนะครับ ^^

สวนสวรรค์ Eden (ต่อ)

ที่เอริดูในดินแดนเมโสโปเตเมียตอนใต้ เนฟิลิมได้สร้างสถานีปฏิบัติการแห่งแรกขึ้นอย่างโดดเดี่ย ณ ดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง มีลิขิตสุเมเรียนโบราณชุดหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่าคัดลอกมาจากต้นฉบับดั้งเดิม และเป็นต้นกำเนิดของตำนานน้ำท่วมโลกของอัคเคเดียน กล่าวถึงนครห้าในเจ็ดแห่งแรกของอารยธรรมโลก ข้อความส่วนหนึ่งในลิขิตมีดังนี้


The first of the cities, ERIDU,
he gave to Nudimmud, the leader,
The second, BAD-TIBIRA,
he gave to Nugig.
The third, LARAK,
he gave to Pabilsag.
The fourth, SIPPAR,
he gave to the hero, Utu.
The fifth, SHURUPPAK,
he gave to Sud.


น่าเสียดายที่ชื่อของเทพเจ้าผู้เสด็จจากห้วงสวรรค์ลงมายังโลก วางแผนในการพัฒนาอาณานิคมเอริดู ก่อตั้งรัฐบาลและชนชั้นผู้นำนั้นกร่อนจนไม่สามารถอ่านได้ อย่างไรก็ตามนะครับ เทพผู้ทรงปัญญาซึ่งครั้งหนึ่งเคยยืนทอดสายตามองผืนแผ่นดินอันรกร้างและกล่าว ปรารภกับผู้ติดตามว่า "Here we settle" เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Enki ที่มีชื่อรองว่า Nudimmud(ผู้สร้างสรรพสิ่ง)ตามที่ปรากฏในลิขิตโบราณ

ชื่อทั้งสองของเทพองค์นี้คือเอนกิและอีอาเป็นชื่อที่ทั้งสอดคล้องและเหมาะ เจาะกับภารกิจของพระองค์ (EN.KI หมายถึง Lord of firm ground ส่วน E.A นั้นแปลว่า Whose house in water) ภารกิจของพระองค์ในการพัฒนาอาณานิคมทั้งบนบกและในน้ำได้แก่

the cleaning of the small rivers,
drain the marshes,
obtain cleaner, potable water,
implemet controlled irrigation
landfillings or the raising of dikes to protect the first houses from the omnipresent waters.

และ...

He marked the marshland,
placed in it carp . . . - fish;
He marked the cane thicket,
placed in it . . . - reeds and green-reeds.
Enbilulu, the Inspector of Canals,
he placed in charge of the marshlands.

Him who set net so no fish escapes,
whose trap no . . . escapes,
whose snare no bird escapes,
...the son of . . . a god who loves fish
Enki placed in charge of fish and birds.

Enkimdu, the one of the ditch and dike,
Enki placed in charge of ditch and dike.

Him whose . . . mold directs,
Kulla, the brick maker of the Land,
Enki placed in charge of mold and brick.


(ผมมันประเภทชอบใช้ภาษาวิบัติจนถึงขั้นวิกลจริต ดังนั้นเพื่อรักษาความงามของต้นฉบับเดิมที่ถอดความออกมาเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ในบางส่วนที่เป็นโคลงกลอนโบราณ ผมจะไม่แปลหรือแตะต้องเนื้อหาให้ท่านต้องเสียความรู้สึก)

รายนามกษัตริย์สุเมเรียนโบราณระบุว่าเอนกิและเนฟิลิมกลุ่มแรกอยู่บนโลกเป็น เวลาแปดชาร์ (28,000 ปี) ก่อนที่ผู้นำรุ่นที่สองจะมาถึง รายละเอียดดังกล่าวนี้เปรียบเหมือนแสงสำหรับคลำทางสู่คำตอบ โดยเราจะพิจารณาตามหลักฐานทางดาราศาสตร์เป็นตัวเปรียบเทียบ ซึ่ง Sitchin สรุปเอาไว้ในหนังสือของเขาว่า

ถ้าเอนกิลงมาที่โลกของเราในช่วงเริ่มต้นของยุคพิซเซส ผ่านยุคอควอริอัสซึ่งกินเวลา 25,290 ปี จนกระทั่งเริ่มยุคแคปปริคอร์นอย่างที่เราเชื่อจริงล่ะก็ เอนกิกับผู้ติดตามพากันใช้ชีวิตอยู่บนโลกในช่วงแรกอย่างยาวนานถึง 28,000 ปีเลยทีเดียว

cities-of-Enki.jpg

ภาพในจินตนาการของอาณานิคมแห่งเนฟิลิม เมื่อครั้งโลกตกอยู่ในยุคน้ำแข็ง


ทว่าในระหว่างที่ Enki ทำหน้าที่ผู้นำในการบุกเบิกโลกอย่างยากลำบากนั้น เทพบิดร Anu และ Enlil ผู้บุตรคอยจับตาโครงการของ Enki จากดาวเคราะห์ดวงที่สิบสองอยู่ตลอดเวลา ลิขิตเมโสโปเตเมียได้ให้รายละเอียดกับเราว่าแท้ที่จริงแล้วผู้ที่เป็นหัว หน้าทีมผู้ว่ากทม. เอ๊ย... หัวหน้าโครงการพัฒนาโลกนั้นคือเทพเอนลิล(Enlil)ที่ภายหลังตัดสินใจเดินทางมา ยังโลกบ้าง และขึ้นทำหน้าที่ผู้นำเหล่าเนฟิลิมแทนเอนกิ บันทึกยังบอกอีกว่าฐานที่มั่นของเอนลิลมีชื่อว่าลาร์ซา(Larsa) ซึ่งสร้างโดย EN.KI.DU.NU (Enki digs deep) ครั้งที่เอนลิลขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำนั้นพระองค์ถูกขนานนามว่าอาลิม (ALIM-แกะ) ซึ่งน่าจะหมายถึงการเริ่มต้นของยุคอาริเอส(Aries)

จุดมุ่งหมายของการสร้างลาร์ซาต่างไปจากนครอื่นๆ กล่าวคือลาร์ซาไม่ได้เป็นเพียงนครที่บุกเบิกขึ้นเพื่อปรับสภาพแวดล้อมในการ ดำรงชีวิตบนโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนหนึ่งเมืองท่าในการส่งแรงงาน ผลผลิต และอุปกรณ์ต่างๆกลับไปยังดาวเคราะห์ดวงที่สิบสอง จากนั้นเอนลิลทรงสร้าง Mission Command Center สำหรับเป็นสถานีในการประสานงานกับเนฟิลิมที่เดินทางไปมาระหว่างบ้านเกิดของ พวกเขากับโลก

Mission Commander Center ของเอนลิลถูกสร้างขึ้นที่นครนิปเปอร์ เอนลิลขนานนามสถานที่แห่งนี้ว่า NIBRU.KI (Earth's crossing) ซึ่งนับว่าเป็นหอควบคุมยุคโบราณที่พร้อมด้วยเทคโนโลยีจริงๆครับ ลิขิตสุเมเรียนกล่าวถึงสิ่งประดิษฐ์แปลกๆที่ถูกติดตั้งในนครนิปเปอร์ เช่น
...ดวงตาสำหรับสอดส่องไปทั่วแผ่นดิน
...ลำแสงที่สามารถค้นหาหัวใจแห่งดินแดนทั้งปวง

ลิขิตสุเมเรียนกล่าวถึงนกยักษ์สีดำซึ่งเคลื่อนไหวได้ราวพายุ มีลำแสงมรณะที่คอยปกป้องมันจากผู้บุกรุก คำบรรยายในลิขิตเกี่ยวกับปีกและรูปร่างๆของนกชนิดนี้นักโบราณคดีอ่านแล้วก็ ร้องไอ้หย๋า เพราะอ่านแล้วพาลนึกถึงเฮลิคอปเตอร์ไม่ใช่นก นอกนั้นก็มีประดิษฐกรรมโบราณมากมายครับ ที่อ่านแล้วไม่มีความโบราณเอาเสียเลย

เนฟิลิมลงทุนสร้างแม้กระทั่งสถานีเรดาร์เพื่อป้องกันผู้บุกรุก ใครจะมาเป็นผู้บุกรุกของเทพโบราณเหล่านี้ครับ ในห้วงอวกาศยังมีเผ่าพันธุ์ใดกล้าท้าทายอำนาจเทพโบราณจากดาวเคราะห์ดวงที่ สิบสองอยู่อีกหรือ?
 



  สถานีอวกาศแห่ง Sippar

ในระหว่างที่ผู้รับเหมา เอ๊ย... เนฟิลิมกำลังเร่งสร้างนครศูนย์กลางทั้งเจ็ดนั้น เหล่าผู้นำของเนฟิลิมก็ได้มีดำริให้สร้างสถานีอวกาศเพื่ออำนวยความสะดวกด้าน การบริหารการบินของเนฟิลิม ลิขิตสุเมเรียนกล่าวว่าสถานีอวกาศแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นทันทีหลังจากที่นครนิ ปเปอร์ถูกสถาปนาขึ้น ลิขิตยังกล่าวต่ออีกว่านิปเปอร์ทำหน้าที่ประหนึ่งศูนย์กลางในการถ่ายทอดคำ สั่งสำคัญๆของเทพเอนลิล คำสั่งดังกล่าวอาจถ่ายทอดไปยังหน่วยต่างๆที่อยู่บนโลก และในบางครั้งคำสั่งอื่นๆก็ได้ถูกส่งผ่านขึ้นสู่สรวงสวรรค์หรือห้วงอวกาศ เบื้องบนอีกด้วย สถานีแห่งนี้ทำหน้าที่เหมือนแหลมเคนเนดี้ของ NASA โดยมีเทพ Shamash(หลานของเอนลิล)เป็นผู้อำนวยการ ลิขิตโบราณกล่าวว่า Shamash/UTU ทำหน้าที่เป็นผู้นำของมนุษย์อินทรีทั้งหลาย คอยตัดสินใจและให้คำแนะนำแก่มนุษย์อินทรีที่กำลังจะขึ้นบิน (อย่างที่คุณได้อ่านบทบาทของเทพองค์นี้ไปแล้วในตอนที่กิลกาเมชขึ้นท่อง อวกาศ) พูดง่ายๆ Shamash ก็คือผู้อำนวยการด้านอวกาศและการบินของสถานีอวกาศที่ซิปปาร์นั่นแหละครับ

นครสุดท้ายในบรรดานครแห่งปวงเทพ 7 แห่งแรกและมีความเกี่ยวพันกับจักรราศีบนท้องฟ้าได้แก่ลารัค(Larak) ที่ซึ่งเอนลิลมอบหมายให้นินเออร์ตา(Ninurta)ผู้บุตรทำการปกครอง ทำเนียบนครในลิขิตสุเมเรียนขนานนามนินเออร์ตาว่า PA.BILSAG (แปลว่าผู้ปกป้อง - Great protector) ซึ่งมีความหมายเดียวกับกลุ่มดาวราศีธนูแห่งจักราศีทั้ง 12
นักคิดนักเขียนหลายคนสงสัยกันว่า เทพเจ้าจากห้วงอวกาศเหล่านี้มีเหตุผลกลใดจึงได้ตั้งนครในตำแหน่งต่างๆตามที่ กล่าวถึงในเอกสารโบราณ ใช่แล้วครับ... ความนี้ต้องมีเหตุผลดีๆอยู่เบื้องหลังเป็นแม่นมั่น เพราะเทพเจ้าที่ได้ชื่อว่าเจริญแล้วซึ่งเทคโนโลยี มีอภินิหารทางวิทยาศาสตร์ถึงขั้นเดินทางไปมาระหว่างดวงดาวได้นั้น คงไม่มาตั้งรกรากสุ่มสี่สุ่มห้าบนดาวเคราะห์อันหนาวเหน็บอย่างโลก(ในขณะ นั้น)หรอกจริงไหม

...เทพเจ้าเหล่านี้มีแผนการอะไรอยู่ในใจงั้นหรือครับ?


target-aliencraft.jpg



butt.gif Mater Plan of The Gods

ผมขอตอบคำถามนี้ด้วยคำถามก็แล้วกัน คำถามแรกก็คือสัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์โบราณที่ใช้แทนโลกของเรา นั้น ทำไมต้องเป็นสัญลักษณ์ของวงกลมคร่อมทับกากบาท ถ้านึกภาพไม่ออกลองนึกถึงสัญลักษณ์ของเป้า(target)หรือศูนย์เล็งของปืน ไรเฟิลนะครับ รูปของมันเป็นอะไรแบบนั้นแหละ

สัญลักษณ์ดังกล่าวนี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายและมีต้นกำเนิดจากดินแดนซูเมอร์ โบราณ สัญลักษณ์นี้ยังถูกใช้ในอักษรไฮโรกลิฟิกของอียิปต์โบราณซึ่งมีความหมายว่า สถานที่อีกด้วย

มันคือความบังเอิญหรืออะไรกันแน่ครับ เมื่อตอนที่เนฟิลิมต้องการลงสู่พื้นโลก พวกเขาให้สัญลักษณ์อะไรเกี่ยวกับเป้าหมายลงไปในแผนที่โลกหรือไม่ ถ้าใช่ เป้าหมายนั้นหมายถึงอะไร?

Sitchin อธิบายถึงส่วนประกอบสำคัญที่เห็นได้ชัดของเทือกเขาอารารัตว่าประกอบด้วย Little Aararat และ Great Ararat ซึ่งสองจุดนี้สามารถสังเกตได้ง่ายจากทางอากาศ แถมยังเป็นจุดตัดของเส้นแวงเหนือ-ใต้ แวดล้อมด้วยแม่น้ำสองสายซึ่งไหลผ่านคือไทกริสและยูเฟรติส จุดนี้แหละครับที่เป็นจุดที่เหมาะสมในการสร้างสถานีอวกาศของปวงเทพจากห้วง อวกาศ เรามาดูกันดีกว่าว่าเหมาะสมอย่างไร

ประการแรกคือ ณ จุดนี้เป็นจุดที่เหมาะสมในการขึ้นและลงของอากาศยาน
ประการที่สองคือง่ายต่อการลำเลียงอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับการบิน ไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือทางน้ำ
และประการสุดท้าย... เป็นข้อเท็จจริงที่แม้แต่พวกเราในยุคปัจจุบันเองยังต้องยอมรับ นั่นคือบริเวณดังกล่าวอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปริโตเลียม ดังนั้นเราจึงพอจะอนุมานได้อย่างคร่าวๆว่า เหตุใดปวงเทพจากห้วงอวกาศจึงเลือกจุดดังกล่าวเป็นที่ตั้งสถานีอวกาศของพวก เขา

target-013.jpg

target-012.jpg

ข้อเท็จจริงของหลักการบินในปัจจุบัน ยืนยันกับเราได้ว่าเนฟิลิมเลือกที่ตั้งสถานีอวกาศได้อย่างถูกต้องแม่นยำที่สุด


ดินแดนตรงส่วนหักโค้งของแม่น้ำยูเฟรติสอุดมไปด้วยทรัพยากรเชื้อเพลิงมาแต่ ไหนแต่ไรแล้วครับ ลองนึกภาพของผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมที่เอ่อล้นขึ้นมาตามรอยแยกของผิวดินสิ ครับ คนโบราณในแถบนั้นมีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ใช้ในอุตสาหกิจของพวกเขาอย่างเหลือเฟือ มาแต่ไหนแต่ไรโดยไม่ต้องขุดเจาะเลยด้วยซ้ำ ดินแดนตรงนั้นเองที่เป็นที่ตั้งของนครแห่งปวงเทพนามว่า Sippar อันมีความหมายว่าวิหค

...ความหมายในภาษาโบราณ Sippar ยังหมายถึงที่ๆพญาอินทรีหวนคืนสู่รังอีกด้วย ในบทที่ผ่านมาเราตีความคำว่าพญาอินทรีเป็นอากาศยาน ดังนั้นรังของพญาอินทรีน่าจะหมายถึงสนามบินที่บรรดาวิหคแห่งเทพร่อนขึ้นร่อน ลงเป็นว่าเล่น จริงไหมครับ?

butt.gif จริงหรือที่มีสนามบินอยู่ที่ Sippar

หลายคนคงถามคำถามนี้อยู่ในใจ แล้วถ้าสนามบินนี้มีอยู่จริง อากาศยานของเนฟิลิมจะเดินทางจากศูนย์บัญชาการกลางคือนคร Nippur มายัง Sippar ได้อย่างไร? ข้อนี้ตอบไม่ยากครับ
ภาพบนเซรามิคชิ้นหนึ่งที่พบในซูซา (Susa) ที่มีอายุประมาณ 3,200 ปีก่อนคริสตกาลแสดงให้เราเห็นถึงมุมประกบสามเส้าของแม่น้ำและภูเขา มีสัญลักษณ์คล้ายลูกศรบอกทิศชี้ไปยัง Sippar โดยกึ่งกลางของภาพมีสัญลักษณ์ X หรือกากบาทขนาดใหญ่อยู่กึ่งกลาง ซึ่งจุดนั้นหมายถึงนคร Nippur

ฟังแล้วเหลือเชื่อไหมครับ เพราะรายละเอียดเพิ่มเติมของภาพนี้คือมันถูกออกแบบให้ทุกส่วนมีความสัมพันธ์ กันด้วยมุม 45 องศา ซึ่งสภาพความเป็นจริงมันก็เป็นอย่างนั้นหากต้องการเดินทางทางอากาศจาก Nippur มายัง Sippar นักบินสามารถตั้งพิกัดเป้าหมายของเขาด้วยดีกรีนี้ได้อย่างแม่นยำ มากไปกว่านั้น นครอื่นๆที่ถูกระบุว่าเป็นนครของปวงเทพยังทำมุม 45 องศากับสนามบินที่ Sippar ทั้งสิ้น

นักโบราณคดีตั้งคำถามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าชาวสุเมเรียนโบราณใช้หลักเกณฑ์ อะไรในการสถาปนานครของพวกเขา ถ้าเราเชื่อในเรื่องเนฟิลิมเราก็ตอบคำถามนี้ได้ไม่ยากครับ ว่าชาวสุเมเรียนตั้งถิ่นฐานตามนครดั้งเดิมใน Master Plan ของปวงเทพจากห้วงอวกาศ ที่ต้องการให้สถานที่ตั้งของนครเหล่านั้นสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายสิ่งต่างๆไป จาก Sippar ให้มากที่สุด และประการสำคัญครับ การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ เทคโนโลยี (อาจจะรวมถึงพลเมืองเนฟิลิมด้วย) เหล่านี้ส่วนใหญ่มีปลายทางอยู่ที่นคร Nippur นครโบราณที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดเชื่อมของสวรรค์และโลก...

ซิกกูรัตและ Ark the Covenant
Sitchin อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ของเนฟิลิมที่ใช้ในอุตสาหกิจการบินเอาไว้ มากมายครับ โดยเฉพาะด้านการสื่อสารระหว่างดาวเคราะห์ดวงที่ 12 กับ Command Center นี่นคร Nippurบางอย่างพิศดารเสียจนเรา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนักโบราณคดีเข้าใจว่าเป็นอุปกรณ์ในเทพนิยาย แต่บางอย่างกลับทำให้เรานึกถึงอุปกรณ์ที่เราคุ้นเคยกันในพระคัมภีร์ฉบับพันธ สัญญาเก่า นั่นคือหีบอาร์คหรือ Ark of the Covenant

"... เจ้ากล่องสีดำ(จากรูปลักษณ์ที่เราเห็น มันเป็นอย่างนั้น)ในภาพลูกกลิ้งของชาวสุเมเรียนโบราณทำให้เรานึกถึง Ark of the Covenant ซึ่งถูกสร้างโดยศาสดาพยากรณ์โมเสส ซึ่งสร้างตามคำแนะนำจากพระเจ้าในข้อที่ว่า ตัวกล่องต้องสร้างด้วยไม้อย่างดี ทาบทับด้วยทองคำทั้งในและนอก โดยมีส่วนประกอบ(ที่คล้ายฉนวนกันไฟฟ้า)คั่นอยู่ตรงกลาง ส่วนประกอบหนึ่งของหีบที่เรียกว่า Kapporeth ต้องทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ มีเสาเทวรูปเล็กๆที่เรียกว่า Cherubim ตั้งอยู่เหนือหีบสองอัน นักภาษาศาสตร์สมัยก่อนตีความคำว่าแคพโพเรธ (Kapporeth) เป็นปกหรือกล่องหุ้มซึ่งไม่น่าจะใช่ครับ เพราะข้อความจากภาค Exodus ในคัมภีร์พันธสัญญาเก่าบอกจุดประสงค์ของการสร้างหีบอาร์คไว้อย่างชัดเจนว่า มันถูกสร้างเพื่อ

...ให้พระเจ้าสื่อสารกับมนุษย์โดยผ่าน Kapporeth ที่อยู่ระหว่าง Cherubim ทั้งสอง"


Ark_of_the_Covenant7.jpg

ภาพหีบอาร์คในจินตนาการ (หรือใครเคยเห็นของจริง?)


...ผ่านลำโพง(หรืออาจจะเป็นจอภาพ)ที่ตั้งอยู่ระหว่างเสาอากาศ หมายความว่าอย่างนั้นหรือเปล่าครับ?
แคพโพเรธกับเชรูบิมจะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ แต่ Ark of the Covenant ถูกสร้างเพื่อเป็นอุปกรณ์สื่อสารแน่ๆ เจ้าหีบพิศวงนี้ทำงานด้วยพลังไฟฟ้าครับ การเคลื่อนย้ายหีบดังกล่าวต้องใช้ไม้คานสอดเข้าไปในห่วงทองทั้งสี่ด้านของ หีบและใช้ชายฉกรรจ์จำนวนสี่คนหามมันไป แสดงว่ามีน้ำหนักไม่ใช่น้อย แถมตัวหีบอาร์คยังประจุไปด้วยไฟฟ้าแรงสูงเพราะเอกสารโบราณระบุว่า ชายชาวอิสราเอลผู้หนึ่งถึงแก่ความตายทันทีเมื่อไปแตะหีบนี้เข้า ตัวของเขาเกรียมไหม้เหมือนโดนฟ้าผ่า นั่นไม่ใช่ลักษณะของคนที่ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแรงสูงหรอกหรือครับ?

เช่นเดียวกับเรื่องเล่าของชาวสุเมเรียน วัตถุศักดิ์สิทธิ์บางชิ้นที่สามารถทำให้มนุษย์สื่อสารกับเทพเจ้าได้ไม่ว่า เทพองค์นั้นจะสถิตอยู่ที่ใดถูกมองได้ 2 แง่ครับ คือเรื่องของเทพนิยายเหนือธรรมชาติ กับของจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกเนื้อหาด้านเทพปกรณัมกลืนลงไป สัญลักษณ์ทางศาสนาที่ปรากฏในวิหารที่นครลากาช นครเออร์และมารีนั้น มีสัญลักษณ์แบบนึงที่ถูกแสดงด้วยเทวรูปบูชารูปดวงตา (eye idol) ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดถูกพบที่วิหารแห่งดวงตาที่ Tell Brank ทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย วิหารถูกขนานนามว่าวิหารแห่งดวงตาเพราะในตัวโบราณสถานอายุสี่พันกว่าปีนี้ ด้านในถูกประดับประดาด้วยสัญลักษณ์รูปดวงตานับร้อยนับพันคู่ และที่เหนืออื่นใด ที่แท่นบูชาใหญ่ของวิหารแห่งนี้ถูกประดิษฐานไว้ด้วยศิลารูปดวงตาคู่ที่ดูน่า เกรงขามเป็นยิ่งนัก

นักสุเมเรียนวิทยาให้ข้อสังเกตไว้ครับว่า รูปบูชาของชาวสุเมเรียนในยุคหลังถูกสร้างเลียนแบบอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของ เทพเจ้า ศิลารูปดวงตานี้อาจถูกสร้างเพื่อรำลึกถึงดวงตาอันน่าเกรงขามของ Ninurta หรือไม่ก็ดวงตาของ Enlil ที่ตั้งอยู่ ณ นครนิปเปอร์ซึ่งมีกล่าวถึงในเอกสารโบราณว่า

" His raised eye scans the land...
His raised Beam searchs the land "


arc_of_cover47.jpg

อาร์คปรากฏในทุกวัฒนธรรมโบราณ แม้กระทั่งอียิปต์



butt.gif Ziggurat ศาสนสถานหรือลานจอด UFOs
Zecharia Sitchin ได้อธิบายเอาไว้อย่างละเอียดใน 12th Planet เกี่ยวกับวิธีการสร้างซิกกูรัต เช่น สถาปัตยกรรม มาตราวัด และความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับระยะห่างของมันกับสถานที่ตั้งของนคร แห่งปวงเทพ

เขาได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ครับว่า...

"จริงๆแล้วซิกกูรัตเหล่านี้ถูกสร้างเพื่อสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้า เช่น การดูดาวฤกษ์-ดาวเคราะห์อย่างที่นักโบราณคดีพากันสรุปเอาไว้จริงหรือ? หรือว่ามีวัตถุประสงค์ในการเป็นสถานีบริการแก่อากาศยานของเนฟิลิมกันแน่? สังเกตดูดีๆสิครับ ซิกกูรัตทุกแห่งชี้มุมไปยังทิศทั้งสี่อันได้แก่ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก การออกแบบเช่นนั้นจะทำให้ฐานกับผนังด้านข้างทั้งสี่ของซิกกูรัตทำมุม 45 ดีกรีกับทิศหลักทั้งสี่ นั่นหมายความว่าอากาศยานใดๆที่ต้องการร่อนลงพื้นสามารถที่จะแล่นขนานไปกับ ด้านข้างของซิกกูรัต หรือใช้มันเป็นตัวชี้สำหรับบินตรงไปยังสถานีอวกาศที่ Sippar ได้อย่างไม่ยากเย็น"

ขอสรุปเพิ่มเติมอีกนิดละกันครับว่า แม้แต่นักวิชาการผู้พะอืดพะอมต่อทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศ ก็ยังอดยอมรับไม่ได้เลยว่าคนโบราณมีวัตถุประสงค์อื่นในการสร้างซิกกูรัตแฝง อยู่ นอกเหนือจากความต้องการสร้างเทวสถานให้สูงตระหง่านเกินความจำเป็นเช่นนี้

Zigurat-lag.jpg


Samuel N. Kramer ผู้โด่งดังสรุปเกี่ยวกับกรณีนี้ไว้ว่า

"หอคอยสุดอลังการอย่างซิกกูรัตนั้น กลายเป็นเครื่องยืนยันอารยธรรมอันเรืองโรจน์ของเมโสโปเตเมีย มันคือตัวแทนแห่งความสัมพันธ์ทั้งเชิงประวัติศาสตร์และเชิงสัญลักษณ์ระหว่าง เทพเจ้าบนฟากฟ้า กันมนุษย์เดินดินที่อาศัยอยู่บนโลก"

ท่าจะจริงของคุณ Kramer...

แต่เราชาว Myth คิดกันไปมากกว่านั้น พวกเรา(หรือว่านายโซนิคคนเดียวหว่า)เชื่อกันว่า จุดประสงค์ของการสร้างซิกกูรัตนั้น สร้างขึ้นเพื่อการสื่อสารระหว่างเทพเจ้าบนโลกกับเทพเจ้าบนสวรรค์โดยแท้ มนุษย์เดินดินในสมัยก่อนทำได้ก็เพียงแหงนมองเทวสถานโบราณนี้อย่างยำเกรง และอนุชนรุ่นหลังได้สร้างเลียนแบบขึ้นเพื่อรำลึกว่า ครั้งหนึ่งเทพเจ้ากับมนุษย์เคยอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

...ว่าแต่ สันติสุขจริงหรือ?

ความหมายของโลกล่าง -- Lower World

จากบทที่ผ่านมา ผมเล่าถึงการที่ Enlil เข้ามาดำรงตำแหน่งผบ.แทน Enki ซึ่งทำให้ฉายาของ Enki เปลี่ยนไปเป็น E.A (อ่าน ว่าอี.เอ หรือ อี.อา แปลว่าเจ้าแห่งน้ำ) แทนฉายาเดิมที่เคยถูกเหล่าเนฟิลิม(อานันนาคี)เรียกขานว่าเจ้าโลก เอ่อ... ผมหมายถึง Lord Earth น่ะ คิดกันไปถึงไหนแล้ว ^^!

เทพผู้นำทั้งสามได้บรรลุข้อตกลงในการแบ่งเขตปกครอง บิดรเทพ ANU ทำหน้าที่ประธานสภาเทพ ทรงสถิตย์อยู่บนห้วงสวรรค์ ณ ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 เทพเจ้า Enlil ทำหน้าที่ผู้บัญชาการสูงสุดปกครองแผ่นดินแทนพี่น้องอย่าง Enki ซึ่งถูกย้ายไปดูแลดินแดน AB.ZU (หรือ apsu ในภาษาอัคเคเดียน)

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับการแบ่งอำนาจของเทพทั้งสามได้แก่ การเรียกอาณาจักรของ Enlil ว่าโลกบน (Upper world) ส่วนของ Ea จะเรียกว่าโลกล่าง (Lower World) นักวิชาการหลายเหมาเอาว่า Enlil คือผู้ครองโลกเบื้องบนและ Ea เป็นผู้ครองโลกใต้น้ำหรือนครใต้บาดาล เนื่องจากท่านนักวิชาการทั้งหลายตีความว่าอาณาจักรของ Ea เป็นเหมือนหนึ่งนครใต้พิภพของเทพเจ้าฮาเดสแห่งกรีก เพราะว่าฮาเดสครองก้นบึ้งแห่งโลกที่รู้จักกันในนามของ Abbys


apsu-enki-k2.jpg

Enki เทพเจ้าแห่งความรู้ผู้ดูแล Apsu ดินแดนแห่งสายน้ำหลาก


คำว่า abbys (ซึ่งแผลงมาจาก absu) หมายถึงความมืด ลึก ไร้ก้นบึ้ง เป็นห้วงน้ำแห่งอันตรายที่ไปแล้วไม่สามารถหวนคืนกลับ ดังนั้นคำว่า Lower World ในสายตาของนักสุเมเรียนวิทยา ในสมัยก่อนจึงหมายถึงอาณาจักรของคนตาย หรือไม่ก็โลกใต้บาดาลที่ตรงกับนรกภูมิในคติทางศาสนาของบ้านเรา จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้เองหลังจากมีการศึกษาบริบททางวรรณกรรมสุเมเรียนอย่าง หนัก นักสุเมเรียนวิทยาจึงลงความเห็นว่าน่าจะมีการตีความคำนี้เสียใหม่ โดยลดความหมายของมันลงเป็น Netherworld หรือนครใต้สมุทรแทนครับ :)

นครของ Ea เป็นเพียงเมืองในจินตนาการที่ปรากฏในมหากาพย์โบราณหรือไม่? ข้อนี้ยังเป็นที่กังขาของใครหลายคนอยู่ Zecharia Sitchin เสนอว่านครแห่งนี้มีอยู่จริงๆบนโลกภูมิศาสตร์ของเรา ไม่ใช่ปรากฏอยู่แต่ในเทพนิยาย ฟังดูก็เข้าเค้าใช่ไหม ขนาดทรอยและไมซีนี่ยังมีอยู่จริงๆ(ทั้งที่ใครต่อใครสรุปเหมาเอาว่านครทั้ง สองเป็นเมืองในนิยาย) Apsu ที่คนโบราณให้รายละเอียดหนักแน่นกว่าทรอยเป็นไหนๆจะไม่มีอยู่บนโลกเชียวหรือ

inanna_demu7.jpg


...เอ่อ ว่าแต่มันอยู่บนส่วนไหนของโลกภูมิศาสตร์ล่ะครับ ไอ้เจ้า Apsu เนี่ย?

ลิขิตโบราณบทหนึ่งที่พิสูจน์ว่า Lower world มิใช่ดินแดนของคนตายได้แก่

อราลีดินแดนแห่งสายน้ำหลาก

ลิขิตโบราณที่ยาวมากๆ (แต่ตีความได้น้อยเพราะหาฉบับที่สมบูรณ์ไม่พบ) กล่าวถึงกรณีขัดแย้งระหว่าง Ira (ฉายาของ Nergal ที่โลกล่าง) กับ Marduk ผู้เป็นเฮียตี๋ร่วมสายเลือด ความไม่ลงรอยระหว่างพี่น้องทำให้ Nergal ตัดสินใจประกาศประจัญหน้ากับ Marduk ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบาบิโลน ฝ่าย Marduk นั้นเล่าก็แถลงการณ์อย่างกราดเกรี้ยวเช่นกันครับ ว่าเขาและกองทัพจักต้องขยี้อิรัก เอ๊ย... Apsu ให้ราบเป็นหน้ากลอง ทัพใหญ่ของบาบิโลนจะยาตราเข้าไปเหยียบเหล่า Anunnaki ให้แบนแต๋ติดดิน ตามลิขิตกล่าวว่ามาร์ดุคละที่มั่นของพระองค์ในเมโสโปเตเมียและเดินทัพไปตาม น้ำที่ขึ้นสูง (waters that rose up) จุดหมายคือถล่มดินแดน Apsu ปลายทางของมาร์ดุคอยู่ที่นครชื่อ Arali ที่ซึ่งถูกกล่าวถึงในฐานะของฐานทัพแห่งผืนพิภพ รายละเอียดในเอกสารโบราณว่าไว้อย่างนี้ครับ


In the distant sea,
100 beru of water (away) ...
the ground of Arali (is) ...
It is where the Blue Stones cause ill,
Where the craftsman of Anu
the Silver Axe carries, which shines as the day.


เอ้า ลองมาถอดความกันหน่อย (ไม่บ่อยนะครับที่ผมจะยอมถอดความให้ ^^)


ณ สมุทรอันสุดไกล
ล่องไปในนาวา 100 เบรู...
สู่ดินแดนอลารี ที่ซึ่งเป็น...
ณ ที่มีศิลาสีฟ้า เหตุแห่งโรค 
ณ ที่ซึ่งสถาปนิกของอานู
ควงขวานเงินอันเปล่งประกายราวทิวา


เบรูเป็นหน่วยวัดระยะทางโบราณครับ 100 เบรูที่เอกสารกล่าวถึงอาจกินระยะมากกว่าสองหรือสามพันไมล์ ที่ใช้คำว่าอาจก็เพราะเราไม่รู้นี่ครับว่าเรือโบราณสามารถแล่นด้วยความเร็ว เท่าไหร่ (เพราะหนึ่งเบรูหมายถึงการแล่นเรือเป็นเวลา 2 ชั่วโมงได้ด้วย) เอกสารโบราณระบุว่า Arali อยู่ทางตอนใต้ของ Sumer เรือซึ่งแล่นเป็นระยะทางสามพันไมล์ (หรือสองร้อยชั่วโมงถ้าเรายึดเบรูเป็นหน่วยบอกเวลา) ไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอ่าวเปอร์เซียนั้น มีจุดหมายอยู่ที่เดียวเท่านั้นแหละคือทวีปอาฟริกาตอนใต้

arali4.jpg


ป.ล. ร่องรอยของเหมืองแร่แห่งเนฟิลิมมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือเหมืองของอารยธรรมออลเม็ค ภาพที่เห็นด้านซ้ายเป็นภาพของเทพเจ้าชาวออลเม็ค พร้อมอุปกรณ์ในการทำเหมืองเช่นหน้ากากแบบวิศวกร อุปกรณ์ขุดเจาะ และเครื่องเคราครบครัน อารยธรรมออลเม็คมีส่วนเกี่ยวพันกับสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง รายละเอียดผมจะกล่าวถึงในบทหลังๆครับ

นี่เป็นข้อสรุปเดียวเท่านั้นในการอธิบายความหมายของคำว่า Lower World ดินแดนแห่งกาฬทวีปอันเป็นที่ตั้งของ Arali ซึ่งตรงข้ามกับ Sumer บน Upper World ที่เทพเจ้า Enlil ปกครองอยู่...

หมายความว่าเมโสโปเตเมียโบราณคุ้นเคยกับทวีปอาฟริกาเป็นอย่างดีงั้นรึ?

ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละครับท่านผู้ชม เพราะภาพลูกกลิ้งโบราณของตะวันออกกลางมากมายมีภาพของสัตว์ที่มีเฉพาะในทวีป อาฟริกา เช่น ม้าลาย หรือ นกกระจอกเทศปรากฏอยู่ ภาพของป่าแบบอาฟริกา ภาพบรรดาผู้นำที่นุ่งห่มหนังเสือดาวตามธรรมเนียมอาฟริกันยืนยันกับเราได้ว่า ดินแดนซูเมอร์กับอาฟริกามีการติดต่อกันมาแสนนานมากมายกว่าที่เราคิดไว้นัก

ปัญหาในตอนนี้ของเราก็มีอยู่แค่ ปวงเทพเนฟิลิมตะกายลงไปทำอะไรที่อาฟริกากันครับ?

butt.gif ปวงเทพแห่งโลกล่างและจารึกแห่งปัญญา

นี่เป็นคำถามสำคัญว่าเนฟิลิมมุ่งหน้าไปที่อาฟริกาทำไม เหตุใดพวกเขาจึงยอมให้ผู้นำที่มีความสามารถอย่าง Enki/Ea ไปประจำการอยู่ที่นั่น และทำไมจึงยอมมอบของสำคัญแห่งสภาเทพที่เรียกว่า Tablet of Wisdom หรือจารึกแห่งปัญญาให้ Ea ดูแล

...เรามาตีความดินแดน Arali - AB.ZU - Apsu กันก่อนดีกว่านะครับ

ความหมายเชิงวรรณคดีของ AB.ZU คือห้วงน้ำลึกดึกดำบรรพ์ แต่ปัจจุบันนักสุเมเรียนวิทยายอมรับกันแล้วครับว่า คำๆนี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงห้วงน้ำเสมอไป เพราะหลักไวยากรณ์ภาษาสุเมเรียนแล้วคำสองคำใดๆสามารถสลับตำแหน่งกันได้โดย ความหมายไม่เปลี่ยน นั่นหมายถึงคำว่า AB.ZU กับ ZU.AB มีความหมายเหมือนกัน (ไม่เหมือนปลาภาษาไทยเนอะ ปลาปิ้งกับปิ้งปลามันคนละความหมายกันเลย) คำว่า ZU.AB เมื่อสะกดในภาษาเซมิติคจะได้คำว่า za-zb อันแปลว่าโลหะที่มีค่า โดยเฉพาะเมื่อหมายถึงทองคำ คำๆนี้จะใช้กันแพร่หลายในภาษาฮีบรูและภาษาอื่นในวงศ์วานเดียวกันครับ

อักษรภาพภาษาสุเมเรียนที่ใช้แทนคำว่า AB.ZU มีความหมายว่าการขุดลงไปในพื้นดิน - โดยเฉพาะการขุดด้วยวัตถุมีคม ดังนั้นเป็นไปได้ไหมครับว่าเรา(หมายถึงนักสุเมเรียนวิทยา)ตีความหมายของ เทพเจ้า Ea ผิดไป แท้ที่จริงพระองค์มิใช่เทพแห่งห้วงน้ำลึก แต่เป็นเทพแห่งการขุดโลหะต่างหาก!

บทเพลงสรรเสริญ Ea ของคนโบราณได้ยกย่องให้พระองค์เป็น Bel Niniki ซึ่งแปลว่าเทพแห่งปัญญา แต่ความหมายที่แท้จริงๆของคำๆนี้คือเจ้าเหมืองแร่ เช่นเดียวกับจารึกแห่งชะตากรรม (Tablet of Destinies) ที่คำว่าชะตากรรมหมายถึงวงโคจรของดาวเคราะห์(ที่ผมกล่าวไปแล้วในบทที่ผ่านๆ มา) ความหมายที่แท้จริงของจารึกแห่งความรู้ที่ Ea มอบแก่ Nergal และ Ereshkigal คือจารึกแห่งการทำเหมืองหรืออีกนัยหนึ่ง มันเป็น Data Bank ที่บรรจุความรู้ในการหาทรัพยากรของเนฟิลิมนั่นเอง

olmec-mon19b.jpg


ระหว่างดำรงตำแหน่งผู้ปกครอง Abzu เทพเจ้า Ea มีโอรสองค์หนึ่งนาม GI.BIL (แปลว่าผู้เผาดิน)คอยเป็นมือขวาให้ความช่วยเหลืออยู่ GI.BIL เป็นเทพหนุ่มผู้มีเปลวเพลิงร้อนแรงลุกอยู่เหนือบ่า ทำหน้าที่ช่างถลุงเหล็กแห่ง Abzu จารึกกล่าวถึงการจุ่มบุตรชายลงในบ่อแห่งปัญญา นั่นคงหมายถึงการถ่ายทอดวิทยาการด้านวิศวกรรมเหมืองแร่ให้แก่บุตรชายของ Enki นั่นเองครับ

แร่ที่ขุดมาได้จะถูกลำเลียงไปยัง Bad-Tibira นคร ที่มีความหมายว่ารากฐานแห่งการแปรโลหะ โดยเฉพาะทองคำซึ่งจะถูกแปรรูปให้เป็นแท่งนั้นจะเห็นได้ว่า รูปแบบของทองแท่งเมื่อหลายพันปีก่อนกับในปัจจุบันนั้นเหมือนกันไม่มีเพี้ยน ภาพทองคำแท่งที่มีอยู่ทั่วไปในดินแดนซูเมอร์ยืนยันให้เราทราบความจริงข้อ หนึ่งว่า นครแห่งปวงเทพนั้นมั่งคั่งและให้ความสำคัญกับทองคำเป็นพิเศษ

...เทพเจ้าก็ต้องการทองคำ แปลกดีเนอะ

การอ้างถึงทองคำและโลหะมีค่าในเอกสารโบราณ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความคุ้นเคยกับการแปรโลหะมานานแล้ว การค้าขายแลกเปลี่ยนโลหะอยู่คู่กับอารยธรรมมนุษย์ตลอดมา แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากยุคสมัยแห่งปวงเทพ เมื่อครั้งที่โลกนี้ยังไม่มีมนุษย์คนใดดำรงอยู่

... นี่คงเป็นคำตอบได้ว่า เหตุใดอารยธรรมยุคโลหะจึงปรากฏขึ้นมาแบบปุบปับ ทั้งที่ตามหลักวิวัฒนาการแล้วยุคหินใหม่ของมนุษย์ควรทอดระยะไปอีกนับล้านปี
ในไบเบิลเองก็มีการอ้างถึง Tebal - Cain อันหมายถึงอาวุโสผู้เชี่ยวชาญการแปรทอง, ทองแดง และเหล็ก ที่อาศัยอยู่บนโลกก่อนสมัยน้ำท่วมโลก

จากการศึกษาเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ของนักโบราณคดี ดร.เคนเนธ โอคเลย์ หัวหน้าทีมโบราณคดีแห่งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในลอนดอนกล่าวว่า

"การศึกษาของเรานำไปสู่มิติใหม่ของทฤษฎีแห่งการกำเนิดมนุษยชาติ จากหลักฐานทางความรุ่งเรืองและอื่นๆที่เราพบนั้น เป็นไปได้ที่อาฟริกาตอนใต้คือสถานที่วิวัฒนาการของมนุษย์ บ้านเกิดของลิงเปลือยที่ชื่อ โฮโม เซเปี้ยน"

รายละเอียดอันน่าสนใจในการวิจัยของ ดร.เคนเนธ โอคเลย์ หาอ่านกันได้ใน 12th Planet ฉบับเต็มนะครับ ผมไม่เล่าแล้วเพราะมันยาวมาก ขอสรุปไว้ตรงนี้แค่จากต้นบทมาจนถึงบรรทัดนี้ คุณจะเห็นว่ามนุษย์ยุคใหม่หรือโมเดิร์นแมนอย่างเราๆท่านๆยังไม่ถือกำเนิด ขึ้นมาบนโลกใบนี้เลย แต่สิ่งนี้กำลังจะเกิดแล้ว สาเหตุก็มาจากอุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ของปวงเทพจากอวกาศนั่นล่ะครับ

But first... Search for Metals...

ทองคำ เงิน และ ทองแดงเป็นโลหะมีค่าที่จัดอยู่ในธาตุตระกูลทอง ธาตุเหล่านี้ถูกคนโบราณจัดให้อยู่ในตระกูลเดียวกันด้วยการจำแนกมวลอะตอม การตกผลึก คุณสมบัติทางเคมีและทางกายภาพที่คล้ายๆกัน คืออ่อนตัว สามารถทุบและดัดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำที่เป็นตัวนำความร้อนและนำไฟฟ้าได้ดีที่สุดธาตุหนึ่ง

ในธาตุทั้งสามที่กล่าวมานี้ทองคำจัดเป็นธาตุที่แข็งแกร่งที่สุด มันถูกยกให้เป็นโลหะสูงค่า ถูกมนุษย์นำมาใช้ประโยชน์นานับประการ เป็นต้นว่า ใช้แทนเงินตรา ใช้ทำเครื่องประดับ ใช้กับอุตสาหกรรมอัญมณี หรือแม้แต่วงการคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ทองคำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของ micro-electronic หลายจำพวก เช่น การใช้ทองคำทำแผงวงจรและอุปกรณ์ชิ้นส่วนสำคัญของ CPU
...เรามักเรียกทองคำว่าโลหะแห่งกษัตริย์ ในความเป็นจริงแล้วทองคำเป็นโลหะของปวงเทพต่างหากล่ะครับ :)

เหล่าเนฟิลิมเดินทางมายังโลกเพื่อแสวงหาทรัพยากร ที่เน้นเป็นพิเศษคือธาตุในตระกูลทองคำ บางทีพวกเขาอาจต้องการธาตุหายากประเภทอื่นด้วย เช่นแพลทตินัมซึ่งมีอยู่มากมายในอาฟริกา เจ้าแพลทตินัมนี้เป็นหัวใจสำคัญในการให้พลังงานกับเซลเชื้อเพลิงของพวกเขา และที่เป็นไปได้มากกว่านั้นก็คือ เนฟิลิมต้องการธาตุประเภทกัมมันตรังสี เช่นยูเรเนียมหรือโคบอลต์ เพราะในเอกสารโบราณได้ระบุถึงหินสีฟ้าต้นเหตุแห่งโรค (blue stones that cause ill) ซึ่งหมายถึงธาตุที่แผ่รังสีออกมากได้ ภาพโบราณหลายชิ้นแสดงให้เห็น Ea ผู้เป็นราชาแห่งการทำเหมืองกำลังขึ้นมาจากอุโมงค์ขุดเจาะ วรกายของพระองค์ถูกรัศมีของหินมีค่าที่ทรงนำขึ้นมาด้วยฉาบฉายไปทั่วร่าง รัศมีนั้นร้อนแรงเสียจนปวงเทพอื่นๆต้องใช้โล่ห์บางอย่างกำบังเอาไว้ ภาพลักษณะนี้มีอยู่มากมายครับ และสวนใหญ่ Ea จะถือเลื่อยตัดหินอยู่ในมือด้วย


image-148.jpg


โครงการทำเหมืองแร่บนโลกมี Ea/Enki เป็นผู้นำก็จริงครับ (โปรดสังเกตว่า ในความหมายทั่วไปผมจะเรียกเทพองค์นี้ว่า Enki แต่เมื่อไรก็ตามที่บทของเทพองค์นี้ไปเกี่ยวข้องกับโลกล่าง ผมจะเรียกว่า Ea) แต่คุณต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงบางอย่างว่าลำพังแค่ความรู้ความสามารถของ Enki องค์เดียวนั้นย่อมไม่สามารถทำให้งานลุล่วงไปได้ กำลังสำคัญจริงๆของการหาทรัพยากรแห่งปวงเทพนั้นเราต้องยกความดีให้เทพชั้น ผู้น้อยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคนโบราณขนานนามพวกเขาว่า Anunnaki

มีเอกสารโบราณกล่าวถึง Anunnaki ในฐานะของเทพชั้นผู้น้อยที่เดินทางมาตั้งรกรากอยู่บนโลก พวกเขามีหน้าที่ผลักดันงานต่างๆให้ลุล่วง Epic of Creation ฉบับบาบิโลเนียนยกความดีความชอบของตำแหน่งผู้นำ Anunnaki ให้กับเทพเจ้า Marduk แต่เชื่อผมเถอะครับว่า เอกสารฉบับภาษาสุเมเรียนอันเป็นต้นตอของ Epic of Creation นั้นต้องยกเทพเจ้า Enki ให้ดำรงตำแหน่งนี้

เอกสารที่ว่ากล่าวถึงนักบินอวกาศยุคโบราณเหล่านี้ไว้อย่างน่าสนใจ:

Assigned to Anu, to heed his instructions,
Three hundred in the heavens he stationed as a guard;
The ways of Earth to define from the heaven;
And on Earth,

Six hundred he made reside.
After he their instructions had ordered,
to the Anunnaki of Heaven and Earth
he alloted their assignments.


ลิขิตโบราณนี้กล่าวถึง Anunnaki จำนวน 300 คน(ตน?)ที่จัดอยู่ในกลุ่มของอานันนาคีแห่งสวรรค์หรือ IGIGI อานันนาคีเหล่านี้ทำหน้าที่นักบินอวกาศอย่างแท้จริงครับ กล่าวคือพวกเขาอาศัยอยู่บนยานที่โคจรอยู่รอบโลก ยาน(หรือสถานีอวกาศ)ลำนี้มีหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้บรรดายานอวกาศอื่นๆ ซึ่งเดินทางไปมาระหว่างโลกกับชั้นบรรยากาศ ลิขิตบทหนึ่งกล่าวถึงเทพผู้นำของเหล่าอินทรีคือ Shamash/Utu ผู้เคยนำคณะอานันนาคีจากโลกขึ้นไปเยือนที่นั่น Shamash ได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษ เหล่า Igigi ต่างพากันชื่นชมบารมีของ Shamash ขณะทรงดำเนินสู่คูหาสวรรค์ (Mighty great chamber in heaven) ของบรรดา Igigi

เอกสารโบราณชุดนั้นยังบอกกับเราอีกว่า ในความเป็นจริง Igigi มิเคยปรากฏโฉมให้มนุษย์โลกได้เห็นกันเลย เนื่องจากปวงเทพเหล่านั้นอยู่สูงเกินไป(แหงสิครับ เล่นอยู่เหนือชั้นบรรยากาศนี่นา) ตรงข้ามกับเหล่าอานันนาคีที่อาศัยอยู่บนโลก ปวงเทพกลุ่มหลังดูจะสนิทคุ้นเคยและเป็นที่ศรัทธาของพสกนิกรชาวโลกมากกว่า เอกสารโบราณได้ให้รายละเอียดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ Anunnaki ว่ามีกันทั้งหมดสองกลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่บนสวรรค์(Igigi)จำนวน 300 และกลุ่มที่อยู่บนโลก(The Anunnaki) จำนวน 600

scroll-pc1x.jpg


Sitchin สรุปเอาไว้ในหนังสือของเขา(พร้อมคำอรรถาธิบายอีกยืดยาว)ว่า เนฟิลิมไม่ได้ลงมาที่โลกของเราทีละทั้งหมดหรือมาเป็นขโยงหรอกนะครับ เพราะการเดินทางมีข้อจำกัดของมันอยู่ พวกเขาจึงต้องแบ่งกลุ่มทยอยกันลงมาที่โลกโดยกลุ่มหนึ่งประกอบด้วย Anunnaki จำนวน 50 คน คงเหมือนการลำเลียงพลในปัจจุบันกระมังครับ ที่จำนวนของคนต่อเที่ยวบินนั้นขึ้นอยู่กับความจุของยานพาหนะที่จะบรรทุกไป ได้

แล้วสงสัยกันบ้างหรือเปล่าล่ะครับว่า เนฟิลิมซึ่งทยอยลงมายังโลกทีละกลุ่มนั้นรวมกันเบ็ดเสร็จอย่างมากก็ไม่เกิน พัน แล้วทำไมพวกเขาต้องสร้างมหานครสร้างอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ขึ้นบนดินแดน Sumer ด้วย ลำพังคนจำนวน 600 คนนั้นสร้างโคโลนี่เล็กๆก็พอไม่ใช่หรือ

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นต่อจากนี้แหละครับ จากคำถามที่ว่าเหล่าเนฟิลิมคาดหวังอะไรเอาไว้กับโครงการทำเหมืองแร่บนโลก การขุดทรัพยากร - แปรรูป - ลำเลียงกลับดาวเคราะห์ดวงที่ 12 มันเป็นงานหนักเกินกว่าที่คนหยิบมือเดียวจะทำได้ แม้เทคโนโลยีของพวกเขาจะไฮเทคขนาดไหนก็ตามที



การสร้างมนุษย์ต้นแบบคนแรก, Lulu = Primitive Worker

ภาพพิมพ์ลูกกลิ้งในพิพิธภัณฑ์ Louvre ภาพหนึ่งแสดงให้เห็น Ea ในฐานะเทพเจ้าแห่งสายน้ำหลาก ภาพแบบนี้มีให้เห็นจนชินตาสำหรับนักสุเมเรียนวิทยาครับ แต่บังเอิญว่ามันมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่งตรงที่สายน้ำหลากของ Ea ไหลรินออกมาจากอุปกรณ์บางอย่างซึ่งคล้ายกับหลอดทดลองที่ใช้กันในห้องแล็บ มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องย้ำกันมากความว่า Ea ถูกชาวสุเมเรียนโบราณยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งสายน้ำ และในขณะเดียวกัน พระองค์ถูกยกย่องให้เป็นราชาแห่งการทำเหมืองแร่ด้วย

ก็แล้วมันสำคัญยังไงรึ?

...มันก็ไม่เป็นการยากสำหรับเราที่จะเดาว่า ปวงเทพเนฟิลิมมีความหวังเหมือนกันกับที่มนุษย์ยุคปัจจุบันหวังเอาไว้ นั่นคือการดำลงไปขุดเอาทรัพยากรอันมีค่าขึ้นมาจากใต้ทะเล สินแร่เอย ทองคำเอย ปริโตเลียมเอย... มีอะไรบ้างล่ะครับที่เราจะหาไม่ได้จากท้องทะเล
เพียงแต่ว่างานขุดหาทรัพยากรจากท้องทะเลนั้น มีข้อจำกัดกว่าการทำเหมืองแร่บนบก มนุษย์เราไม่ใช่ปลาที่จะหายใจในน้ำได้นานๆ เนฟิลิมก็เช่นเดียวกัน


enki-watergod.gif


มีงานเขียนมากมายของชาวสุเมเรียนโบราณที่กล่าวถึงเรือแห่งเทพเจ้า โดยเฉพาะเรือที่ชื่อ Elippu Tebili (Sunken-Ship ไม่ใช่เรืออับปางนาขอรับ หมายถึงเรือดำน้ำต่างหากล่ะ) ที่มักมีบทบาทคู่กันกับมนุษย์มัจฉา(Fish-men)ที่ได้รับมอบหมายจาก Ea คอยทำหน้าที่ดำน้ำลึกเพื่อแสวงหาทรัพยากรให้แก่เนฟิลิม และดินแดนที่ปวงเทพปักหลักตั้งอาณานิคมเพื่อแสวงหาทรัพยากรกันอย่างจริงจัง นั้น เรารู้จักกันในนามของอราลี - Arali - A place of the waters of shiny lodes...

ถ้านี่เป็นแผนการของเนฟิลิมในการตั้งรกรากบนโลกของเรา(ซึ่งเมื่อก่อนเป็นของ พวกเขา ^^)จริงๆแล้วล่ะก็ คุณคงเห็นด้วยกับผมว่ามันเป็นงานที่หืดขึ้นคออยู่ไม่น้อย คิดดูเอาเถอะครับ Anunnaki เพียงไม่กี่ร้อยคนกับงานเหมืองแร่ในทวีปอาฟริกา พวกเขาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำแบกรับภาระอันแสนหนักในการทำเหมือง ขุดแร่ธาตุ แปรรูป และลำเลียงมันกลับไปยังดาวแม่ด้วยความยากลำบาก เดินทางมาหรือก็แสนไกล แผ่นดินที่อาศัยอยู่ก็ไม่คุ้นเคย แถมยังต้องทำงานแบบไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ความรู้สึกของเนฟิลิม/อานันนาคีในตอนนั้นคงไม่ต่างจากความรู้สึกของคนงาน เหมืองถ่านหินในยุคบุกเบิกของอเมริกาเท่าไหร่หรอก

เอกสารภาษาบาบิโลเนียนและอัสสิเรียนในยุคหลัง กล่าวถึงมนุษย์ทั้งวัยเยาว์และวัยชราถูกส่งไปทำงานในเหมืองแร่ที่โลกล่าง (Lower world) พวกเขาทำงานอยู่ในความมืดและกินฝุ่นต่างข้าว ความลำบากเหล่านี้เองที่ทำให้บรรดาคนงานพากันล้มตายก่อนมีโอกาสได้กลับสู่ มาตุภูมิ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวสุเมเรียนเรียกดินแดนแห่งเหมืองแร่นั้นว่า KUR.NU.GI.A (Land of no return) ซึ่งจริงๆแล้วความหมายตามตัวอักษรของมันคือ "ที่ๆปวงเทพทำงาน, ขุดหาสินแร่ในอุโมงค์ลึก"

ในช่วงเวลาที่ปวงเทพตั้งรกรากอยู่บนโลกนั้น เอกสารโบราณเล่าว่ายังไม่มีมนุษย์คนใดดำรงอยู่บนโลกใบนี้ และนั่นหมายถึงภาระทั้งหลายต้องตกอยู่บนบ่าของเทพชั้นผู้น้อย เมื่อครั้งที่ Ishtar เดินทางไปเยือนโลกล่างนางได้พรรณนาอย่างเห็นใจเหล่า Anunnaki ผู้ทำงานหนัก กินอาหารที่เปื้อนโคลน ดื้มน้ำอันขุ่นข้นเพราะฝุ่นละออง

mining.jpg

ภาพโบราณแสดงการทำเหมืองแห่งปวงเทพที่โลกล่าง


จากพื้นความรู้ดังกล่าวนี้ เราจึงสามารถเข้าใจมหากาพย์ขนาดยาวที่ชื่อ "When the gods, like men, bore the work" หรือ "เมื่อพระเจ้าผู้ทำงานหนักเยี่ยงมนุษย์เกิดหน่ายงาน" มหากาพย์เรื่องนี้ยังได้เล่าสาเหตุอันนำไปสู่การจราจลของ Anunnaki เอาไว้ว่า

When the gods, like men,
bore the work and suffered the toil.
the toil of the gods was great,
the work was heavy,
the distress was much.


ในเวลานั้นนครแห่งปวงเทพทั้งเจ็ดแห่งถูกสถาปนาขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว มีการแบ่งสายบังคับบัญชาและแต่งตั้งผู้นำอย่างชัดเจน (ย้อนกลับไปอ่านเรื่องนครแห่งปวงเทพกันเอาเองนะครับ ^^) ผบ.ทั้งเจ็ดหรือ The Seven Great Anunnaki ต่างให้ปวงเทพชั้นผู้น้อยทำงานหนักเพื่อพวกเขา (พูดให้สวยงามกว่านั้นคือเพื่อดาวเคราะห์ดวงที่ 12) เทพชั้นผู้น้อยตรากตรำและสับสนเพราะงาน จนกระทั่งเมื่อเวลาล่วงเลยไปแสนนาน เหล่า Anunnaki ที่เหนื่อยยากจึงร่ำร้องขึ้นมาว่า "กูทนไม่ไหวแล้วโว๊ย!" (ต้นฉบับใช้คำว่า No more! น่ะครับ แหะ แหะ...)

โอกาสในการก่อจราจลมาถึงเมื่อ Enlil เสด็จมาดูกิจการที่โลกล่าง ปวงเทพชั้นผู้น้อยต่างกล่าวแก่กันและกันว่า จะบุกเข้าหาเทพ Enlil เขย่าขวัญพระองค์ด้วยเสียงเรียกร้องขอความเป็นธรรม หาก Enlil ไม่ทรงยอมรับฟัง การกบฏย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

...เอกสารโบราณกล่าวถึงผู้นำในการปลุกระดมสหภาพแรงงาน Anunnaki ว่าครั้งหนึ่งคนๆนั้นเคยเป็นผู้ปกครองแต่เก่าก่อน หมายถึงก่อนที่อำนาจการบัญชาการจะถูกเปลี่ยนมือไปยังเทพเจ้า Enlil แม้เอกสารจะไม่ระบุนามหัวโจกผู้ก่อม็อบรายนั้นแต่ผมว่าคุณคงเดาออกว่าเขา เป็นใคร เสียงปลุกปลอบขวัญ เสียงยั่วยุให้เทพชั้นผู้น้อยพากันก่อจราจลดังกึกก้องไปทั่วเหมืองลึก

Now proclaim war;
Let us combine hostilities and battle.


เอกสารโบราณเล่าสภาพของการก่อจราจลอย่างมีชีวิตชีวา ฝูงชนลุกฮือทำลายข้าวของในเหมืองจนหมดสิ้น อุปกรณ์อันมีค่าถูกเผาและทำลาย เหมืองถูกปิด กลุ่มอานันนาคีพากันตบเท้าเข้าพบเทพเอนลิลผู้นำสูงสุดของพวกเขา

nusku.jpg

นุสคูที่ปรึกษาของมหาเทพเอนลิล


ไม่ต้องบอกคุณก็เดาอารมณ์ของ Enlil ได้ใช่ไหมครับ? ความโกรธกริ้วที่บรรดาเทพชั้นผู้น้อยละทิ้งงานทำให้ Enlil คิดจะใช้กำลังเข้าปราบ แต่ที่ปรึกษานาม Nusku ได้แย้งขึ้นมาว่าไม่บังควรที่มหาเทพจะตัดสินพระทัยเช่นนั้น Nusku ออกหน้าเจรจากับกลุ่ม Anunnaki ที่ยืนอออยู่หน้าประตูใหญ่ เขาสงสัยว่าใครกันนะที่เป็นแกนนำของม็อบกลุ่มนี้ Nusku ได้ถามเทพชั้นผู้น้อยเหล่านั้นว่า "Who is the provoker of hostilities?" ซึ่งก็ได้รับคำตอบจาก Anunnaki เป็นเสียงเดียวกันว่า

Every single on of us gods has was declared!
We have our... in the excavations;
Excessive toil has killed us,
Our work was heavy, the distress much.


คำรายงานของ Nusku ทำเอา Enlil ต้องหลั่งน้ำพระเนตรด้วยความสงสาร แต่กฏก็ย่อมต้องเป็นกฏ ท้าวเธอทรงนำความไปปรึกษากับสภาเทพบนดาวเคราะห์ดวงที่ 12 เสนอแนะให้ลงทัณฑ์บรรดาผู้ร่วมชุมนุมแต่บิดรเทพ Anu กลับไม่ทรงเห็นด้วย พระองค์เข้าข้าง Anunnaki และสั่งให้เทพ Enlil ระงับความคิดที่จะใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหาเสีย เพราะประกาศิตของบิดรเทพนี้เอง Enki/Ea จึงรีบกล่าวคำสนับสนุนดำริของพระบิดารวมถึงเสนอทางแก้ในการแก้ปัญหา

...หากปวงเทพเหนื่อยยากที่จะต้องทำงานแล้วไซร้ ทำไมสภาเทพจึงไม่ทำการสร้างคนงานต้นแบบ เพื่อให้คนงานเหล่านี้ทำงานให้กับปวงเทพเจ้าเล่า?

While the Birth Goddess is present,
Let her create a Primitive worker;
Let him bear the yoke...
Let him carry the toil of the gods!


ข้อเสนอในการสร้างคนงานต้นแบบได้รับการสนับสนุนจากสภาเทพอย่างรวดเร็ว ที่ประชุมมีมติให้เทวีแห่งการกำเนิดร่วมมือกับ Ea ในการพัฒนาโปรเจ็คเจโนวา เอ๊ย... พัฒนาโครงการนี้ โดยคนงานต้นแบบนั้นถูกตั้งชื่อเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า "มนุษย์"

เหล่าเนฟิลิมที่ตั้งรกรากอยู่บนโลก ได้สร้างแรงงานเพื่อรับภาระแทนพวกเขาเหมือนที่มนุษย์เคยใช้แรงงานจากทาส(อัน เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน) ทาสของเนฟิลิมมิได้มาจากการล่าเมืองขึ้นหรือซื้อหาเอาจากอาณาจักรอื่น แต่เป็นผลงานที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีด้านพันธุวิศวกรรมของเนฟิลิ มนั่นเอง

Evolution or Creation?

ข้อวินิจฉัยของชาวสุเมเรียนที่ว่ามนุษย์เป็นผลงานการสร้างของเนฟิลิมนั้น หากเสนอออกสู่สายตามหาชนก็คงไปปะทะเข้ากับแนวคิดดั้งเดิมที่มีอยู่สองแบบล่ะครับ แนวคิดแรกคือทฤษฎีวิวัฒนาการตามแบบของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ส่วนแนวคิดที่สองเป็นความเชื่อตามพระคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าพระเจ้าทรงปั้นแต่งมนุษย์ขึ้นมาจากฝุ่นธุลี (ในความเป็นจริงคุณก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เนื้อหาในไบเบิลส่วนมากรับมาจากอารยธรรมสุเมเรียน) ทั้งสองแนวคิดนี้มีการปะทะคัดง้างกันมานานแสนนาน โดยอ้างว่าแนวคิดของตรูนี่แหละว๊อยที่เป็นฝ่ายถูก

เอกสารโบราณของสุเมเรียนคือหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า ทั้งทฤษฎีวิวัฒนาการและไบเบิลเป็นฝ่ายถูกทั้งคู่ ไม่มีใครผิดเลย

โดยลิขิตสุเมเรียนยืนยันว่าเมื่อแรกที่เนฟิลิมเดินทางมายังโลกของเรา ศิลปะแห่งการปลูกพืช การปลูกผลไม้ และการเลี้ยงสัตว์ยังไม่ปรากฏอยู่บนโลก ส่วนในไบเบิลนั้นเล่าว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นในวันที่หกหรือช่วงที่หกของกระบวนการวิวัฒนาการ (และก็เป็นที่มาของชื่อหนัง The Sixth day)
เหตุผลในการสร้างมนุษย์ของเนฟิลิมนั้นมาจากการขาดแคลนแรงงานครับ ปวงเทพต้องการให้มนุษย์มาแบกแอกแห่งความเหนื่อยยากแทนพวกเขา เรื่องราวอันชัดเจนถูกกล่าวอ้างโดยเทพ Marduk ใน The Epic of Creation ดังนี้


I will produce a lowly Primitive;
Man shall be his name.
I will create a Primitive worker;
He will be charged with service of the gods,
That they might have their ease.



คำที่ชาวสุเมเรียนและอัคเคเดียนใช้เรียกมนุษย์นั้น ฟ้องสถานภาพของมนุษย์อยู่แล้วว่าเป็นต้นแบบ(Lulu) หรือ คนงานต้นแบบ(Lulu Amelu - Primitive Worker) หรือแรงงาน(Awelum) สำหรับในไบเบิลเองนั้นต้นฉบับถูกคนรุ่นหลังแปลออกมาโดยไม่สะกิดใจเลยครับว่า ความหมายของเนื้อความดั้งเดิมนั้นแท้ที่จริงต้องการบอกเล่าอะไรแก่เรา ถ้อยคำหลายต่อหลายคำที่มีความหมายชัดเจนถูกตีความออกมาเป็น worship - การบูชา ซึ่งจริงๆแล้วความหมายของมันควรจะเป็น Avod - งาน

...เพราะมนุษย์โบราณของสุเมเรียน(และไบเบิล)ไม่ได้บูชาพระเจ้า พวกเขาทำงานให้กับพระเจ้าต่างหาก!





Darwin-987.jpg

ชาร์ลส์ ดาร์วิน กับภาพล้อของเขาสำหรับผู้ที่รับไม่ได้กับแนวคิดที่ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง




จากเอกสารสุเมเรียนโบราณ การตัดสินใจสร้างมนุษย์เป็นผลจากการประชุมของสภาเทพ แต่เนื้อความที่ซ่อนนัยของการนี้เอาไว้กลับอยู่ในบทเยเนซิสของไบเบิล เนื่องจากไบเบิลใช้คำแทนพระเจ้าว่า Elohim(แปลว่าผู้มาจากเบื้องบน) คำๆนี้เป็นพหูพจน์ของคำว่า Eloha ซึ่งพิจแล้วคุณจะเห็นว่ามันน่าแปลกใจหยอกอยู่เสียเมื่อไหร่...
...พระเจ้าของชาวยิวโบราณมีเพียงหนึ่งเดียว พระเจ้าองค์เดียว การใช้พหูพจน์กับพระเจ้าคุณว่ามันไม่แปลกไปหน่อยหรือครับ? เพราะ Elohim = Gods (ไม่ใช่ God อย่างที่ควรจะเป็น) โดยเฉพาะเงื่อนงำที่น่าสงสัยจากประโยคอมตะในไบเบิลที่พวกเราคุ้นเคยกัน


And Elohim said:
"Let us make Man in our image,
after our likeness."



ใครที่เรา(Us)ตามที่ไบเบิลกล่าวถึงกันครับ? พระเจ้าที่ทรงมีหนึ่งเดียวกำลังตรัสกับใครและทำไมต้องเป็น"เรา" ภาคเยเนซิสของไบเบิลไม่ได้ให้คำตอบอะไรเอาไว้เลย ตรงข้ามกับยิ่งเพิ่มปริศนาเข้าไปอีกเมื่ออาดัมและอีฟกินผลไม้แห่งความรู้เข้าไป พระเจ้าทรงตรัสโดยใช้คำว่าเราอีกครั้งกับใครบางคน(โดยใช้พหูพจน์)ว่า
"ดูเอาเถิด, มนุษย์กลายเป็นอย่างพวกเราแล้ว, พวกเขารู้จักความดีและความชั่ว"


ทีนี้มาถึงข้อสันนิษฐานแล้ว เนื่องจากเรื่องราวการสร้างมนุษย์ในพระคัมภีร์นั้นคัดลอกมาจากงานเขียนโบราณ ของชาวสุเมเรียน เป็นไปได้ไหมที่อนุชนรุ่นหลังได้รวมปวงเทพทั้งหลายกลายเป็นพระเจ้าที่มี เพียงหนึ่งเดียว เรื่องราวในพระคัมภีร์จึงเปรียบเหมือนการเรียบเรียงงานเขียนโบราณของสุเม เรียน ที่รายงานผลการพิจารณาประเด็นต่างๆในสภาเทพ

พระคัมภีร์ฉบับ Old Testament ระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่ามนุษย์ไม่ใช่พระเจ้าและไม่ได้มาจากสวรรค์ เพราะสวรรค์นั้นเป็นของพระเจ้าโลกต่างหากครับที่เป็นสถานที่ที่พระเจ้า ประทานให้กับมนุษย์อย่างแท้จริง - สิ่งมีชีวิตใหม่บนโลกที่พระเจ้าสร้างทรงสร้างขึ้นมีนามว่า Adam เพราะเขาถูกสร้างขึ้นจากธุลีแห่งโลก(Adama) พูดง่ายๆก็คือ Adam เป็น Earthing - คนเดินดินนั่นเอง




ListaRealGenesis.jpg

นี่ไงล่ะครับ ต้นฉบับที่แท้จริงของพระคัมภีร์บทปฐมกาล หรือ The Book of Genesis ในไบเบิล



หากตัดประเด็นเรื่องผลไม้แห่งความรู้และอายุขัยที่ได้รับการประทานจากสวรรค์ แล้ว ก็นับได้ว่าอาดัมถูกสร้างขึ้นมาจา***ปลักษณ์(selem - image) และความเหมือน(likeness - dmut) ของพระเจ้า(ที่เป็นพหูพจน์) กล่าวคือเหมือนพระเจ้าทั้งในเชิงสรีระและความรู้สึกนึกคิด

แม้ว่าไบเบิลจะมีข้อห้ามในการสร้างรูปเคารพตามแบบศาสนาดั้งเดิมหรือเพ เกิน(Pagan) จนหลายคนเข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพระเจ้าของชาวฮีบรูว์(และคริสต์)ทรงมีลักษณะ เป็นอรูป แต่ Sitchin กลับมีความคิดเห็นเป็นตรงกันข้าม เพราะตลอดเนื้อหาของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่าไม่ว่าจะเป็นบทปฐมกาลหรือบท อื่นๆ พระเจ้าของชาวฮีบรูว์ทรงมีลักษณะอย่างมนุษย์ เคยเผชิญหน้า ประลองกำลังกับมนุษย์ด้วยมวยปล้ำ โอภาปราศัยเฉกเช่นคนปกติ พระเจ้ามีสรีระเช่น ศีรษะ นิ้วมือ บั้นเอวเยี่ยงมนุษย์เดินดิน มันหมายความว่ายังไงล่ะครับอีแบบนี้น่ะ?

#รายละเอียดอื่นๆโปรดอ่านเพิ่มเติมจากไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศซึ่งผมเรียบเรียงไว้เมื่อนานมาแล้ว(และยังไม่จบ จะมาขมวดปมตอนจบในดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ที่คุณกำลังอ่านอยู่นี่แหละ) คุณจะเข้าใจธรรมชาติของเอโลฮิม - พระเจ้าในไบเบิลฉบับพันธสัญญาเดิมมากขึ้นครับ

...อ่านจบคงเห็นชัดแล้วนะครับว่า พระเจ้ากับอัครสาวกในไบเบิลมีอารมณ์และพฤติกรรมเหมือนมนุษย์ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เนื่องจากมนุษย์ถูกสร้างมาให้เหมือนพระเจ้าผู้เป็นต้นแบบทุกประการอยู่แล้ว
แต่เรื่องราวที่ง่ายดายตามคำบอกเล่าของเอกสารโบราณเหล่านี้ กลับนำไปสู่ปริศนาที่มนุษย์ปัจจุบันอย่างพวกเราพากันกังขาเป็นอย่างมาก กล่าวคืออาดัม - สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่นี้ถูกสร้างให้จำลองแบบทั้งสรีระ จิตใจ อารมณ์ของเนฟิลิมได้อย่างไรกันแน่ กล่าวให้เข้าใจง่ายกว่านี้ก็คือ

พวกเขาสร้างมนุษย์อีท่าไหนกันแน่?

สิ่งที่ท่านเอ่ยนามออกมา มันมีอยู่แล้ว

ผมคงไม่ต้องสาธยายให้มากความว่า ในสมัยก่อนนั้นซีกโลกตะวันตกโดยเฉพาะชาวยุโรปมีความเชื่อเกี่ยวกับการกำเนิด มนุษย์ว่าอย่างไร แต่มีบางเหตุการณ์ที่น่าสนใจซึ่งจุดเริ่มของเรื่องอยู่ในปี ค.ศ. 1957 เมื่อนักธรรมชาติวิทยานาม Charles Darwin ตีพิมพ์หนังสือของเขาที่ชื่อ "On the Origin of Species by Means of Natural Selection." หรือ "Preservation of Favoure Races in the Struggled for Life." ขึ้น

หนังสือนามอุโฆษเล่มนี้เป็นบทสรุปการวิจัยที่ยาวนานของดาร์วิน โดยสนับสนุนแนวคิดเกี่ยวกับการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะในแง่ของการ ดิ้นรนเอาตัวรอด และท้ายที่สุดธรรมชาติจะเป็นคนดำเนินการกระบวนการคัดสรรนั้น รางวัลอันได้แก่การรอดชีวิตจะตกอยู่แก่สปีชีส์ที่เข้มแข็งปรับตัวได้ จะเห็นได้ว่าแนวคิดนี้คัดง้างกับความเชื่อทางคริสตศาสนาแบบเต็มๆเลยครับ ซึ่งในความเป็นจริงคริสตศาสนิกชนก็ได้ต่อสู้กับแนวคิดของพวกนักวิทยาศาสตร์ นอกรีตมาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนหน้าของดาร์วินตั้งนานแน่ะ เช่นในปีค.ศ. 1788 นักธรณีวิทยากลุ่มหนึ่งได้ออกมาแถลงความเชื่อของพวกเขาว่า โลกมีอายุเก่าแก่กว่า 5,500 ปีตามที่อ้างในปฏิทินของชาวฮีบรูว์มากนัก แม้กระทั่งแนวคิดในการวิวัฒน์ของสิ่งมีชีวิตเองนั้น นักวิชาการเมื่อครั้งกระโน้นก็ได้สังเกตศึกษามานานแล้ว เป็นต้นว่านักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกที่รู้จักการบันทึกรวบรวมข้อมูลการพัฒนาของ พืชและสัตว์ ซึ่งการศึกษาแขนงนี้สามารถย้อนกลับไปไกลถึงช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาลนู่นเลยครับ



evolut1.gif

พัฒนาการของมนุษยชาติตามทฤษฎีวิวัฒนาการปัจจุบัน


ดาร์วินจึงเปรียบเหมือนมือระเบิดผู้หย่อนบอมบ์ลงกลางวงโต้เถียง แนวคิดของเขาสร้างความฮือฮาไปทั่วทุกวงการ(ในสมัยนั้น) เพราะมันเป็นการสรุปออกมาอย่างไม่อิดออดเลยว่า แท้ที่จริงนั้นมนุษย์ สัตว์ พืช สิ่งมีชีวิตทั้งปวงล้วนเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองแห่งวิวัฒนาการ หาได้เกิดจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างที่คนในสมัยนั้นเชื่อกันไม่

ปฏิกิริยาจากมหาชนรุนแรงและเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เพราะข้อเขียนของดาร์วินเป็นการท้าทายพระเจ้าอย่างที่สุด แต่เมื่อจำเนียรกาลผ่านไปฝ่ายต่อต้านดาร์วินก็ดูจะเพลาความเกรี้ยวกราดลง เนื่องจากผลของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ การวิจัยทางชีววิทยาล้วนสรุปออกมาว่าความจริงมันต้องเป็นอย่างนั้น แต่เหตุผลหลักที่ทำให้ศาสนจักรต้องหุบปากเงียบไปคือข้อเขียนที่อยู่ในพระ คัมภีร์ซึ่งพวกเขายึดเป็นสรณะนั่นแหละครับ เนื่องจากไบเบิลระบุไว้ในทำนองว่า พระเจ้าคือผู้ทรงเอกานุภาพและไร้รูปลักษณ์ ถ้าพระองค์เป็นอย่างนั้นจริงๆพระองค์จะสร้างมนุษย์ขึ้นตามรูปลักษณ์และความ เหมือนของพระองค์ได้อย่างไรกัน?

แต่ข้างนักวิทยาศาสตร์เองก็ตีปีกดีใจได้ไม่นานเมื่อพบว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการสามารถใช้ได้กับการอธิบายปรากฏการณ์อย่างกว้างๆเท่านั้น มันใช้ไม่ได้เอาเสียเลยเมื่อต้องนำมาอธิบายเรื่องการอุบัติขึ้นบนโลก ของมนุษยชาติหรือ โฮโม เซเปี้ยน เพราะตามทฤษฎีแล้วควรจะใช้เวลาในการวิวัฒน์จากโฮโม อิเร็กตัสมา เป็น โฮโม เซเปี้ยน แต่นี่อะไรครับ มนุษย์โบราณพัฒนามาเป็นมนุษยชาติอย่างปุบปับราวกับมันเกิดขึ้นด้วยเวลาเพียง ชั่วข้ามคืน ทั้งที่ควรจะใช้เวลาล้านถึงสองล้านปีกว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ได้ ประการสำคัญกว่านั้นได้แก่ การที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถขุดพบห่วงโซ่ที่หายไปจากกระบวนการ วิวัฒนาการของมนุษย์ เราจึงอาจพูดได้ว่า ยังไม่มีหลักฐานหรือคำอธิบายใดๆที่สามารถไขปริศนาการกำเนิดมนุษย์ยุคใหม่ อย่างโฮโม เซเปี้ยนได้กระจ่างแจ้ง

...แต่สาวกพระเจ้าจากอวกาศกลุ่มหนึ่งมีข้อสันนิษฐานที่ฟังดูเข้าเค้า ถ้าคุณจะลองเปิดใจรับฟัง 

หลักฐานในจารึกสุเมเรียนและบาบิโลเนียน หรือแม้กระทั่งพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเก่าบอกกับเราว่า พระเจ้านั่นแหละที่ทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์ เพียงแต่พระเจ้าไม่ได้ทรงเอกานุภาพหรือมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ได้เป็นเพียงพระเจ้าแต่ในมโนสำนึกของมนุษย์ แต่เป็นพระเจ้าผู้เดินทางมาจากห้วงอวกาศอันแสนไกลเพื่อมาตั้งอาณานิคมบนแพ ลเน็ตดวงนี้


เนื่องจากพระเจ้าที่ว่ามานั้นไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ ไม่มีอภินิหารที่จะนิรมิตมนุษย์ขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้ พระเจ้าหรือเนฟิลิมตามคำเรียกขานในพระคัมภีร์จึงสร้างมนุษย์ สัตว์ในตระกูลโฮโมที่เรียกว่าลิงเปลือย(เพราะไม่มีขนรุงรังปกคลุมเหมือนลิง อื่นๆ)ขึ้นมาเอง Adam ในพระคัมภีร์ซึ่งถือเป็นมนุษยชาติคนแรกไม่ใช่สัตว์โลกแท้ๆ เพราะเนฟิลิมเป็นคนสร้างเขาขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีดึกดำบรรพ์
กุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจข้อเท็จจริงอันน่าตื่นตะลึงนี้อยู่ที่ Enki ครับ เมื่อพระองค์ตัดสินใจที่จะสร้าง Adamu ตามมติของสภาเทพ ที่ประชุมต่างพากันยิงคำถามต่อ Enki ว่าต้องทำอย่างไรให้โครงการสำเร็จ เทพแห่งปัญญาองค์นี้ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า

"The Creature whose name you uttered - 
It EXISTS!"
"...สิ่งมีชีวิตที่พวกท่านเอ่ยนามมา มันมีอยู่แล้ว!"


และ Enki ได้นำรูปลักษณ์(image) ของปวงเทพไปผูกติดกับสิ่งมีชีวิตนั้น เพื่อให้ได้สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่ามนุษยชาติขึ้นมา นี่แหละครับคือคำตอบที่ว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์มาจากความว่างเปล่า แต่สร้างขึ้นจากสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่แล้วบนโลกใบนี้ด้วยการเอา image (ในไบเบิลใช้คำว่าฉายา) ของพระเจ้าไปผูกติดเข้า


homo-eructus_a1.jpg


Zecharia Sitchin เล่าถึงความน่าสนใจในเอกสารโบราณโดยให้ข้อสันนิษฐานว่า เมื่อประมาณ 435,000 ปีก่อน เนฟิลิมศึกษาระบบนิเวศของโลกเราควบคู่ไปกับการตั้งอาณานิคม พวกเขาจับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาทำการวิจัย และก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะสนใจสายพันธุ์ดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ที่อยู่ในรูปลิง เอป
...มีภาพลูกกลิ้งจำนวนมากของตะวันออกกลาง แสดงให้เห็นภาพของลิงเอปที่มีขนรุงรังพำนักอาศัยปะปนอยู่กับสัตว์ป่าอื่นๆ

เมื่อขาดแคลนแรงงาน เนฟิลิมจึงต้องอาศัยแรงงานทดแทนในทำนองเดียวกับที่มนุษย์เลี้ยงลาหรือม้าไว้ ใช้งาน ความเร่งด่วนในการแก้ปัญหานี้ทำให้เนฟิลิมต้องไตร่ตรองเพื่อหาตัวเลือกที่ เหมาะสม ทว่า การจับสัตว์ป่านั้นง่ายครับ แต่ไม่ใช่การจับโฮโม อิเร็กตัสแน่ๆ เพราะมนุษย์ดึกดำบรรพ์เหล่านั้นฉลาดเกินกว่าจะล่อจับด้วยวิธีง่ายๆ พวกเขาไม่มีสมองที่เจริญพอที่จะสอนให้ใช้เครื่องมือของเนฟิลิม เลี้ยงไว้เหมือนสัตว์เชื่องๆก็ไม่ได้ การสื่อสารที่ซับซ้อนเพื่อออกคำสั่งไม่มีผลใดๆกับสัตว์โลกสปีชีส์นี้ เนฟิลิมมองปัญหาที่ต้องได้รับการแก้โดยเร็ว เป็นต้นว่า มือของพวกนั้นต้องสามารถหยิบจับอุปกรณ์ได้ ต้องเดินตัวตรง มีสมองดีกว่าที่เป็นอยู่เพื่อรับฟังคำสั่งจากเนฟิลิม สรุปคือโฮโม อิเร็กตัสต้องได้รับการปรับปรุงอีกเยอะมากกว่าจะกลายเป็น Amelu - ข้าทาสที่มีประโยชน์ได้

...แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะครับ เพราะถ้ารอให้โฮโม อิเร็กตัสเจริญขึ้นตามกระบวนการวิวัฒนาการมีหวังรอกันจนเนฟิลิมสูญพันธุ์กัน ไปก่อน จะจับมาให้ทำงานทั้งอย่างนั้นคนที่ปวดหัวคงหนีไม่พ้นปวงเทพเนฟิลิมเอง เราไม่มีวันเข้าใจขั้นตอนการแก้ปัญหาของหัวหน้าโครงการอย่าง Enki จนกระทั่งเมื่อวิทยาการแขนงหนึ่งได้อุบัติขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เราจึงอาศัยวิทยาการแขนงนั้นมาทำความเข้าใจขั้นตอนที่เนฟิลิมใช้แก้โจทย์ของ วิวัฒนาการ

Ea/Enki แก้ปัญหาด้วยการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมครับ

พันธุวิศวกรรมยุคโบราณ

จากการที่เนฟิลิมสามารถท่องอวกาศจนมายังโลกได้ตั้งแต่ 450,000 ปีที่ผ่านมา ทำให้เราสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาน่าจะมีความเจริญทางเทคโนโลยีมากกว่ามนุษย์ใน ปัจจุบัน ถ้าความสามารถด้านวิทยาศาสตร์การบินของเนฟิลิมเจริญถึงขั้นนั้นแล้วล่ะก็ เราคงสรุปกันได้ล่ะครับว่าความรู้แขนงวิชา Life Sciences ของพวกเขาคงก้าวหน้าไปไม่แพ้กัน พวกเขาน่าจะมีความรู้ในการเลือกโครโมโซมที่เหมาะสมจากสองเซ็ตและหลอมรวมมัน เข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ผลผลิตทางพันธุกรรมใหม่ที่ดีกว่า และอาจจะก้าวหน้าไปมากกว่าการทดลองเฉพาะแต่ในห้องแล็บกล่าวคือ พวกเขาสามารถทดลองกับสิ่งมีชีวิตเช่นพืชหรือสัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ จริงๆได้ด้วย

ในงานเขียนโบราณต่างๆ มีการอ้างถึงการผสมระหว่างสิ่งมีชีวิตสองชนิด โดยเฉพาะงานเขียนโบราณที่เป็นต้นฉบับสำคัญของดาวเคราะห์ดวงที่สิบสอง ได้กล่าวถึงงานเขียนของเบรอสซัสซึ่งอ้างถึง Belus (พระผู้เป็นเจ้า) ที่เรียกว่า Deus (พระเจ้า - - หากคุณเล่น Xenogears คุณคงจำได้) ซึ่งสร้างสิ่งมีชีวิตอันน่าขนพองขึ้นด้วยการผสมสิ่งมีชีวิตสองชนิดเข้าด้วยกัน
นอกจากนั้นยังมีบันทึกอีกมากมายที่กล่าวถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตพันธุ์ผสมที่มีรูปลักษณ์กึ่งสัตว์กึ่งมนุษย์ ในวิหารของเทพ Belus ในกรุงบาบิโลน


man-evolution_a2.jpg


เป็นไปได้ไหมครับว่าบันทึกอันน่าพิศวงนี้มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเนฟิลิมแอบ แฝงอยู่ ก่อนที่ปวงเทพจะสร้างสิ่งมีชีวิตตาม image และ likeness ของพวกเขานั้นพวกเขาได้พยายามสร้างทาสประดิษฐ์ (Manufactured servant) ขึ้นก่อน ด้วยการทดลองผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างโฮโมอิเร็กตัสกับยีนพันธุกรรมของสัตว์ ประเภทอื่นที่มีอยู่บนโลก ชีวประดิษฐ์เหล่านี้อาจมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่ยืนยาวและไม่อาจสืบพันธุ์ได้ ภาพเขียนสัตว์กึ่งมนุษย์ในวิหารบางแห่งของตะวันออกกลาง อาจมิได้เป็นเพียงจินตนาการของศิลปินผู้รังสรรค์ แต่เป็นหลักฐานที่หลงเหลือจากการปฏิบัติการทางพันธุกรรมของเนฟิลิมก็เป็นได้

จารึกสุเมเรียนก็เช่นกันครับ ต่างเล่าถึงความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าในการสร้างคนงานต้นแบบของเทพ Enki และเทพมารดร Ninhursag ผลงานในช่วงแรกเต็มไปด้วยความบกพร่องเป็นต้นว่า ร่างมนุษย์ที่สร้างขึ้นไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ บางร่างไม่มีอวัยวะเพศ บางร่างองคาพยบทุกส่วนสมบูรณ์แบบแต่กลับไร้ความสามารถในการสืบพันธุ์ เป็นต้น

... Enki รู้สึกท้อแท้กับการทดลอง แต่ด้วยสปิริตในฐานะนักวิทยาศาสตร์(หรืออีกนัยหนึ่งเทพแห่งปัญญา) พระองค์จึงทรงทดลองต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

จนกระทั่งในที่สุดมนุษย์ทดลองร่างที่สมบูรณ์แบบก็ได้เกิดขึ้น Enki ทรงเรียกมนุษย์นั้นว่าคนหัวดำ - Adapa ส่วนในไบเบิลเรียกว่า Adam (พวกเรารู้จักมนุษย์สปีชีส์นี้ในนามของโฮโม เซเปี้ยน) Adam มีลักษณะคล้ายปวงเทพมากเสียจนจารึกชิ้นหนึ่งกล่าวชี้แจงว่า เทพมารดรได้มอบผิวหนังของเทพเจ้าให้กับมนุษย์ต้นแบบนั้น มันดูเกลี้ยงเกลาไร้ขนรุงรังต่างจากมนุษย์วานรในสมัยนั้นมาก

กล่าวได้ว่าผลผลิตขั้นสุดท้ายเข้ากันมากกับลักษณะทางพันธุกรรมของปวงเทพ เหล่าเนฟิลิมสามารถสมสู่และมีบุตรกับหญิงสาวชาวมนุษย์ได้ แต่ความเข้ากันได้นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์นั้นกำเนิดจาก"เมล็ด พันธุ์แห่งชีวิต"เดียวกันเท่านั้น (ซึ่งจารึกโบราณก็ยืนยันเรื่องนี้กับเราอยู่แล้ว เนอะ ^^)

ในที่สุดอาดัมก็ได้ถือกำเนิด!

adam1.jpg


ตามข้อสรุปของเมโสโปเตเมียและไบเบิลนั้น มนุษย์คือผลผลิตจากส่วนผสมของเทพเจ้า(เราเดาว่าเป็นเลือดหรือสารบางอย่างที่ อยู่ในเลือด)กับดินเหนียวบนโลก (ตามที่เอกสารโบราณและตำนานที่เรารู้จักดีอ้างเอาไว้ - - พระเจ้าปั้นแต่งมนุษย์ขึ้นจากฝุ่นผงของพสุธา) ซึ่งคำว่า Lulu ที่ คนโบราณใช้เรียกมนุษย์นั้นนอกจากความหมายว่า"ต้นแบบ"ตามที่เราแปลกันแล้ว มันยังมีความหมายตามตัวอักษรว่า "ผู้ที่ถูกผสม" หรือ "ลูกผสม" ได้อีกด้วยครับ

...เมื่อมหามารดาถูกเรียกตัวมาให้กำเนิดมนุษย์ นางทรงชำระหัตถ์ - บิก้อนดินเหนียว - และผสมมันลงบนพื้นราบ ซึ่งก็น่าประหลาดใจเหมือนกันที่มหามารดาของเราเข้าใจหลักอนามัยคลินิก กล่าวคือนางล้างมืออย่างสะอาดหมดจดก่อนจะปฏิบัติการทางการแพทย์ของนาง เราจะพบว่าตำนานของชนชาติอื่นที่ว่าด้วยการกำเนิดมนุษย์นั้น พระเจ้าล้วนแล้วแต่ล้างมือก่อนเสมอ ^^

...เมื่อโลหิตแห่งเทพกับดินเหนียวผสมกันได้ที่แล้ว การตั้งครรภ์จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการประทับตราแห่งสวรรค์ลงบน Lulu

The new born's fate thou shalt pronounce;
Ninki will fix upon in the image of the Gods;
And what it will be is "Man."


ขั้นตอนในการสร้าง Lulu นั้นยุ่งยากมากครับ เนื้อหาในเอกสารโบราณเต็มไปด้วยการเล่นคำและแฝงนัยให้ตีความ เป็นต้นว่าเรื่องของนางผดุงครรภ์ผู้ทำหน้าที่ช่วยเหลือมหามารดา หรือคำว่าวิญญาณ (Nephesh) ที่เทพเจ้าประทับลงบนตัวมนุษย์ คำๆนี้ดูเป็นนามธรรมเกินไปเมื่อเทียบกับความหมายดั้งเดิมซึ่งหมายถึงเลือด เลือดฟังดูตรงไปตรงมาและเข้าเค้ากับพันธุวิศวกรรมของเรามากกว่า จริงไหมครับ?

แม้กระทั่งคำเรียกขาน Adam - Adapa ว่าเป็นเสมือนบุตรของ Enki เองก็เป็นคำที่มีปัญหา นักวิชาการเดิมเชื่อว่าคำเรียกขานนี้เป็นเพียงนัยเปรียบว่า Enki ทรงรักมนุษย์เยี่ยงบุตรของพระองค์ ฟังดูก็มีเหตุผล แต่จารึกชิ้นเดียวกันนั่นแหละที่อ้างวาจาของบิดรเทพ Anu ผู้กล่าวถึงมนุษย์ในฐานะ "วงศ์วานแห่ง Enki" คำอธิบายเรื่องนี้อยู่ที่เมื่อครั้ง Enki ทรงง่วนอยู่กับการทดลองนั้น ชายาของพระองค์คือ Ninki ได้เข้ามาช่วยเหลือสวามีอย่างใกล้ชิดในการสร้างโมเดลของ New Adam ทั้งสองอุทิศทุกอย่างให้กับการทดลองตามประสานักวิทยาศาสตร์ในอุดมคติ และ Ninki ยอมทำถึงขั้นมีความสัมพันธ์กับ Adapa จนตั้งครรภ์ขึ้น! เอกสารโบราณกล่าวต่อไปว่านางนำทารกแรกเกิดไปถวายแด่ Enki

...ฟังแล้วเหมือนการทดลองอันบ้าคลั่งของดร.โฮโจและลูเครเซียจนให้กำเนิดเซฟิรอธใน Final Fantasy VII ไหมครับ?

man_creation_05.jpg


เมื่อ Adapa / Adam ถูกตรวจสอบแล้วว่าเป็นแม่พิมพ์ที่เหมาะสม เขาถูกวางอยู่ในฐานะ Generic Model สำหรับทำสำเนามนุษย์อื่นๆขึ้น นี่คือหลักฐานของการโคลนนิ่งในยุคโบราณที่ชัดเจนที่สุด โคลนของอาดัมนั้นไม่จำเป็นจะต้องเหมือนต้นแบบเสมอไป เพราะเอกสารโบราณระบุว่ามีทั้งชายและหญิง เรื่องน่าสนใจประการหนึ่งถูกกล่าวถึงในไบเบิลครับ การกำเนิด Eve ที่เรารู้กันมาว่าพระยะโฮวาสร้างนางขึ้นจากซี่โครงของอาดัม

...บังเอิญว่าต้นฉบับของบทปฐมกาลในไบเบิลมาจากภาษาสุเมเรียน คำว่าซี่โครง(rib)ถูกเขียนด้วยคำว่า TI อันมีความหมายอยู่สองอย่างคือซี่โครงและชีวิต
...ดังนั้น เรื่องราวที่แท้จริงในเยเนซิสน่าจะเป็น Eve ถูกสร้างขึ้นจาก TI-ชีวิตของอาดัมไม่ใช่จาก TI-ซี่โครง (life not rib, correct?)

แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันที่อีฟจะถูกสร้างขึ้นจากสารประกอบบางประเภทซึ่งมา จากไขกระดูกของอาดัม เราไม่ได้เป็นพยานร่วมเหตุการณ์ หลักฐานที่เหลืออยู่ก็กล่าวไม่ชัดเจน สุดท้ายเราก็ได้แต่คาดคะเนเรื่องไปตามบริบทที่ปรากฏอยู่เท่านั้น จริงไหมครับ

ที่มา : http://www.mythland.org/v3/forum-12-1.html













 




1 ความคิดเห็น: