วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

จานบินจิ๋วหมู่บ้านคีร่า

เด็กชาย 5 คนโอบล้อมต้อนสิ่งบินลึกลับกลางทุ่งนา มันมีรูปร่างเหมือนที่เขี่ยบุหรี่แต่มีโดมสวมอยู่ด้าน
บน โครงสร้างภายนอกเป็นโลหะมันวาวแต่มีน้ำหนักเบา ภายในประกอบไปด้วยเครื่องยนต์กลไก
และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน
การพบจานบินครั้งนี้แตกต่างจากเรื่องที่เคยได้เห็นได้ยินทั่วๆไป เนื่องจากสามารถถ่ายภาพในระยะใกล้

ได้อย่างคมชัดมองเห็นรายละเอียด และยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาสามารถยึดจานบินไว้ในครอบครองได้
สำเร็จ
เผชิญหน้าระยะกระชั้นชิด
บ่ายวันที่ 25 สิงหาคม 1972 มิชิโอะ เซโอะ เด็กชายวัย 13 ปี กลับจากโรงเรียนเดินทางผ่านทุ่งนาในหมู่

บ้านคีร่า อำเภอโคชิ จังหวัดโคชิ บนเกาะชิโกกุ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างทางนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นวัตถุ
มันวาวรูปร่างประหลาดลอยอยู่เหนือ ทุ่งนา
มิชิโอะพยายามควบคุมสติไม่ให้ตื่นตกใจ เขาเฝ้ามองวัตถุบินลึกลับบินวนไปวนมาอยู่เหนือเศษข้าว

เปลือกที่ลอยอยู่ใน แอ่งน้ำ หลังจากพิจารณาอยู่พักใหญ่ก็พบว่ามันมีรูปร่างเหมือนหมวกทรงสูงที่มียอด
บน กลมมน ปลายส่วนล่างบานออกเป็นรูปวงกลมมีขอบบาง ลักษณะการบินสามารถเลี้ยวหักข้อศอก
ได้ทันทีเหมือนกับค้างคาว
เมื่อรวบรวมความกล้าได้แล้ว มิชิโอะก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาวัตถุบินได้ลึกลับ แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้กับมัน 

เจ้าสิ่งนั้นก็ปล่อยลำแสงสว่างจ้าสวนกลับมาทำไมมิชิโอะตกใจสุดขีดและหันหลัง กลับวิ่งหนีแทบไม่
คิดชีวิต

พาพวกลุย
ทันทีที่กลับมาถึงหมู่บ้าน มิชิโอะก็ตามตัวพรรคพวกประกอบไปด้วย ฮิโรชิ โมริ ยาซูโอะ ฟูจิโมโต 

คาทซึโอกะ โคจิม่า และยูจิ ซึ่งเพื่อนคนสุดท้ายนี้จำนามสกุลไม่ได้ มิชิโอะเล่าสิ่งที่พบเห็นกลาง
ทุ่งนามาหมาดๆให้เพื่อนๆฟัง และวางแผนช่วยกันออกค้นหาวัตถุประหลาด
ราวเวลา 19.00 น. เด็กชายทั้ง 5 คนก็กระจายกันหาจุดสังเกตการณ์กลางทุ่งนา 

รอคอยการปรากฏตัวของวัตถุบินลึกลับ เพียงไม่ถึงชั่วโมงผ่านไป วัตถุบินลึกลับก็ปรากฏ
ตัวขึ้นอีกครั้งตามความคาดหมาย มันลอยตัวเหนือต้นข้าวอยู่ห่างจากพวกเขาไปเพียง 20 เมตรเท่านั้น
พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ความมืดค่อยๆคืบคลานเข้ามา วัตถุบินลึกลับก็เริ่มเปล่งแสงกะพริบหลาก

หลายสีสัน เด็กคนที่อยู่หน้าสุดออกวิ่งเข้าหาวัตถุบินลึกลับโดยทันที แต่ทันใดนั้นเองเจ้าวัตถุบินลึกลับ
ก็เปล่งเสียงดัง “ปัง” และปล่อยลำแสงสีน้ำเงินเข้าหาพวกเด็กๆ ทำให้พวกเขาหยุดชะงักและหันหลัง
วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง

พยายามจนสำเร็จ
เด็กๆทั้ง 5 คนเฝ้าวนเวียนอยู่ในทุ่งนาวันแล้ววันเล่าเพื่อรอคอยการปรากฏตัวของวัตถุบิน ลึกลับอีกครั้ง

จนกระทั่งเวลา 21.30 น. วันที่ 4 กันยายน พวกเขาก็เห็นมันลอยตัวอยู่ในทุ่งนาสูงจากต้นข้าวราว 1 
เมตร เมื่อรู้ตัวว่าถูกเฝ้ามอง จานบินลำจิ๋วก็เคลื่อนตัวเข้าหาอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเด็กๆแตกกระเจิง
วิ่งหนีป่าราบกันอีกครั้ง
หลังจากรอดกลับถึงบ้านโดยปลอดภัย เด็กๆก็ล้อมวงวางแผนและตกลงกันว่าคราวหน้าควรจะนำ

กล้องถ่ายรูปติดตัวไปด้วย เพราะถ้าจับเจ้าจานบินมาไม่ได้อย่างน้อยก็ยังมีภาพถ่ายเป็นหลักฐาน
เย็นวันต่อมาเด็กๆก็ออกเฝ้าทุ่งนาพร้อมกล้องถ่ายภาพ หากแต่จานบินลึกลับไม่ยอมปรากฏกายให้เห็น

ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ละความพยายามยังคงออกเฝ้าทุ่งนาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น และคราวนี้พวกเขา
สมหวังยิ่งกว่าที่ได้คาดหมายเอาไว้
ค่ำวันที่ 6 กันยายน เด็กๆพบจานบินจิ๋วจอดอยู่บนพื้นกลางทุ่งนา พวกเขารีบยกกล้องขึ้นถ่ายภาพ

โดยทันที แสงแฟลชจากกล้องส่องสว่างทำให้จานบินรู้ตัวว่ามีคนอยู่ใกล้ มันรีบลอยตัวขึ้นสูงจาก
พื้นดินและตอบโต้ด้วยการเปล่งแสงที่สว่างยิ่งกว่าแสง แฟลช
อาจเป็นเพราะมันใช้พลังงานมากเกินไป ทำให้หลังจากที่เปล่งแสงสว่างออกมาจานบินก็ร่วงลง

สู่พื้นแต่มันยังคงหมุนควง สว่านประหนึ่งว่าพยายามแทรกแผ่นดินหนี ฮิโรชิรีบวิ่งไปตะครุบมันเอา
ไว้แล้วหยิบขึ้นมาจากพื้นดินให้เพื่อนๆถ่ายภาพ เป็นหลักฐาน ฮิโรชิกล่าวว่าขณะที่ถือจานบินจิ๋ว
อยู่ในมือนั้น เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายในจานบิน

จานบินล่องหน
ฮิโรชินำจานบินใส่ลงในถุงพลาสติกแล้วเก็บลงกระเป๋าเป้นำกลับมาบ้าน เด็กๆช่วยกันสำรวจจานบิน 

พบว่ามันมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว สูง 4 นิ้ว น้ำหนักราว 1 กิโลกรัม ด้านใต้ท้องของจานบินสลักเป็น
วงกลมซ้อนๆกันหลายชั้น ตรงกลางเป็นรูพรุนเล็กๆนับได้ 31 รู รอบๆรูพรุนแกะสลักภาพ 3 ภาพ
พวกเขาเดากันว่ามันเป็นภาพก้อนเมฆ นก และดอกไม้ตูม
หลังจากทำการวิเคราะห์เบื้องต้นแล้ว เด็กๆก็นำจานบินเก็บลงถุงพลาสติกแล้วตกลงกันว่าควรจะนำ

มันไปให้บิดาของยาซู โอะซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์ได้ตรวจดู
มัตซึโอะ บิดาของยาซูโอะ ทำความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เขาหยิบจานบินจิ๋วมาดูผ่านๆโดยไม่

ได้ให้ความสนใจอะไรเป็นพิเศษ เขาเพียงแค่จับมันพลิกคว่ำพลิกหงายแล้วบอกเพียงว่ามันทำจาก
โลหะแต่มีน้ำหนัก เบาไม่มีฝาเปิด เมื่อส่องดูภายในเห็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์คล้ายวงจรในเครื่องรับ
วิทยุ หลังจากนั้นก็ส่งคืนให้กับฮิโรชิ
นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่มัตซึโอะจะได้สัมผัสกับสิ่งประดิษฐ์ พิสดารที่ไม่มีอยู่บนโลก

เพราะมันได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยและไร้เหตุผล โดยไม่มีใครบอกได้ว่ามันหายไปได้อย่างไร

ไล่ล่าจานบินจิ๋ว
เด็กๆไม่ละความพยายามที่จะตามล่าจานบินกลับมา พวกเขาเปลี่ยนเวรผลัดกันวนเวียนสำรวจทุ่งนา 

ตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์พวกเขายังคงได้เห็นจานบินอีกราว 6 ครั้ง แต่ไม่สามารถจับมันมาได้
เด็กๆจับกลุ่มรวมหัววางแผนกันอีกครั้ง พวกเขาสังเกตว่าจานบินจะไม่ออกมาให้เห็นในวันที่ฝนตกและ

จะปรากฏกายเฉพาะวัน ที่ท้องฟ้าโปร่งเท่านั้น พวกเขาสรุปว่าจานบินจิ๋วลำนี้กลัวน้ำจึงทำการวางแผน
ใช้น้ำจับจานบิน
วันที่ 19 กันยายน เด็กๆเตรียมกระป๋องน้ำและผ้าขี้ริ้วมุ่งหน้าเข้าสู่ทุ่งนา พวกเขาพบจานบินจอดนิ่งอยู่

บนพื้นจึงใช้ผ้าขี้ริ้วคลุมมันเอาไว้แล้วรีบเทน้ำ ในกระป๋องใส่ผ้าขี้ริ้วอีกที จากนั้นก็จับจานบินพลิก
หงายท้องแล้วเทน้ำที่เหลือใส่ลงในรูพรุน
ทันทีที่น้ำไหลผ่านรูพรุนเข้าสู่ด้านในก็เกิดเสียงดังคล้ายเสียงจั๊กจั่น และมีแสงสว่างวาบขึ้น เด็กๆตกใจ

คิดว่าจานบินจิ๋วจะต่อสู้จึงโยนมันลงกับพื้นแล้วใช้ก้อนหินทับกัน ไม่ให้หนี แต่หลังจากที่เห็นว่าจานบิน
นิ่งไม่ไหวติง พวกเขาก็จับมันใส่ถุงนำกลับมาบ้านอีกครั้ง

แกร่งประดุจเพชร
เด็กๆพยายามหาทางเปิดฝาจานบินเพื่อดูว่าข้างในมีอะไร พวกเขาใช้สายไฟร้อยเข้าไปในรูพรุนเพื่อ

ดึงแยกส่วนที่คิดว่าเป็นฐานด้าน ล่างออกจากฝาครอบ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมขยับเขยื้อนแต่
อย่างใด เมื่อใช้ไฟส่องดูภายในก็เห็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน
หลังจากความพยายามดึงฝาครอบล้มเหลว เด็กๆก็เลยนำค้อนมาทุบจานบินอย่างแรง แต่มันก็ไม่ระคาย

ผิวเแม้จะเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดของจานบินก็ไม่มีรอยบุบส ลาย ด้วยความสงสัยว่าเจ้าจานบินจิ๋วนี้
จะทนทานแค่ไหน เด็กๆจึงตกลงจะทดสอบด้วยการนำไปใส่เตาอบ หากแต่มารดาของคาทซึโอกะ
ปรามไว้เสียก่อนไม่ให้เด็กๆเล่นซุกซนกับฟืนกับไฟ
เด็กๆจึงตกลงกันว่าจะเอาจานบินใส่ช่องแช่แข็งในตู้เย็นเพื่อกันมันหนีหาย ไปอีก แต่แม่ของคาท

ซึโอกะก็ไม่ยอมให้ใช้ตู้เย็นอีกเช่นกัน เด็กๆจึงใช้ผ้าขี้ริ้วห่อจานบินไว้ 2 ทบแล้วมอบให้มิชิโอะเป็นคน
ดูแล มิชิโอะนำมันไปเก็บในห้องนอนปิดประตูหน้าต่างอย่างดี แต่วันรุ่งขึ้นจานบินก็หายไปอย่างไร้ร่อง
รอยเหมือนกับคราวก่อน
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น คาทซึโอกะไปเล่นฟุตบอลที่บ้านฮิโรชิ ลูกบอลเกิดลอยโด่งข้ามรั้วหายไป 

พวกเขารีบวิ่งออกไปหาแต่กลับพบจานบินจิ๋วจอดนิ่งอยู่ในพงหญ้าจึงนำมันกลับมา ด้วยความสงสัยว่า
มันเป็นจานบินลำเดียวกับที่พบก่อนหน้าหรือเปล่า เด็กๆก็เลยใช้ปากกาทำเครื่องหมายเอาไว้ด้านบน
ของจานบิน หากมันหายตัว
ไปอีกและตามพบทีหลังจะได้รู้ว่ามันเป็นจานบินลำเดิม

ถ่วงน้ำกันหนี
เด็กๆลงความเห็นว่าจะนำจานบินไปอวดเพื่อนๆที่โรงเรียน โดยตกลงกันว่าให้นำจานบินใส่ถุงพลาสติก

แล้วเติมน้ำให้เต็ม มัดปากถุงให้แน่นหนาแล้วนำใส่ลงในถุงผ้าอีกชั้น จากนั้นก็นำใส่ตะกร้าหน้ารถจักรยาน
ผลัดกันเป็นคนดูแลเป็นระยะๆจนกว่าจะถึง โรงเรียน และเพื่อป้องกันความผิดพลาด จะใช้เชือกผูกถุงผ้า
โดยปลายเชือกอีกด้านผูกติดเอวคนดูแล
การเดินทางเป็นไปโดยเรียบร้อยจนกระทั่งถึงผลัดสุดท้าย คนดูแลรู้สึกว่าเชือกผูกเอวกระตุกจึงหยุดรถ 

ตะโกนเรียกเพื่อนๆให้มาช่วย เด็กๆเข้าล้อมรอบถุงผ้าแก้เชือกมัดปากถุง เปิดถุงผ้าออกแก้มัดปากถุง
พลาสติก มองลงไปดูข้างในพบแต่เพียงน้ำ ไม่มีร่องรอยของจานบินอยู่ในนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าจานบิน
หายไปได้อย่างไรโดยที่ปากถุงพลาสติกและถุงผ้ายังคงมัด แน่น
เรื่องราวทั้งหมดรู้กันแค่เพียงคนกลุ่มเล็กๆในหมู่บ้านห่างไกล จนกระทั่งมีคนเขียนการ์ตูนเล่าเรื่องราว

พิสดารพันลึกเรื่องนี้ในปี 2004 ทำให้สมาคมศึกษาเหตุการณ์ประหลาดในอวกาศแห่งประเทศญี่ปุ่น 
(Japan Space Phenomena Society) ลงมาสืบสวน
ปี 2007 JSPS ส่งคาซูโอะ ฮายาชิ ลงพื้นที่สืบหาความจริง เขาพบว่าพยานที่ยังมีชีวิตอยู่ให้การตรงกัน

และยังพบอีกด้วยว่า หลังจากเหตุการณ์ในหมู่บ้านคีร่า 4 ปี มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านอกาว่าพบ
จานบินจิ๋วเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่สรุปไม่ได้ก็คือมันมาจากที่ไหนและใครเป็นผู้สร้าง ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น
จะเป็นความจริงแค่ไหนก็ต้องรอผู้เชี่ยวชาญมายืนยันกัน อีกที

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 320 วันที่ 23 - 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 

หน้า 36 คอลัมน์ ร้ายสาระ โดย ศิลป์ อิศเรศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น