เด็กชาย 5
คนโอบล้อมต้อนสิ่งบินลึกลับกลางทุ่งนา
มันมีรูปร่างเหมือนที่เขี่ยบุหรี่แต่มีโดมสวมอยู่ด้าน บน โครงสร้างภายนอกเป็นโลหะมันวาวแต่มีน้ำหนักเบา ภายในประกอบไปด้วยเครื่องยนต์กลไก และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน การพบจานบินครั้งนี้แตกต่างจากเรื่องที่เคยได้เห็นได้ยินทั่วๆไป เนื่องจากสามารถถ่ายภาพในระยะใกล้ ได้อย่างคมชัดมองเห็นรายละเอียด และยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาสามารถยึดจานบินไว้ในครอบครองได้ สำเร็จ เผชิญหน้าระยะกระชั้นชิด บ่ายวันที่ 25 สิงหาคม 1972 มิชิโอะ เซโอะ เด็กชายวัย 13 ปี กลับจากโรงเรียนเดินทางผ่านทุ่งนาในหมู่ บ้านคีร่า อำเภอโคชิ จังหวัดโคชิ บนเกาะชิโกกุ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างทางนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นวัตถุ มันวาวรูปร่างประหลาดลอยอยู่เหนือ ทุ่งนา มิชิโอะพยายามควบคุมสติไม่ให้ตื่นตกใจ เขาเฝ้ามองวัตถุบินลึกลับบินวนไปวนมาอยู่เหนือเศษข้าว เปลือกที่ลอยอยู่ใน แอ่งน้ำ หลังจากพิจารณาอยู่พักใหญ่ก็พบว่ามันมีรูปร่างเหมือนหมวกทรงสูงที่มียอด บน กลมมน ปลายส่วนล่างบานออกเป็นรูปวงกลมมีขอบบาง ลักษณะการบินสามารถเลี้ยวหักข้อศอก ได้ทันทีเหมือนกับค้างคาว เมื่อรวบรวมความกล้าได้แล้ว มิชิโอะก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาวัตถุบินได้ลึกลับ แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้กับมัน เจ้าสิ่งนั้นก็ปล่อยลำแสงสว่างจ้าสวนกลับมาทำไมมิชิโอะตกใจสุดขีดและหันหลัง กลับวิ่งหนีแทบไม่ คิดชีวิต พาพวกลุย ทันทีที่กลับมาถึงหมู่บ้าน มิชิโอะก็ตามตัวพรรคพวกประกอบไปด้วย ฮิโรชิ โมริ ยาซูโอะ ฟูจิโมโต คาทซึโอกะ โคจิม่า และยูจิ ซึ่งเพื่อนคนสุดท้ายนี้จำนามสกุลไม่ได้ มิชิโอะเล่าสิ่งที่พบเห็นกลาง ทุ่งนามาหมาดๆให้เพื่อนๆฟัง และวางแผนช่วยกันออกค้นหาวัตถุประหลาด ราวเวลา 19.00 น. เด็กชายทั้ง 5 คนก็กระจายกันหาจุดสังเกตการณ์กลางทุ่งนา รอคอยการปรากฏตัวของวัตถุบินลึกลับ เพียงไม่ถึงชั่วโมงผ่านไป วัตถุบินลึกลับก็ปรากฏ ตัวขึ้นอีกครั้งตามความคาดหมาย มันลอยตัวเหนือต้นข้าวอยู่ห่างจากพวกเขาไปเพียง 20 เมตรเท่านั้น พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ความมืดค่อยๆคืบคลานเข้ามา วัตถุบินลึกลับก็เริ่มเปล่งแสงกะพริบหลาก หลายสีสัน เด็กคนที่อยู่หน้าสุดออกวิ่งเข้าหาวัตถุบินลึกลับโดยทันที แต่ทันใดนั้นเองเจ้าวัตถุบินลึกลับ ก็เปล่งเสียงดัง “ปัง” และปล่อยลำแสงสีน้ำเงินเข้าหาพวกเด็กๆ ทำให้พวกเขาหยุดชะงักและหันหลัง วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง พยายามจนสำเร็จ เด็กๆทั้ง 5 คนเฝ้าวนเวียนอยู่ในทุ่งนาวันแล้ววันเล่าเพื่อรอคอยการปรากฏตัวของวัตถุบิน ลึกลับอีกครั้ง จนกระทั่งเวลา 21.30 น. วันที่ 4 กันยายน พวกเขาก็เห็นมันลอยตัวอยู่ในทุ่งนาสูงจากต้นข้าวราว 1 เมตร เมื่อรู้ตัวว่าถูกเฝ้ามอง จานบินลำจิ๋วก็เคลื่อนตัวเข้าหาอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเด็กๆแตกกระเจิง วิ่งหนีป่าราบกันอีกครั้ง หลังจากรอดกลับถึงบ้านโดยปลอดภัย เด็กๆก็ล้อมวงวางแผนและตกลงกันว่าคราวหน้าควรจะนำ กล้องถ่ายรูปติดตัวไปด้วย เพราะถ้าจับเจ้าจานบินมาไม่ได้อย่างน้อยก็ยังมีภาพถ่ายเป็นหลักฐาน เย็นวันต่อมาเด็กๆก็ออกเฝ้าทุ่งนาพร้อมกล้องถ่ายภาพ หากแต่จานบินลึกลับไม่ยอมปรากฏกายให้เห็น ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ละความพยายามยังคงออกเฝ้าทุ่งนาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น และคราวนี้พวกเขา สมหวังยิ่งกว่าที่ได้คาดหมายเอาไว้ ค่ำวันที่ 6 กันยายน เด็กๆพบจานบินจิ๋วจอดอยู่บนพื้นกลางทุ่งนา พวกเขารีบยกกล้องขึ้นถ่ายภาพ โดยทันที แสงแฟลชจากกล้องส่องสว่างทำให้จานบินรู้ตัวว่ามีคนอยู่ใกล้ มันรีบลอยตัวขึ้นสูงจาก พื้นดินและตอบโต้ด้วยการเปล่งแสงที่สว่างยิ่งกว่าแสง แฟลช อาจเป็นเพราะมันใช้พลังงานมากเกินไป ทำให้หลังจากที่เปล่งแสงสว่างออกมาจานบินก็ร่วงลง สู่พื้นแต่มันยังคงหมุนควง สว่านประหนึ่งว่าพยายามแทรกแผ่นดินหนี ฮิโรชิรีบวิ่งไปตะครุบมันเอา ไว้แล้วหยิบขึ้นมาจากพื้นดินให้เพื่อนๆถ่ายภาพ เป็นหลักฐาน ฮิโรชิกล่าวว่าขณะที่ถือจานบินจิ๋ว อยู่ในมือนั้น เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายในจานบิน จานบินล่องหน ฮิโรชินำจานบินใส่ลงในถุงพลาสติกแล้วเก็บลงกระเป๋าเป้นำกลับมาบ้าน เด็กๆช่วยกันสำรวจจานบิน พบว่ามันมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว สูง 4 นิ้ว น้ำหนักราว 1 กิโลกรัม ด้านใต้ท้องของจานบินสลักเป็น วงกลมซ้อนๆกันหลายชั้น ตรงกลางเป็นรูพรุนเล็กๆนับได้ 31 รู รอบๆรูพรุนแกะสลักภาพ 3 ภาพ พวกเขาเดากันว่ามันเป็นภาพก้อนเมฆ นก และดอกไม้ตูม หลังจากทำการวิเคราะห์เบื้องต้นแล้ว เด็กๆก็นำจานบินเก็บลงถุงพลาสติกแล้วตกลงกันว่าควรจะนำ มันไปให้บิดาของยาซู โอะซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์ได้ตรวจดู มัตซึโอะ บิดาของยาซูโอะ ทำความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เขาหยิบจานบินจิ๋วมาดูผ่านๆโดยไม่ ได้ให้ความสนใจอะไรเป็นพิเศษ เขาเพียงแค่จับมันพลิกคว่ำพลิกหงายแล้วบอกเพียงว่ามันทำจาก โลหะแต่มีน้ำหนัก เบาไม่มีฝาเปิด เมื่อส่องดูภายในเห็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์คล้ายวงจรในเครื่องรับ วิทยุ หลังจากนั้นก็ส่งคืนให้กับฮิโรชิ นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่มัตซึโอะจะได้สัมผัสกับสิ่งประดิษฐ์ พิสดารที่ไม่มีอยู่บนโลก เพราะมันได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยและไร้เหตุผล โดยไม่มีใครบอกได้ว่ามันหายไปได้อย่างไร ไล่ล่าจานบินจิ๋ว เด็กๆไม่ละความพยายามที่จะตามล่าจานบินกลับมา พวกเขาเปลี่ยนเวรผลัดกันวนเวียนสำรวจทุ่งนา ตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์พวกเขายังคงได้เห็นจานบินอีกราว 6 ครั้ง แต่ไม่สามารถจับมันมาได้ เด็กๆจับกลุ่มรวมหัววางแผนกันอีกครั้ง พวกเขาสังเกตว่าจานบินจะไม่ออกมาให้เห็นในวันที่ฝนตกและ จะปรากฏกายเฉพาะวัน ที่ท้องฟ้าโปร่งเท่านั้น พวกเขาสรุปว่าจานบินจิ๋วลำนี้กลัวน้ำจึงทำการวางแผน ใช้น้ำจับจานบิน วันที่ 19 กันยายน เด็กๆเตรียมกระป๋องน้ำและผ้าขี้ริ้วมุ่งหน้าเข้าสู่ทุ่งนา พวกเขาพบจานบินจอดนิ่งอยู่ บนพื้นจึงใช้ผ้าขี้ริ้วคลุมมันเอาไว้แล้วรีบเทน้ำ ในกระป๋องใส่ผ้าขี้ริ้วอีกที จากนั้นก็จับจานบินพลิก หงายท้องแล้วเทน้ำที่เหลือใส่ลงในรูพรุน ทันทีที่น้ำไหลผ่านรูพรุนเข้าสู่ด้านในก็เกิดเสียงดังคล้ายเสียงจั๊กจั่น และมีแสงสว่างวาบขึ้น เด็กๆตกใจ คิดว่าจานบินจิ๋วจะต่อสู้จึงโยนมันลงกับพื้นแล้วใช้ก้อนหินทับกัน ไม่ให้หนี แต่หลังจากที่เห็นว่าจานบิน นิ่งไม่ไหวติง พวกเขาก็จับมันใส่ถุงนำกลับมาบ้านอีกครั้ง แกร่งประดุจเพชร เด็กๆพยายามหาทางเปิดฝาจานบินเพื่อดูว่าข้างในมีอะไร พวกเขาใช้สายไฟร้อยเข้าไปในรูพรุนเพื่อ ดึงแยกส่วนที่คิดว่าเป็นฐานด้าน ล่างออกจากฝาครอบ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมขยับเขยื้อนแต่ อย่างใด เมื่อใช้ไฟส่องดูภายในก็เห็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน หลังจากความพยายามดึงฝาครอบล้มเหลว เด็กๆก็เลยนำค้อนมาทุบจานบินอย่างแรง แต่มันก็ไม่ระคาย ผิวเแม้จะเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดของจานบินก็ไม่มีรอยบุบส ลาย ด้วยความสงสัยว่าเจ้าจานบินจิ๋วนี้ จะทนทานแค่ไหน เด็กๆจึงตกลงจะทดสอบด้วยการนำไปใส่เตาอบ หากแต่มารดาของคาทซึโอกะ ปรามไว้เสียก่อนไม่ให้เด็กๆเล่นซุกซนกับฟืนกับไฟ เด็กๆจึงตกลงกันว่าจะเอาจานบินใส่ช่องแช่แข็งในตู้เย็นเพื่อกันมันหนีหาย ไปอีก แต่แม่ของคาท ซึโอกะก็ไม่ยอมให้ใช้ตู้เย็นอีกเช่นกัน เด็กๆจึงใช้ผ้าขี้ริ้วห่อจานบินไว้ 2 ทบแล้วมอบให้มิชิโอะเป็นคน ดูแล มิชิโอะนำมันไปเก็บในห้องนอนปิดประตูหน้าต่างอย่างดี แต่วันรุ่งขึ้นจานบินก็หายไปอย่างไร้ร่อง รอยเหมือนกับคราวก่อน สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น คาทซึโอกะไปเล่นฟุตบอลที่บ้านฮิโรชิ ลูกบอลเกิดลอยโด่งข้ามรั้วหายไป พวกเขารีบวิ่งออกไปหาแต่กลับพบจานบินจิ๋วจอดนิ่งอยู่ในพงหญ้าจึงนำมันกลับมา ด้วยความสงสัยว่า มันเป็นจานบินลำเดียวกับที่พบก่อนหน้าหรือเปล่า เด็กๆก็เลยใช้ปากกาทำเครื่องหมายเอาไว้ด้านบน ของจานบิน หากมันหายตัว ไปอีกและตามพบทีหลังจะได้รู้ว่ามันเป็นจานบินลำเดิม ถ่วงน้ำกันหนี เด็กๆลงความเห็นว่าจะนำจานบินไปอวดเพื่อนๆที่โรงเรียน โดยตกลงกันว่าให้นำจานบินใส่ถุงพลาสติก แล้วเติมน้ำให้เต็ม มัดปากถุงให้แน่นหนาแล้วนำใส่ลงในถุงผ้าอีกชั้น จากนั้นก็นำใส่ตะกร้าหน้ารถจักรยาน ผลัดกันเป็นคนดูแลเป็นระยะๆจนกว่าจะถึง โรงเรียน และเพื่อป้องกันความผิดพลาด จะใช้เชือกผูกถุงผ้า โดยปลายเชือกอีกด้านผูกติดเอวคนดูแล การเดินทางเป็นไปโดยเรียบร้อยจนกระทั่งถึงผลัดสุดท้าย คนดูแลรู้สึกว่าเชือกผูกเอวกระตุกจึงหยุดรถ ตะโกนเรียกเพื่อนๆให้มาช่วย เด็กๆเข้าล้อมรอบถุงผ้าแก้เชือกมัดปากถุง เปิดถุงผ้าออกแก้มัดปากถุง พลาสติก มองลงไปดูข้างในพบแต่เพียงน้ำ ไม่มีร่องรอยของจานบินอยู่ในนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าจานบิน หายไปได้อย่างไรโดยที่ปากถุงพลาสติกและถุงผ้ายังคงมัด แน่น เรื่องราวทั้งหมดรู้กันแค่เพียงคนกลุ่มเล็กๆในหมู่บ้านห่างไกล จนกระทั่งมีคนเขียนการ์ตูนเล่าเรื่องราว พิสดารพันลึกเรื่องนี้ในปี 2004 ทำให้สมาคมศึกษาเหตุการณ์ประหลาดในอวกาศแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Space Phenomena Society) ลงมาสืบสวน ปี 2007 JSPS ส่งคาซูโอะ ฮายาชิ ลงพื้นที่สืบหาความจริง เขาพบว่าพยานที่ยังมีชีวิตอยู่ให้การตรงกัน และยังพบอีกด้วยว่า หลังจากเหตุการณ์ในหมู่บ้านคีร่า 4 ปี มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านอกาว่าพบ จานบินจิ๋วเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่สรุปไม่ได้ก็คือมันมาจากที่ไหนและใครเป็นผู้สร้าง ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น จะเป็นความจริงแค่ไหนก็ต้องรอผู้เชี่ยวชาญมายืนยันกัน อีกที ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 320 วันที่ 23 - 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 หน้า 36 คอลัมน์ ร้ายสาระ โดย ศิลป์ อิศเรศ |
|
วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
จานบินจิ๋วหมู่บ้านคีร่า
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น