วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

Mystery of Tibet

thibet_banner.gif


ว่ากันว่า ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ฮิตเลอร์ได้ส่งทหารแห่งอาณาจักรไรซ์ของเขา ออกค้นหาอาณาจักรใต้พิภพ ซึ่งเชื่อกันว่า มีทางเข้าอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งในโลกนี้ ความเชื่อของฮิตเลอร์และบริวารก็คือ ใต้โลกมีอาณาจักรใต้พิภพที่มีอารยธรรมสูงส่งซุกซ่อนอยู่ หรือถ้าไม่มี อย่างน้อยเศษซากของวิทยาการเหล่านั้น ก็สามารถช่วยให้นาซี มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขึ้นอีกโข ว่ากันว่านครนั้นคือ อาร์กัตต้า หรือ จัมบาร่า ซึ่งมีเล่าขานกันในตำนานโบราณครับ...

ในปี พ.ศ. 2447 สตรีชาวฝรั่งเศสชื่อ อเล็กซานดรา ดาวิด-นีล ได้เขียนหนังสือและเล่าเรื่องของดินแดนมหัศจรรย์ ซึ่งเธอเคยไปสัมผัสความพิศวงของดินแดนนั้นมาแล้ว เธอกล่าวว่าดินแดนนี้อยู่ไกลแสนไกล มีความสวยงาม ทุกสิ่งทุกอย่างบนดินแดนนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เธออ้างเอาไว้ในบันทึกส่วนตัวว่า ที่นั่น มีผู้วิเศษที่สามารถลอยตัวอยู่บนอากาศ และสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้ด้วยความรวดเร็ว

ผู้วิเศษที่เธอพบ ปัจจุบันเราทราบกันในนามของภิกษุในพุทธศาสนา คือบรรดาลามะแห่งทิเบตนั่นเองครับ..

thibet_xining_01.jpg


สำหรับบางท่านที่ไม่ทราบจริงๆว่าลามะคืออะไร ผมจะขออธิบายอย่างคร่าวๆก็แล้วกันนะครับว่า องค์ลามะทั้งหลาย เป็นพระสงฆ์ในพระบวรพุทธศาสนา แต่เป็นคนละนิกายกับพุทธศาสนาในบ้านเรา โดยลามะจะสังกัดนิกายมหายาน ซึ่งมีการศึกษาทั้งทางธรรมและไสยศาสตร์ร่วมกันไป มีการสวดมนตร์ขับไล่ภูตผี และมีการฝึกจิตบำเพ็ญตบะ เพื่อให้ตนเองมีความแข็งแกร่ง ทำนองเดียวกับที่เราเห็นในหนังกำลังภายในเด๊ะเลยครับ โดยการฝึกลุง กอง ของธิเบต จะช่วยทำให้ลามะมีวิชาตัวเบาสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เหมือนกันกับจอมยุทธทั้งหลายที่มีวิชาตัวเบา

thibet_xining_03.jpg
                     

มีเสียงร่ำลือเกี่ยวกับตำนาน ที่เล่าขานกันมาในหมู่ลามะว่า ใต้พื้นโลกมีสวรรค์นามว่า อคารถ อยู่ อคารถเป็นนครใหญ่ มีเจ้าปกครองเหมือนกับนครอื่นๆทั่วไป จากอคารถก็จะมีอุโมงค์ใหญ่ เชื่อมไปยังนครต่างๆที่อยู่ใต้พิภพเช่นกัน ซึ่งนักประวัติศาสตร์คาด ว่า ดินแดนแห่งนี้เองแหละครับ ที่แชปลิน..เอ๊ย ฮิตเลอร์ ได้ตามหาอยู่ ซึ่งจริงๆแล้วปัจจุบันเราก็ยังไม่ได้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับนครนี้มากนัก ได้แต่คาดเดากันไปว่า มันอาจจะเป็นดินแดนที่มนุษย์ต่างดาวลงมาหลบซ่อนอยู่ หรืออาจเป็นที่อยู่ของลูกหลานชาว แอตแลนติส ที่หลงเหลือ และรักษาความรู้ทางวิทยาการของพวกเขาเอาไว้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา

ทิเบตจัดเป็นดินแดนที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก และเราก็ได้ยินฉายาของดินแดนนี้บ่อยๆว่า เป็นดินแดนที่เป็นหลังคาโลก แม้ว่าภูมิอากาศจะแห้งแล้งกันดาร และติดต่อกับดินแดนอื่นๆได้ยาก แต่ทราบกันไหมครับว่า ทิเบตนี่แหละ อุดมสมบูรณ์นักแลในเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ

ดาไลลามะนักวันโลสัง ซึ่งเป็นดาไลลามะองค์ที่ 5 ของทิเบต ได้สร้างพระราชวังโปตาลาชั้นนอกเรียกว่า พระราชวังขาวชั้นในเรียกพระราชวังแดง พระราชวังแห่งนี้อยู่สูงจากพื้นดินถึง 110 เมตร และเคยจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชิ้นหนึ่ง ที่เกี่ยวพันกับความศรัทธาของมนุษย์เลยทีเดียว


0156_4.jpg

พระราชวังโปตาลา


ดาไลลามะนักวันโลสัง ได้ประกาศคำสอนที่กลายเป็นตำนานที่ต้องประพฤติสืบต่อกันมา  องค์ดาไลลามะคือ พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร ที่เสด็จลงมาคุ้มครองชาวทิเบต ดังนั้น เมื่อใดที่องค์ดาไลลามะสิ้นพระชนม์ ดวงวิญญาณจะเสด็จออกไปจากร่างเก่าเพื่อสถิตย์ในร่างใหม่ การกลับชาติมาเกิดเพื่อที่จะเสด็จกลับมาเป็นองค์ดาไลลามะอีกครา จึงทำให้เกิดประเพณีในการค้นหาองค์ดาไลลามะขึ้น  หลักการค้นหาองค์ดาไลลามะ เป็นไปในลักษณะเดียวกันกับการค้นหาผู้กลับชาติมาเกิดคนอื่นๆ แต่วิธีการค้นหามีความละเอียดมากเป็นพิเศษ เพราะตำแหน่งองค์ดาไลลามะมีความสำคัญมาก ทั้งทางการเมืองและทรัพย์สมบัติที่จะได้รับของผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ องค์ดาไลลามะจะตรัสไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า จะกลับมาประสูติใหม่ที่ใด และจะให้รายละเอียดสำหรับการค้นหาไว้อย่างชัดเจน เพื่อสะดวกต่อการค้นหา เด็กที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระอวโลกิเตศวรคือ มีรอยหนังสือที่ขา ลายรูปก้นหอยที่ฝ่ามือ หูขาว คิ้วและนัยน์ตายาวเฉียงขึ้น นั่นคือลักษณะเบื้องต้น ขั้นที่สองคือให้เด็กเลือกสิ่งของเครื่องใช้ขององค์ดาไลลามะ ถ้าเลือกถูกก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป

แดรก นักวิชาการผู้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับธิเบต เคยกล่าวว่า "เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศธิเบตนั้น เป็นเรื่องที่ชาวตะวันตกทราบน้อยมาก เพราะจะเห็นได้ว่า องค์ดาไลลามะหรือประมุขของบรรดาลามะทั้งปวงนั้น มีฐานะเทียบเท่าองค์สันตะปะปาที่วาติกันเลยทีเดียว"

ลามะในธิเบต กำความลับบางประการของวิทยาศาสตร์และจิตศาสตร์ซึ่งสืบทอดจากโบราณเอาไว้ แม้กระทั่งในประเทศอินเดียเอง ก็มีการอ้างถึงความก้าวหน้า ถึงวิชาในสมัยโบราณที่อ้างถึงการต่อต้านแรงโน้มถ่วงโลก ด้วยกระแสจิตจากตัวผู้ฝึก ทำให้ผู้ฝึกที่ผนึกสมาธิอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก สามารถลอยบนพื้นและเคลื่อนตัวด้วยจิตในมหาวิทยาลัยโบราณของอินเดีย มีการกล่าวถึงอะตอมและพลังงานคอสมิคเสียด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ เรื่องเล่าเก่าๆของธิเบต ยังได้กล่าวถึงเรื่องของเด็กชาวธิเบตคนหนึ่ง ที่มีศีระษะรูปร่างผิดปกติ เขาได้แต่งงานกับลูกสาวของเทพเจ้า หลังจากนั้นก็ไปอาศันในดินแดนสงบสุขที่ฟากฟ้าไกล พระเจ้าที่ลงมาบนโลกนั้น ส่วนใหญ่จะลงมายังโลกในร่างของเป็ดที่ฉายแสงได้ ซึ่งเป็นไปได้ไหมครับว่า นั่นอาจจะเป็นรูปแบบหนึ่งของเอเลี่ยนและ UFOs?

แดรกยังได้เล่าถึงนิทานพื้นบ้าน ซึ่งเล่ากันมานานแสนนานในธิเบตว่า ชาวธิเบตมีการเล่าลือกันถึงเมืองสุดาโซม่า (Sudasoma) เมืองแห่งนี้นะครับ ชาวธิเบตว่ากันว่า เป็นที่อาศัยของเทพเจ้า 33 พระองค์ ตัวเมืองล่องลอยอยู่กลางอากาศ มีกำแพงทองคำล้อมรอบถึง 7 ชั้น เครื่องประดับของพวกเขาล้วนงดงาม ทำจาก ทอง เงิน คริสตัล เบริล (Beryl) เทพเจ้าทั้งหลายจะมีอำนาจวิเศษในการเนรมิตรทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พวกเขาต้องการจากต้นไม้

ภายหลังที่ได้รับชัยชนะจากทุกอาณาจักรบนโลกแล้ว กษัตริย์แมนโฮต้าแห่งอาณาจักรนี้ ก็ต้องการจะแผ่ขยายแสนยานุภาพของตนออกไปอีก จุดมุ่งหมายของพระองค์คือ ต้องการให้อำนาจของพระองค์ขจรขยายออกไปทุกหนทุกแห่ง แน่นอนล่ะว่า รวมไปถึงสวรรค์ที่เป็นที่อยู่ของทวยเทพทั้งหลายด้วย แต่แล้ว เมืองของพระองค์ก็ได้ถูกโจมตีจากอสูร (Asura) ที่มาจากอวกาศ สงครามครั้งนั้นโหดร้ายนัก จากคำบอกเล่า และการบันทึกตีความ ในสงครามดังกล่าว มีการใช้อาวุธที่เหมือนการยิงรังสี การใช้ม้าบิน สุดท้ายอสุราก็ได้รับความพ่ายแพ้ และถูกขับไล่กลับไปสู่ท้องฟ้า (อวกาศ?) อีครั้งหนึ่ง

นิทานพื้นบ้านของธิเบต รวมไปถึงลักษณะความเป็นอยู่ของพวกเขา ยังคงความลี้ลับอยู่มาก มีลักษณะที่แตกต่างไปจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ทุกวันนี้โลกของลามะในธิเบตก็ยังคงเป็นเรื่องราวลึกลับของโลกต่อไป ไม่ว่าจะเรื่องของเทพเจ้า นครลึกลับแชมเบอร่า รวมทั้งอดีตและความเป็นมาอันลึกลับของชาวธิเบต เอาเป็นว่า ถ้ามีเวลาผมจะเก็บเรื่องมาขยายความให้อ่านกันครับ

จำได้ว่าเคยเล่าเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปีสองปีที่ผ่านมานี่แหละครับ เอาน่า จำไม่ได้แล้วว่าอยู่ตรงไหน ส่วนนี้เป็นรายละเอียดใหม่ ซึ่งผมขอเล่าซ้ำอีกทีก็แล้วกัน ซึ่งเรื่องราวดังกล่าว เอามาจากรายงานของนักโบราณคดีชาวจีนครับ

qinmound.jpg


รายงานดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2508 พร้อมทั้งได้นำเสนอซากโบราณที่ทำให้เกิดทฤษฎีว่า ในอดีต เคยมียานอวกาศมาเยือนโลกของเรา บนแผ่นดินจีนมาก่อน รายงานของนักโบราณคดีดังกล่าว ได้อ้างว่า เมื่อ 12,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว เคยมียานอวกาศลงมาเยือนโลกของเรา อ้อ! ข้อมูลนี้ไม่ได้อ้างออกมาลอยๆนะครับ แบบนั้นเสียเหลี่ยมนักวิชาการแย่เลย ข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงอ้างอิงมาจากการสำรวจถ้ำของนักโบราณคดี ในแถบรอยต่อระหว่างธิเบตและจีนแห่งหนึ่ง เป็นบริเวณที่เรียกว่า บายัน-คาลาฮูรา พวกเขาพบก้อนหินที่มีลักษณะเป็นงานที่มีการวาดภาพ รวมทั้งตัวอักษรแบบเฮียโรกริฟฟิคที่ไม่มีใครสามารถอธิบายความหมายได้ถึง 716 แผ่น วัตถุเหล่านี้อายุมากเท่าใดก็ยากที่จะคาดเดา แผ่นหินดังกล่าวมีรูอยู่ตรงกลางเหมือนเครื่องบันทึกเทป นักโบราณคดีที่ค้นพบเพิ่งทราบเอาในตอนหลังว่า มันเป็นเครื่องมือในการเขียนเสียมากกว่า ซึ่งมองเผินๆแล้ว มันเป็นวัตถุที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกโบราณคดีเลยทีเดียวล่ะครับ

ทีมนักสำรวจรู้สึกสับสน กับสิ่งที่พวกเขาค้นพบในถ้ำนั้นมาก เพราะมันไม่เหมือนสิ่งที่พวกเขาค้นพบที่ผ่านมาเอาเสียเลย เจ้าหน้าที่หลายคนให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาครุ่นคิดอยู่นานก็ยังขบไม่แตกว่า มันคืออะไรกันแน่ จนกระทั่งปริศนานี้ถูกไขให้กระจ่าง โดยทีมนักโบราณคดีระดับหัวกระทิของจีน ในเวลาต่อมาไม่นานนัก...

stonedisc1.jpg

จารึกแผ่นหินที่พบในถ้ำ


แรกเริ่มเดิมทีนั้น รัฐบาลจีนได้สั่งการผ่านสถาบันศึกษาโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ ให้ระงับการค้นคว้าเกี่ยวกับถ้ำบายัน-คาลาฮูรา อย่างไม่มีสาเหตุ แต่แล้วก็อนุญาตให้มีการค้นคว้าต่อในภายหลัง ผลจากการเพียรพยายามอันยาวนาน ต้นฉบับของแผ่นหินก็ได้ถูกแปลออกมาโดยผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณของจีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมาเยือนโลกของยานอวกาศจากดาวดวงอื่น เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหมื่นสองพันปีมาแล้ว ผู้สันทัดกรณีบางคนที่ทราบเรื่อง รู้จักเรื่องจานบินตกในโลกยุคโบราณนี้ว่า The Chinese Roswell ครับ

เชื่อว่าบริเวณดังกล่าว เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าโบราณสองเผ่า คือ ชาวแฮม และโดปา

ชนเผ่าดังกล่าว เป็นชาวป่าโบราณที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก เพราะป่วยด้วยโรคกระดูกผุ พวกเขามีความสูงเฉลี่ย 127 เซ็นติเมตร จนปัจจุบันเองก็ยังไม่ถูกจำแนกว่า เป็นมนุษยชาติสายพันธุ์ใด


pyramid_artifact2.jpg


จากบันทึกที่ได้มีการแปลออกมา ชาวโดปานั้นพบเห็นกลุ่มคนที่ได้ลงมาจากท้องฟ้า ด้วยยานที่บรรพบุรุษของเขาได้ซ่อนไว้อย่างลึกลับภายในถ้ำแห่งหนึ่ง เนื่องจากว่ายานของพวกเขาเป็นพวกที่เหลืออยู่ภายหลังการประสบอุบัติหตุ เนื่องจากการชนภูเขาในระหว่างที่จะนำยานลงมาจอดบนโลก และการที่พวกเขาไม่สามารถจะไปไหนได้นั้น เป็นเพราะว่าพวกเขาประสบความล้มเหลวในการซ่อมแซมยานอวกาศ

ภายหลังที่มีการห่อหุ้มจารึกต่างๆไว้เป็นอย่างดีแล้ว ทีมนักโบราณคดี ได้ส่งมันไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่กรุงมอสโคว์ตรวจสอบ และพบว่าแผ่นหินดังกล่าวประกอบด้วยธาตุโคบอลต์อยู่เป็นจำนวนมาก และมีการเต้นเป็นจังหวะราวกับว่า ภายในตัวของแผ่นหินมีกระแสไฟฟ้าบรรจุอยู่ ทำให้แผ่นหินดังกล่าวกลายเป็นสิ่งท้าทายวงการวิทยาศาสตร์อย่างมากทีเดียว เชียวครับ...

คาดว่า ชาวโบราณพวกนี้น่าจะมีลูกหลานที่อายุยืนมาหลายชั่วรุ่นพอสมควร เพราะจากการสาวเข้าไปยังเรื่องราวท้องถิ่นแถบนั้น มีนิทานพื้นบ้านของจีนที่เล่าถึงคนร่างเล็ก ผิวเหลือง ที่ลงมาจากท้องฟ้า และถูกชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นขับไล่ออกไป เพราะพวกเขามีใบหน้าสีเหลือง หัวโต ตัวเล็ก มองดูน่าเกลียด บางคนยังถูกชาวบ้านไล่ฆ่าไล่ตี เพราะนึกว่าเป็นพวกปีศาจ นิทานดังกล่าว ดูเหมือนว่าจะได้รับการยืนยันจากการค้นพบและตรวจสอบทางวิทยาศาสตรและ โบราณคดี ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบวัตถุต่างๆในถ้ำเดียวกัน สุสานและโครงกระดูกที่คาดว่าจะมีอายุประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว โครงกระดูกที่พบมีขนาดกระโหลกโต ร่างกายเล็ก ดูราวกับทุกคนเป็นโรคหลังค่อม นักโบราณคดีบางคนในจีนกล่าวว่า มันอาจจะเป็นลิงพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งมีการค้นพบก็ได้ แต่โทษนะครับท่านด็อกเตอร์ เท่าที่พวกเราทราบกัน ไม่มีลิงชนิดไหนหรอกครับที่รู้จักฝังศพของพวกมันหลังเสียชีวิต และยังไม่มีประวัติบันทึกไว้เลยว่า พวกลิงสามารถเขียนหนังสือและวาดรูปได้อย่างวิจิตรเช่นนี้

ใช่ครับ ความประหลาดอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ ก็คือบรรดารูปวาดที่ปรากฏอยู่บนกำแพงถ้ำ ภาพดังกล่าวเป็นภาพของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวดวงอื่นๆ ระหว่างดาวบางดวงเต็มไปด้วยวงกลมเล็กๆขนาดเท่าเม็ดถั่ว และดูเหมือนว่า วงกลมดังกล่าวกำลังมุ่งหน้ามาสู่ดาวบางดวง ซึ่งมีภูเขาปรากฏอยู่ นักโบราณคดีคิดว่า นี่อาจเป็นการบันทึกเรื่องราวการเดินทางของพวกเขา เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ก็เป็นได้

ส่วนรายละเอียดของจานหินที่พบในถ้ำ นักโบราณคดีของรัสเซียได้ออกมาแถลงการณ์ พร้อมมีเอกสารทางวิชาการประกอบด้วย น่าเสียดายที่นาย Sonic อ่านไม่รู้เรื่อง เพราะมีภาษายากๆเต็มไปหมด (ขนาดมี abstract เป็นภาษาอังกฤษด้วยนะเนี่ยยังงง อึ้งไปเลย) ขอเวลาปรึกษาผู้สันทัดกรณีสักระยะละกันนะครับ แล้วจะเอามาชี้แจ้งแถลงไข ให้ทุกท่านที่เป็นแฟน The Myterious World หายข้องใจกันเสียที


ที่มา : http://www.mythland.org/v3/thread-94-1-1.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น