วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

นาซีได้สร้าง UFO ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2


 
เยอรมัน ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในระหว่างช่วงก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเรื่องราวที่ได้มีการเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ดังที่ ท่าน Sir Roy Feddon หัวหน้าปฏิบัติการของ Technical Mission to Germany for Ministry of Aircraft Production ได้กล่าวในปี 1945 ว่า
ผม ได้พบว่าพวกเขากำลังทำการออกแบบและวางแผนการบางอย่าง และเชื่อเป็นอย่างยิ่งถ้าพวกเขาสามารถยืดระยะของสงครามออกไปได้อีกสักหนึ่ง เดือนหรือมากกว่า เราจะได้เผชิญหน้ากับอากาศยานที่ล้ำสมัยที่น่าสะพรึงกลัว
เป็น ความโชคดีของเหล่าทหารอากาศของผ่ายพันธมิตรที่ฮิตเลอร์ได้กำหนดไว้ว่า อากาศยานชนิดนี้ควรจะเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดแทนที่จะเป็นเครื่องบินขับไล่ ทำให้ทหารฝ่ายพันธมิตรรอดพ้นจากความตายเป็นจำนวนมาก
Henrich Focke มีความเกี่ยวข้องกับการออกแบบออกแบบและสร้างแบบจำลองเครื่องบิน Fw6, Fa223, Fa226, Fa283 และ 284 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้ออกแบบระขับดัน (Propulsion System) ที่รู้จักกันในชื่อของ Turbo Shaft ซึ่งยังคงถูกใช้มากในเฮลิคอปเตอร์ในปัจจุบัน จากการใช้เทคโนโลยีชนิดนี้ Focke สามารถออกแบบเครื่องบินที่สามารถบินขึ้นลงในแนวดิ่ง (Vertical take-off aircraft)
ใน ปี 1939 Focke ได้สิทธิบัตรของยานบินรูปจานซึ่งประกอบด้วยโรเตอร์แฝด (twin rotor) ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้ “นอซเซิลของไอพ่นจะถูกติดอยู่ที่ท้ายของเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง เมื่อเชื้อเพลิงถูกใส่เข้ามาที่ห้องเผาไหม้ห้องเผาไหม้จะส่งแก๊สร้อนผ่านนอ ซเซิลเพื่อสร้างแรงขับดันในแนวขนานกับพื้นโลก (horizontal)”
Cruise missile ถูกใช้ครั้งแรกโดยเยอรมันแห่งไรช์ที่ 3 ซึ่งมีชื่อว่า V-1 ซึ่ง V-1 ถูกปล่อยออกจากเยอรมันข้ามช่องแคบอังกฤษเข้าสู่เกาะอังกฤษ และต่อมาเยอรมันได้พัฒนาจรวดขีปนาวุธชื่อ V-2 ซึ่งเป็นต้นแบบของระบบขีปนาวุธข้ามทวีปที่ใช้ขู่กันกันสงครามเย็นระหว่าง อเมริกากับโซเวียต ซึ่งครั้งนั้นตึงเครียดมาก เพราะเป็นจรวดขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ คาดว่าถ้ามีการยิงใส่กันเกิดขึ้นป่านนี้มนุษย์คงสูญพันธุ์ไปแล้ว จรวด V-2 สามารถเคลื่อนที่ในระยะทาง 225 ไมล์ด้วยความเร็วห้าเท่าของความเร็วเสียง อีกทั้งเยอรมันยังได้พัฒนาเครื่องบินขับไล่ชื่อ ME 163 แต่ยังไม่ได้ใฃ้ในภารกิจใด มันเป็นเครื่องบินลำแรกที่สามารถบินด้วยความเร็วมากกว่า 600 ไมล์ต่อชั่วโมง
นี่ เป็นเพียงบางเทคโนโลยีที่เราสามารถรู้ได้ แต่อย่างไรก็ตามเยอรมันยังมีเทคโนโลยีที่ลึกล้ำกว่านั้นที่ปิดซ่อนไว้อยู่ และในปี 1944 เทคโนโลยีดังกล่าวได้รับการเปิดเผยเป็นครั้งแรกเมื่อ New York Time ฉบับวันที่ 14 ธันวาคมได้รายงานว่า ลูกบอลลอยได้ (Floating Mystery ball) เป็นเทคโนโลยีทางด้านอาวุธชนิดใหม่ของเยอรมัน
Supreme Headquarters, Allied Expeditionary Force, Dec 13 – A ได้รายงานว่าได้พบกับอาวุธชนิดใหม่ของเยอรมัน มันเป็นวัตถุสีเงินรูปร่างเป็นทรงกลมลอยอยู่กลางอากาศอยู่เหนือดินแดนแดนของ เยอรมัน วัตถุดังกล่าวบางครั้งพบอยู่ก้อนเดียวบางครั้งก็พบเป็นกลุ่มบางครั้งพวกมัน มีลักษณะกึ่งโปร่งแสง
มี รายงานจากนักบินที่มีความชำนาญจาก 415th Night Fighter Squadron ว่าภายใต้ปฏิบัติการการบินเหนือ Hagenau ประเทศเยอรมันในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1945 ในเวลาหกโมงเช้า ที่ความสูงหนึ่งหมื่นฟุต นักบินมองไปที่เรดาร์ของเขาพบว่ามีก้อนแสงสว่าสีส้มใหญ่ได้ลอยไต่ระดับมาหา เครื่องบินของพวกเขาอย่างรวดเร็วทันทีที่มันมาถึงระดับความสูงของเครื่อง บินพวกมันก็บินลอยอยู่บนปีกของเครื่องบิน เขาจึงพยายามเร่งความเร็วของเครื่องบินอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ แต่ก้อนวัตถุเรืองแสงดังกล่าวก็ยังคงบินตามมา เป็นเวลาสองนาทีแสงดังกล่าวก็เร่งความเร็วจากไป
วัตถุ ประสงค์ของวัตถุดังกล่าวยังคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ พวกมันมาเพียงแค่เพื่อบินตามเครื่องบินรบของฝ่ายพันธมิตร แต่ไม่มีการยิงแต่อย่างใด มันทำเช่นนั้นเพื่ออะไร ฝูงบินเรืองแสงลึกลับดังกล่าวถูกเรียกว่า Foo Fighter ในการสงครามเชื่อว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์นววัตกรรมใหม่ของฝ่ายศัตรู ที่มีวัตถุประสงใช้งานมันเป็นยานสอดแนม จนถึงทุกวันนี้เราไม่ทราบว่าเทคโนโลยีนี้มาจากที่ใด แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่เทคโนโลยีของฝ่ายพันธมิตรอย่างแน่นอน
ใน ช่วงสงครามโลก ทั้งสองฝ่ายทั้งพันธมิตรและฝ่ายอักษะต่างรู้ถึงในศักยภาพของการรบทางอากาศ ของกันและกันเป็นอย่างดี และรู้เป็นอย่างยิ่งว่าหนทางที่จะลดทอนศักยภาพของกองทัพอากาศของแต่ละฝ่ายก็ คือการทำลายรันเวย์ ดังนั้นการพัฒนาอากาศยานที่สามารถบินขึ้นได้โดยไม่ใช้รันเวย์จึงเป็นทางออก สุดท้ายในการเอาตัวรอด ดังเช่นที่ Focke ได้ออกแบบไว้ แต่อย่างไรก็ตามยานบินดังกล่าวได้ถูกนำออกมาแสดงให้เห็นเพียงแค่ก่อนสงคราม โลกจะจบลง แต่อย่างไรก็ตามความขัดแย้งก็ได้เกิดขึ้น เนื่องจากหลักฐานที่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์มีเหลืออยู่น้อยเกินไป และไม่เพียงแต่ประวัติศาสตร์บางส่วนเกี่ยวกับสงครามโลกในช่วงสุดท้ายที่หาย ไปเท่านั้น แต่ยังมีบางส่วนที่ถูกแต่งแต้มเติมสีสันในส่วนที่หายไปดังกล่าวนี้โดยนัก เขียนนิยายเกี่ยวกับจานบินนาซี
การ เรียบเรียงข้อเท็จจริงจากนิยายต่างๆจากเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราจำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลต่างๆที่ยังไม่ทราบที่มาที่ไปอย่างละเอียดถี่ ถ้วน และเมื่อจิ๊กซอทั้งหมดประกอบเข้าด้วยกัน ความเป็นไปได้เกี่ยวกับเรื่องราวของเทคโนโลยีจานบินนาซีจึงได้เริ่มขึ้น
บุคคล หนึ่งที่อ้างว่าตนเองได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาจานบินให้กับนาซี เยอรมันซึ่งเมื่อก่อนได้ทำงานเป็นกัปตันและผู้ออกแบบเครื่องบินให้กับ Luftwaffe Flight เขาผู้นั้นคือ Rudolf Schriever
เรื่อง นี้ได้ปรากฏครั้งแรกในแมกาซีน Der Spiegel ฉบับวันที่ 30 มีนาคม 1950 ในบทความที่มีชื่อว่า Untertassen-Flieger Kombination กล่าวว่า
ใน ปีช่วงทศวรรษที่ 1940 วิศวกรทั่วโลกได้ทำการทดลองเกี่ยวกับจานบิน ซึ่งทำให้อเมริกาสามารถสร้างได้ 1 ลำโดยใช้เวลา 6-9 เดือน เขากล่าวว่าเขาได้ทำ blueprints ซึ่งเป็นเอกสารที่เป็นความลับเกี่ยวกับจักรกลชนิดนี้ ซึ่งเขาเรียกมันว่า Flying top ก่อนการล่มสลายของอาณาจักรเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง blueprint ได้ถูกขโมยไปจากห้องแล็ปของเขา เขากล่าวว่า เครื่องจักรกลดังกล่าวสามารถบินทำความเร็วได้ถึง 2,600 ไมล์ต่อชั่วโมง ในระยะทาง 4,000 ไมล์ จากนั้น Schriever ได้กลายมาเป็นบุคคลในกองทัพอเมริกันอยู่ที่ Bremerhaven
คำ กล่าวอ้างของเขาได้ถูกนำกลับมาพูดคุยอีกครั้งในปี 1975 เมื่อ Luftfarth International Report ได้เขียนว่าภายหลังจากที่ Schriver ได้เสียชีวิตลงในช่วงปลายของทศวรรษที่ 1950 เอกสารต่างๆที่เป็นของเขาได้ถูกนำมาเปิดเผย ซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับจานบิน เช่นภาพสเก็ตของแบบจานบินต่างๆ รวมถึงการคำนวณ
นัก วิจัยชื่อ Bill Rose ได้พบว่า Schriever นั้นมีความเกี่ยวข้องกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆอีกได้แก่ Klaus Habermohl และ Giuseppe Belluzzo (วิศวกรชาวอิตาเลี่ยน) และอีกคนก็คือ Dr. Walter Miethe จากการศึกษาวิจัยของ Rose พบว่า Miethe ได้เป็นผู้อำนวยการของโครงการจานบินในสองโรงงานซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่นอก เมือง Prague เรามีข้อมูลเกี่ยวกับงานของ Miethe น้อยมาก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักกับ Wernher vo Brau เนื่องจากมีรูปถ่ายด้วยกันในปี 1933
แต่ ที่แน่นอนเราทราบว่านักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับ การสร้างจานบินคือ Viktor Schauberger ซึ่งเขาได้ทดสอบทำการบินหนึ่งครั้งในปี 1945 ในบริเวณที่อยู่ใกล้ๆกรุงปราก ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวอ้างของ Schriever
การ ทดลองกับต้นแบบของเขานั้นเกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งการลอยตัวอยู่ในอากาศ (levitation) เขาเกิดในปี 1885 คนส่วนใหญ่ในโลก แม้กระทั่งอาจารย์ของเขามองเขาว่าเป็นบุคคลวิกลจริต ที่วันๆเอาแต่นั่งอยู่ในป่า นั่งจองมองแม่น้ำลำธาร และการหมุนวนในอากาศ
เขา ได้มีข้อโต้เถียงว่า เทคโนโลยีที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นรูปแบบเทคโนโลยีที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งมันเป็นเทคโนโลยี่อาศัยหลักของเอนโทรปี (Entropy) ซึ่งกล่าวว่าการเคลื่อนที่ส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มไปสู่รูปแบบที่ไร้ระเบียบมาก ยิ่งขึ้น เช่นแก้วน้ำที่ยังอยู่รูปของแก้วน้ำย่อมมีเอนโทรปีน้อยกว่าแก้วดังกล่าวที่ ตกลงสู่พื้น แต่อย่างไรก็ตาม ดังนั้นรูปแบบทั่วไปของการกำเนิดพลังงานในยุคปัจจุบันอาศัยกลไกของการระเบิด และการแตกตัวของอะตอมเป็นสำคัญ แต่ Schsuberger มีความเชื่อว่าการสร้างพลังงานควรจะเป็นไปในรูปแบบของการเคลื่อนที่เข้าสู่ ภายใน ในลักษณะหมุนวนให้เกิดความเย็น (inward-moving cold-generating centripetal motion)
อีก ทั้ง Schauberger ยังได้ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเทอร์ไบน์ดูด (Suction Turbine) ที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยอาศัยหลักการของการระเบิดเข้าสู่ภายใน (implosion principle) และภายหลังได้พัฒนาระบบขับดันโดยอาศัยหลักการเดียวกันโดยใช้สารทำงานเป็น อากาศ
ต่อ มางานของเขาได้เป็นที่สนใจของฮิตเลอร์อย่างมาก ลูกชายของเขากล่าวถึงการพบกันระหว่างพ่อกับฮิตเลอร์ว่า: ในเดือนมิถุนายน 1934 พ่อได้ถูกเชิญโดยท่านผู้นำแห่งอาณาจักรไรช์ที่ 3 เพื่อให้พ่อไปพูดคุยเกี่ยวกับงานของเขา ฮิตเลอร์ต้องการทราบถึงการค้นพบของเขา ความเป็นไปได้สำหรับการประยุกต์ใช้ในแง่มุมต่างๆ และแผนการที่ยิ่งใหญ่ของเขา และพ่อได้ตอบท่านผู้นำไปว่า ผมกำลังค้นหาเทคโนโลยีใหม่ที่กลมกลืนกับความเป็นธรรมชาติ ซึ่งนั่นเป็นแผนการที่แท้จริงสำหรับผม
ฮิต เลอร์ต้องการให้ Schauberger เป็นที่ปรึกษาในการสร้างอากาศยานชนิดใหม่ที่สามารถลอยขึ้นสู่อากาศได้โดยไม่ ต้องอาศัยการเผาไหม้เชื้อเพลิง แนวความคิดสำหรับอากาศยานชนิดใหม่นี้อยู่บนหลักการของการค้นพบของ Schauberger เมื่อไม่กี่ปีก่อนเกี่ยวกับการสร้างโซนที่มีความดันต่ำในระดับอะตอม (Low Pressure zone at atomic level) นักวิทยาศาสตร์อ้างว่าได้ทำสำเร็จในแล็ปทีในเครื่องยนต์ต้นแบบที่มีการหมุน ควงอากาศหรือน้ำตามแนวรัศมีและเส้นรอบวงเข้าสู่ศูนย์กลางที่อุณหภูมิต่ำๆ Schauberger ได้เรียกแรงดังกล่าวว่า diamagnetic levitation power และเขาได้หมายเหตุว่าธรรมชาติได้ปฏกิริยาตรง (direct) และผลสะท้อนกลับของปฏิกิริยา (reactionary) แรงดูดในการสร้างการเคลื่อนไหวของสภาพอากาศ และเสถียรภาพของฟิวชันในดวงอาทิตย์
นา ซีได้ส่งมอบทีมนักวิทยาศาสตร์ให้กับ Schauberger เพื่อช่วยเหลือเขาในการทำงาน แต่ Schauberger ได้ขอกับนาซีว่าถ้าต้องการให้งานสำเร็จลุล่วงกรุณาปฏิบัตรต่อเขาเยี่ยงอิสระ ชน ไม่ใช่นักโทษจองจำของนาซี ในระหว่างการทำงานสำนักงานปฏิบัติการวิจัยของเขาที่อยู่บนภาคพื้นดิน ที่ทำงานอของเขาได้ถูกบอมบ์และพวกเขาทั้งหมดได้ถูกย้ายไปที่ Leonstein และแล้วจานบินที่สมบูรณ์แบบของพวกเขาก็ได้ถูกสร้างเสร็จซึ่งถูกให้กำลังโดย เทอร์ไบน์ของ Schauberger ซึ่งเหวี่ยงอากาศในลักษณะ twisting type of oscilation (อันนี้ข้าพเจ้าไม่รู้จะสื่อเป็นไทยอย่างไร ประมาณว่า หมุนๆสั่นๆในเวลาเดียวกันแล้วกัน) ผลลัพธ์ก็คือมันสร้างพลังงานที่เข้มข้นรุนแรงทำให้เกิดการลอยตัวขึ้น และต่อมาต้นแบบของอากาศยานที่รู้จักกันในชื่อ Belluzzo-Schriever-Miethe Disks ซึ่งเป็นเครื่องจักรกลรูปทรงจานเส้นผ่าศูนย์กลาง 22 ฟุต โดยอากาศยานชนิดนี้สามรถทำการบินด้วยความเร็ว 2,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และได้มีการวางแผนเพื่อที่จะทำให้มันบินด้วยความเร็วมากถึง 4,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในปี 1945 มันสามารถทำการบินไต่ระดับในแนวดิ่งด้วยความเร็ว 1,300 ไมล์ต่อชั่วโมงขึ้นไปที่ความสูง 40,000 ฟุต ในเวลาน้อยกว่าสามนาที
 
ใน ปี 1956 ‘Das Neue Zeitalter’ ได้เขียนว่า Viktor Schauberger คือผู้ประดิษฐ์และค้นพบพลังงานขับเคลื่อนชนิดใหม่ ซึ่งใช้เพียงแค่อากาศและน้ำเท่านั้นในการสร้างแสงสว่าง ความร้อนและการเคลื่อนที่ รายงานที่ได้แถลงออกไปนั้นได้รายงานว่าจานบินไร้คนบังคับ (unmanned flying disc) ได้ถูกทดสอบเป็นครั้งแรกในปี1945 ในบริเวณใหล้กรุงปราก ซึ่งสามารถลอยตัวในอากาศโดยปราศจากการเคลื่อนไหวโดยกลไกภายนอก สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้เร็วพอๆกับเคลื่อนที่ไปข้างหลัง และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 เมตร
มี ผู้พบเห็นรายอื่น ได้สนับสนุนว่าได้พบเห็นการณ์เช่นนี้ก่อนหน้านี้อีก กล่าวคือจากการสัมภาษณ์ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 1954 Geoge Klein ได้กล่าวว่า เขาได้พบเห็นจานบินทดสอบในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1945 โดยอากาศยานดังกล่าวสามารถไต่ไปที่ระดับความสูง 30,000 ฟุตในเวลาเพียงแค่สามนาที และสามารถทำการบินด้วยความเร็วหลายร้อยไมล์ต่อชั่วโมง
ใน การสัมภาษณ์นี้ Klein ได้ให้ข้อมูลไกลออกไปอีกเกี่ยวกับโครงการการพัฒนาจานบิน บางส่วนของงานได้ทำที่ Peenemunde ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ในการสร้างจรวด V-2 และที่นั่น Wernher von Brau เป็นผู้อำนวยการ Klein ยังกล่าวว่า การสร้างเสถียรภาพของอากาศยาน สามารถทำได้โดยใช้ ไจโรสโคป ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกันกับที่ใช้ในการควบคุมและรักษาเสถียรภาพของจรวด V-2 ภายหลังงานวิจัยได้ถูกย้ายไปที่ Mittlewerke ซึ่งเป็นโรงงานวิจัยที่ถูกสร้างขึ้นในใต้ดิน อยู่ใกล้ๆกับ Nordhausen ในเทือกเขา Harz
ใน ช่วงต้นของสงครามโลกมีหลายฝ่ายของทางด้านพันธมิตรที่ไม่เชื่อว่าเยอรมันมี อาวุธลับที่ร้ายกาจ จนกระทั่งอเมริกาแสดงท่าทีวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าว และท้ายที่สุดพบว่าฮิตเลอร์ไม่เพียงแต่มีอาวุธลับที่ร้ายกาจแต่เขายังมีสิ่ง ที่เราเรียกในปัจจุบันว่า UFO หรืออากาศยารูปทรงคล้ายจานที่ไทยบ้านเรียกว่า จานบิน
ทาง ด้านเยอรมันได้ทำการทดสอบจานบินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันมีความสามารถในการทำการบินด้วยความเร็ว 1,200 ไมล์ต่อชั่วโมง สามารถขึ้นลงในแนวดิ่ง เปลี่ยนวิถีการบิน 90 องศา คล้ายกับเฮลิคอปเตอร์ และมีความล้ำสมัยกว่ากองกำลังของฝ่ายพันธมิตรเป็นอย่างมาก และประการที่สอง เราทราบว่าจานบินของเยอรมันสามารถเพิ่มความเร็วในการทำการบินได้เท่ากับ 2,500 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นสองเท่าของจาบินอันแรก ไม่เพียงแต่เป็นต้นแบบของอากาศยานชนิดใหม่ จานบินดังกล่าวยังได้ติดอาวุธเลเซอร์ที่มีความสามารถในการยิงทะลุเกราะได้ หนากว่า 4 นิ้ว จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งของฝ่ายพันธมิตรที่จะต้องร่วมมือกันในการทำให้ เยอรมันแพ้สงครามให้ได้ เพราะพวกเขามีอาวุธที่ร้ายกาจเหลือเกิน และอาจเป็นภัยต่อความสงบสุขของโลกในภายภาคหน้า หากพวกเขาเป็นฝ่ายชนะสงคราม (นั่นเป็นความคิดของพวกพันธมิตรในครั้งนั้น)
นัก ฟิสิกส์บัลกาเรี่ยนชื่อ Vladimir Terziski ได้เขียนกี่ยวกับจานบินลึกลับของนาซีไว้ว่า “จากคำกล่าวอ้างของ Renato Vesco… เยอรมันได้สร้างความร่วมมือที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างอาวุธที่มีความล้ำหน้าสูง กับพันธมิตรของพวกเขาคืออิตาลีในระหว่างสงคราม ที่โรงงานของบริษัทรถยน Fait ซึ่งตั้งอยู่ที่ทะเลสาบ La Garda ที่โรงงานแห่งนี้มีการตั้งชื่อว่า Air Marshall Hermann Göring โดยที่อิตาลีได้ทำการทดลองเกี่ยวกับอาวุธที่มีความล้ำสมัยมากมายอันได้แก่ จรวด เครื่องบิน ซึ่งได้ถูกสร้างในเยอรมัน ในลักษณะเช่นเดียวกัน เยอรมันได้มีการติดต่อทางด้านการทหารญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด และได้มีการสนับสนุนญี่ปุ่นด้วยเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยี่ที่ล้ำ สมัย เขาพบจากรูปภาพตัวอย่างที่ได้บันทึกรูปของจรวด V-1 ที่ถูกผลิตขึ้นในญี่ปุ่นโดยบริษัทมิตซูบิชิ และเครื่องบินขับไล่ที่ดีที่สุดในโลกเวลานั้นคือ Dormier-335 ได้ถูกสร้างเลียนแบบที่โรงงานใน Kawashima

จาก การอ้างถึงข้อมูลต่างๆของการสมคบคิดกับเเบบลับๆของสมาคมในสังกัดของนาซึ่ง เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจานบินที่มีระบบการบินที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการบินขึ้น (unconventional sauer craft) เช่นสมาคม Vril (Vril Society) ซึ่งถูกต้องสงสัยว่ามีการติดต่อกับอารยธรรมต่างดาวในระบบสุริยะทีมีชื่อว่า อัลเดบาร์ดอน (Aldebardon) ซึ่งได้มีการวางเเผนที่จะพัฒนายานอวกาศที่จะสร้างยานอวกาศเพื่อทำให้พวกเขา สามารถทำการติดต่อกันเเบบตัวต่อตัวได้ ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวไม่ยืนยันว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เเต่ที่เเน่ๆคือมีความเป็นไปได้สูงมากว่ามีกิจกรรมอย่างลับๆเกิดขึ้นในยุโรป กลางในช่วงเวลาดังกล่าว เเละไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องที่ทำอยู่นั้นมีความเกี่ยวข้องกับจานบิน โดยในปี 1934 สมาคม Vril ได้ปรากฏว่ามีการพัฒนายานบินที่มีชื่อรุ่นว่า Vril 1 ซึ่งมีระบบขับดันด้วยเเอนติกราวิตี้ ซึ่งในปีนั้นเป็นปีเดียวกับที่ Viktor Schauberger ได้เข้าพบกับท่านผู้นำ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์


ยาน Vril 1

ใน เวลานั้นสมาคม Vril ยังถูกต้องสงสัยว่ากำลังพัฒนาอากาศยานชนิดใหม่ ซึ่งยานดังกล่าวมีชื่อว่า RFZ-2 ซึ่งยานนี้มีความยาว 16 ฟุต มีระบบขับดันที่ถูกปรับปรุงให้เหมาะสม ที่น่าสนใจคือเมื่อตอนทำการบินจะมีปรากฏการณ์เรื่องสี (colour effect)

ใน ปี 1940 ยาน RFZ-2 ได้ถูกบรรจุเข้าสู่ภาระกิจยานลาดตระเวณ เเละมีหลักฐานรูปถ่ายของยานดังกล่าวอย่างชัดเจน เช่นมันถูกถ่ายได้ที่บริเวณใกล้ๆเเอนตาร์คติก้าในปี 1940


ยาน RFZ 2
แต่ RFZ-2 ยังไม่เป็นที่สนใจนัก มีเพียงหน่วย ss เท่านั้นที่ให้ความสนใจกับงานของสมาคม Vril และได้มีการก่อตั้งองค์กรย่อยภายในหน่วย SS ขึ้น ซึ่งมีชื่อว่า SSE-4 เพื่อพัฒนาพลังงานทางเลือกเพื่อเป็นหลักประกันว่าเยอรมันจะไม่ต้องพึ่งพา แหล่งพลังงานจากภายนอกประเทศอันได้แก่ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และได้สร้างจานบินที่มีลักษณะเช่นเดียวกับ RFZ ซึ่งมีชื่อว่า Haunebu หรือ Vril

ใน ปี 1939 หน่วย SS ได้สร้างจานบินชื่อ RFZ-5 หรือเรียกว่า Haunebu 1 ในเดือน สิงหาคม ปี 1939 มันได้ทำการทดสอบบินและมีหลักฐานยืนยันว่ามันทำงานได้จริง ซึ่งมีทั้งรูปถ่าย และพยานผู้เห็นเหตุการณ์ โดยมันมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 65 ฟุต มีห้องสำหรับผู้โดยสาร ส่วนแบบของยาน Haunebu 2 ที่พบอยู่ในกระดาษเขียนแบบนั้นน่าจะเป็นการออกแบบไว้สำหรับเพื่อการพัฒนาต่อ ไปในอนาคต



ใน วันที่ 17 เมษายน 1945 Miethe ได้เข้าพบฮิตเลอร์พร้อมรายงานถึงการทดสอบ V-7 ซึ่งได้ทำการทดสอบบินเหนือน่านฟ้าทะเลบอลติก ซึ่งเป็นยานบินที่อาศัยหลักการของเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบของ BMW 12 ตัว ในการทดสอบครั้งแรกสามารถบินขึ้นไปที่ความสูง 78,000 ฟุต และในครั้งที่สองบินขึ้นไปได้ที่ 80,000 ฟุต แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีดังกล่าวมาช้าเกินไป ไม่สามารถช่วยให้เยอรมันรอดจากการถูกรุมกินโต๊ะและพ่ายสงครามไปได้ และเมื่อมีข่าวการฆ่าตัวตายของฮิตเลอร์หลุดออกมา จึงถือว่าเป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการ



นัก วิทยาศาสตร์อีกคนที่นำความรู้ใหม่มาสู่อเมริกาคือ Victor Schauberger แต่ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าเขาได้เข้ากับพรรคนาซีหรือไม่ เขาได้รับการดูและอารักขาอย่างดีในฐานะผู้ร่วมงานเป็นเวลา 6 เดือนในช่วงสิ้นสุดสงครามโลก Dr. Walter Miethe และ Rudolf Schriever ได้เข้าสู่อเมริกาภายใต้ Operation Paperclip แต่เพื่อนร่วมงานของเขาอีกคนหนึ่งคือ Herbermohl คาดว่าได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของโซเวียต

ระหว่าง ที่อยู่ในอเมริกา Miethe ได้ทำงานของเขาต่อในเรื่อง จานบิน โดยในช่วงแรกได้ทำงานให้กับกองทัพอากาศของสหรัฐต่อมาถูกย้ายไปที่ A.V. Roe และบริษัทต่างๆ




ใน ปี 1959 Jack Judges นักถ่ายรูปอิสระได้นั่งอยู่บนเครื่องบินซึ่งบินอยู่เหนือโรงงานของบริษัทที่ Miethe ทำงานอยู่ซึ่งตั้งอยู่ในแคนดา เขาได้ถ่ายรูปยานที่มีรูปร่างคล้ายจานจอดอยู่บนพื้น
หลังจากรูปถ่ายดัง กล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้มีการคาดการณ์กันต่างๆนานาว่าจานบินดังกล่าวเป็นอาวุธลับทางด้านการท หาร และมันอาจเป็นจานบินเดียวกับที่ถ่ายรูปได้บนท้องฟ้าเมื่อปีก่อนก็ได้

ปฏิกิริยา โต้ตอบของกองทัพอากาศต่อการคาดเดาดังกล่าวของประชาชน ทำให้กองทัพเผยแพร่รูปภาพของยานดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โดยยานดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า Avro ซึ่งถูกใช้เป็นครั้งแรกในปี 1955

บันทึก ของ CIA ในปีนั้นยืนยันว่ายานดังกล่าวเป็นผลงานของนักวิทยาศาสตร์เยอรมันในช่วง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 การออกแบบดังกล่าวได้ถูกละทิ้งในทศวรรษที่ 1960 โดยกองทัพอากาศบอกว่ามันยังคงอยู่ในขั้นตอนของการทดลอง ในปี 1990 มันถูกเปิดเผยว่ายานดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลับที่มีชื่อว่า Project Silver Bug ซึ่งเป็นโครงการพัฒนายานให้มี ระบบการขึ้นลงในแนวดิ่ง (vertical take-off and landing, VTOL) เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องการขาดแคลนรันเวย์ และลดความเสี่ยงต่อการที่รันเวย์ถูกโจมตีและเป็นหลักประกันความมั่นใจว่าจะ มียานบินสามารถบินขึ้นต่อสู้ได้ในทุกกรณี

นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆก็มี ชะตาชีวิตที่คล้ายๆกัน ถือถูกนำตัวเข้าสู่อเมริกาในช่วงหลังสงครามโลกและถูกอเมริกาใช้ทำงานในความ เชี่ยวชาญของแต่ละบุคคล เช่นงานออกแบบทางวิศวกรรมต่างๆ ในบันทึกของ America’s Aircraft Year Book ได้บอกถึงว่าคนพวกนี้ได้ทำงานให้กับอเมริกามากขนาดไหนที่ Ft. Bliss และ Wright Field ในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่ทำงานอยู่ที่ Wright Field ประกอบด้วย Rudolf Hermann, Alaxander Lippisch, Heinz Schmitt, Helmut Heinrich, Fritz Doblhoff และ Ernst Zundel

Hermann ได้เคยเข้าร่วมโครงการวิจัยที่ Peenemunde Research Station ในเรื่องเกี่ยวกับอากาศพลศาสตร์ ซึ่งที่นี่เป็นสถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดของจรวด V-2 ที่ใช้ยิงถล่มเกาะอังกฤษ ด้วยความที่เขาเป็นผู้เชียวชาญด้านความเร็วเหนือเสียง (Supersonics) เขาจึงถูกต้องสงสัยว่าเคยทำงานอยู่ที่อุโมงค์ลมความเร็วเหนือเสียงที่ Kochel ใน Bavarian Alps เขายังเป็นสมาชิกในกลุ่มของโครงการแห่งอนาคตที่ผลักดันโดยฮิตเลอร์ในการ สร้างสถานีอวกาศเพื่อใช้ในการเติมเชื้อเพลิงให้กับจรวดซึ่งสถานีอวกาศดัง กล่าวโคจรอยู่รอบโลกที่ความสูง 4,000 ไมล์

นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มนี้ อีกคนหนึ่งที่น่าสนใจ Dr. Alaxander Lippisch เขาได้ออกแบบยานบินที่ในเวลานักผู้คนมักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นจานบิน Lippisch ได้พัฒนาโครงการเป็นจำนวนมากในช่วงก่อนเข้าสู่สงคราม ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1944 Lippisch พร้อมกับนักเรียนของเขาได้ร่วมกันสร้างยาน DM-1a delta โดยยานดังกล่าวมีมุมที่ของด้านหน้าของยานกาง 60 องศา โดยยานลำนี้พบว่าภายหลังสามารถทำการบินด้วยความเร็ว 497 ไมล์ต่อชั่วโมงโดยใช้มอเตอร์จรวด ยานดังกล่าวถูกนำลงเรือสู่อเมริกาในช่วงหลังสงครามโลก ยาน DM-1 ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างยานรูป Delta-Wing แก่อเมริกาเช่นยานบิน F-102, F-104

DM-1a delta
Lippisch ได้เข้าร่วมกับบริษัท Collin Radio ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขปัญหาในเรื่องเกี่ยวกับอวกาศยาน ในปี 1966 ได้ก่อตั้ง Lippisch Corporation เขาได้พัฒนา X-113A Aerofoil Boat ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจลงในปี 1976 โดยมีอายุรวมได้ 81 ปี ยานอีกชนิดหนึ่งที่ดูมีลักษณะน่าสงสัยว่าเป็นจานบินหรือไม่คือ AS-6 โดยยานนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดย Auther Sack หลังจากได้รับการสนับสนุนและให้กำลังใจโดย Ernst Udet (German’s Air Minister in 1939) โดยการก่อสร้างเริ่มต้นที่บริษัท Mitteldeutsche Moterwerke และสร้างเสร็จที่ Flugplatz-Werkstadtt ซึ่งอยู่ที่ฐานทัพอากาศ Brandis ในช่วงต้นของปี 1944 โดยยานดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จและไม่ได้รับการพัฒนาต่อ

ยานที่มี ลักษณะคล้ายกับ AS-6 คือ V-173 ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท Chance-Vought ที่รู้จักกันในชื่อ แพนเค้น (Flying Pancake) V-173 เป็นสิ่งหนึ่งที่ท่านผู้มีอิทธิพลทั้งหลายในอเมริกายอมรับว่าเป็นเทคโนโลยี ที่พัฒนาโดยเยอรมันในระหว่างสงครามโลก มีความเกี่ยวพันกับการเห็น UFO บ่อยครั้งในอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ 1940

ทัพเรือสหรัฐได้เผยแพร่ภาพ V-173 ในปี 1947 ซึ่งในช่วงนั้นมีกระแสความตื่นเต้นเรื่อง UFO เนื่องจากมีการพาดหัวข่าวว่ามีจานบินตกและถูกจับได้ที่ Roswell

ในปี 1977 Thomas C. Smith ได้เผยแพร่เรื่องราวของเขาในหนังสือพิมพ์ Lancaster New Eoa ใน Lancaster, Pennslvania ฉบับวันที่ 12 กรกฎาคม 1997 ในบทความกล่าวว่าเขาได้พบเห็นจานบิน แต่มันไม่ใช่ผู้เยี่ยมเยียนจากต่างพิภพ มันเป็นเพียงวิศวกรรมของมนุษยชาติ โดยยานทดสอบจอดอยู่ใน Connecticut Hangar


“โอ้ พระเจ้า อะไร?” Smith ในวัย 20 ปีอุทานด้วยความตื่นเต้น ที่มันจอดอยู่ตรงนั้นบนเครื่องค้ำยัน (เขาระลึกความทรงจำในวันนั้น) ยานบินที่เป็นที่กล่าวขวัญรูปจานทรงรีมีความกว้าง 40 ฟุต ลอยตัวนิ่งอยู่สูงจากพื้น 10 ฟุต แล้วบินจากไป การขับเคลื่อนของมันใช้ใบพัดคู่ ส่วนนักบินอยู่ในห้องคนขับ ตอนนี้ Smith ในวัยเกษียณอายุราชการ 72 ปี ได้รำลึกความหลังเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของตำนานแห่ง Roswell ยานลำที่ตกจะเป็นยานลำเดียวกับที่เขากล่าวอ้างว่าเคยเห็นที่ hangar ดังกล่าวหรือไม่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ที่แน่ๆเขามีความเช่นว่าปรากฏการณ์ UFO ที่คนอเมริกันส่วนใหญ่เห็นล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า แท้ที่จริงน่าจะเป็นวิศวกรรมของมนุษยชาติเอง

ในช่วงเวลาที่ Smith เพิ่งจบการศึกษาสาขาวิศวกรรมเครื่องกลจาก Penn State University เขาได้ทำงานให้กับบริษัท Chance-Vought Aircraft ใน Stratford, Conn ซึ่งได้สร้างเครื่องบินให้กับทัพเรือของอเมริกา ในขณะนั้นเขากำลังทดสอบวัสดุคอมโพสิทที่เกิดจากการนำแผ่นเหล็กสองแผ่นมา ประกบกับแผ่นไม้ลักษณะเป็นแซนวิช

เขากล่าวว่าเขามีความกระเหี้ยน กระหือรืออยากรู้ว่าจะมีสิ่งใดบางที่สามารถสร้างโดยใช้งานวัสดุทดสอบชนิดนี้ ได้ ครั้งหนึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาได้พาเขาไปที่ hangar ลับแห่งหนึ่งของทางรัฐบาลเพื่อแสดง เจ็ทรุ่นใหม่ให้เขาดู แต่เขากลับสนใจยานบินอีกลำที่อยู่ใน hangar ซึ่งมีลักษณะเป็นจานบินที่สร้างจากวัสดุที่เขากำลังทดสอบอยู่

ยานบิน ดังกล่าวมีสีกากี มีความหนา ไม่กี่นิ้วที่ขอบ และมีความหนา 2 ฟุตที่ห้องคนขับ และมีหน้าต่างรูปฟอง (bubble window)สำหรับมองเพื่อให้นักบินสามารถมองไปข้างหน้าและมองลงไปที่พื้นได้ ยานบินลำนี้มีสองใบพัด และหางเสือสองอันที่ตูด Smith ได้กลับมาที่นั่นในตอนดึกเพื่อดูการทดสอบการบิน เขากล่าวว่าจานดังกล่าวสามารถบินขึ้นในแนวดิ่งจากนั้นก็ลอยหายไป
“มันยก ตัวขึ้นจากพื้นแล้วก็ลอยหายไปในความมืด” เขากล่าว และหลังจากนั้นก็มีข่าวรายงานการเห็น UFO ในพื้นที่บริเวณดังกล่าว ในปีที่เขาลาออกจากบริษัท Chance-Vought ในปี 1947 บริษัทได้ย้ายโรงงานไปอยู่ที่เท็กซัส ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสภาวะที่เหมาะสมต่อการทดสอบการบินมากกว่า ซึ่งในปีที่บริษัทย้ายโรงงานไปอยู่ที่เท็กซัสก็เป็นปีเดียวกับที่มีข่าวจาน บินตกที่ Roswell ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญอะไรเช่นนี้



อากาศยาน อื่นๆในช่วงเวลานั้นที่ดูแล้วมีลักษณะไม่เอื้ออำนวยต่อการบินคือยานบินที่มี ชื่อว่า Hortan ซึ่ง Walter และ Reimer เป็นคนสร้างมันขึ้นมาในเยอรมันในช่วงระหว่างปี 1930 ถึง 1940 ซึ่งมีหลายรุ่น พวกเขาเรียกมันว่า Ho Series รุ่นแรกของซีรีส์นี้คือ Ho I ซึ่งเป็นยานบินแบบปีกบินอย่างง่าย

ในช่วงท้ายของทศวรรษพวกเขาได้ พัฒนายาน Ho III ซึ่งเป็นเครื่องร่อนที่มีโครงเป็นเหล็กซึ่งมีการใช้ใบพัดที่ folding blade propeller สำหรับใช้ทำการบิน และในปี 1944 พวกเขาได้สร้างยานต้นแบบ Ho IX ได้สำเร็จ ถูกให้กำลังโดย Junker Jumbo 004B turbojet โดยยานบินนี้มีโครงเป็นเหล็กและถูกหุ้มภายนอกด้วยไม้ plywood ภายหลังทำการทดสอบการบินแบบ maiden fight ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ได้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ ทัพอากาศของเยอรมันจึงสั่ง Gotha Waggonfabrick สร้างยานบินชนิดนี้จำนวนสี่สิบลำ โดยให้มีชื่อว่า Ho-229

เมื่อกอง กำลังสหรัฐบุกเข้าถึงโรงงาน Gotha ในวันที่ 14 เมษายน ปี 1945 พวกมันได้เข้ายึดโรงงานแล้วนำเอายาน Ho IX V3 ที่สร้างใกล้เสร็จใส่เรือกลับสหรัฐไป

ในความเป็นจริงแล้วยานบินที่ ออกแบบโดยวิศวกรเยอรมันดูคล้ายกับ UFO ที่ผู้คนในอเมริกันรายงานว่าได้พบเห็นอยู่กลางเวหาในวาระต่างๆในช่วงหลัง สงครามโลก

Kenneth Arnold เองได้พรรณนาสิ่งที่เขาได้เห็น หลังจากที่เขาได้วาดภาพว่าเขาได้เห็นอะไรมา ทำให้รู้ว่ามันเหมือนจานกลมสีเงินดังรูป


ภาพวาดของยานที่ Kenneth Arnold เห็น
ยาน Hortan



ยาน บินที่พัฒนาขึ้นโดย Lockheed Skunk Works ใน Palmdale, California เป็นยานลาดตระเวนที่ไร้คนขับ มันมีลักษณะรูปทรงคล้ายจานพร้อมทั้งมีปีกที่ยาว และบ่อยครั้งที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นจานบินเมื่อมองในมุมที่เหมาะสม

ยาน ต้นแบบรูปทรงจานขนาดใหญ่ได้รับการออกแบบเพื่อเป็นยานขนส่งแห่งอนาคต จากการออกแบบโดยบริษัทผลิตเครื่องบินแห่งหนึ่งในอังกฤษ ยานบินดังกล่าวได้ถูกวางแผ่นให้ทำการบินด้วยความเร็วประมาณ 100 ไมล์ต่อชั่วโมงที่ความสูง 5,000 ฟุต

ดังนั้น มีความเป็นไปได้ที่ว่าการรายงานการพบเห็น UFO อย่างมากมายในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเป็นการพบเห็นยานบินทดสอบในโครงการลับของอเมริกา ที่ได้รับเทคโนโลยีมาจากเยอรมันอีกต่อหนึ่ง การที่ยานไม่สามารถระบุหรือจำแนกประเภทได้ก็เพราะมันเป็นยานในโครงการลับ นั่นเอง

มีข่าวลือว่ายานบินแบบใหม่ลักษณะ ทรงจานที่ออกแบบโดยเยอรมันนั้นเป็นความพยายามในการที่จะสร้างเลียนแบบจากจาน บินของมนุษย์ต่างดาวของแท้ที่มีข่าวว่าเคยประสบอุบัติเหตุตกอยู่ในดินแดนของ เยอรมัน การที่ความพยายามดังกล่าวของเยอรมันไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากไม่สามารถ เลียนแบบระบบควบคุมทิศทางและระบบขับดันได้ดีเท่าที่ควร

Corso ได้เผยแพร่หนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า The Day after Roswell ทางการสหรัฐระบุว่าพวกเขารู้สึก Shock กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “จานบินตก” ซึ่งเขาได้เปิดเผยความจริงหลายอย่างในเหตุการณ์ครั้งนี้

เบื้อง หลังของ Corso ค่อนข้างใหญ่โต เขาเคยเป็นหัวหน้าของ US Army’s Forien Technology Division และเป็นสมาชิกของ President Eisenhower’s National Security Council ในปี 1963หลังจากเกษียณอายุราชการเขาได้ไปทำงานให้กับ Senator Thurmond เขาได้ถูกสัมภาษณ์โดย Michael Lindemann ในข่าว CNI ในวันที่ 5 กรกฎาคม 1997 ว่า
Michael Lindemann: มีข่าวลือและการคาดการกันต่างๆนานาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ Roswell เกี่ยวกับการตกของจานบิน เทคโนโลยีต่างๆที่เราได้จากจานบิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกใช่มั้ยที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น มีหลักฐานหลายอย่างชี้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมัน นาซีได้ทำการศึกษาบางสิ่งที่ได้จากจานบินที่ตกในประเทศเขาแล้วนำมาพัฒนาเป็น ของตนเอง คุณคิดอย่างไรกับข้อเท็จจริงดังกล่าว

Corso: ใช่ผมเชื่อเช่นนั้น ผมมีนักวิทยาศาสตร์เยอรมันอยู่ในทีม และเราเคยได้พูดคุยในเรื่องดังกล่าวกันมาบางพอสมควร ผมเคยได้พูดคุยกับ Orberth และ Von Braun พวกเขากล่าวว่า “มัน (จานบิน) ถูกจับได้บางแห่ง แล้วพวกเขา (เยอรมัน) ก็ได้เก็บชิ้นส่วนทั้งหมดของมันมาเพื่อทำการศึกษา พวกเขาทำงานกับมัน แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับระบบขับดันได้ พวกเขาทำการทดลองเยอะมากเกี่ยวกับจานบิน แต่มีอันหนึ่งสามารถบินขึ้นไปได้สูงถึง 12,000 ฟุต ไม่เพียงแต่เท่านั้นพวกเขายังประสบปัญหากับระบบนำทางอีกด้วย”

ใน หนังสือของ Corso ได้อธิบายถึง UFO ที่ถูกจับได้ที่ Roswell โดยกล่าวว่ามันเป็นยานบินรูปทรงพระจันทร์เสี้ยว มีลักษณะคล้ายกับยานบินชนิดปีกบิน (Flying Wing) Horten ที่ปรากฏในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้ตั้งสมมติฐานพวกเยอรมันคงได้เจอกับอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยรู้ แต่จากการสนทนากับ Wernher von Braun และ Willey Ley ที่ Alamodordo ในหนึ่งวันหลังจากการยืนยันการจับวัตถุประหลาดที่เรียกว่า UFO ได้ เขากล่าวว่ายังมีเรื่องราวลึกๆเกี่ยวกับความเป็นมาของวิศวกรรมเยอรมันอันล้ำ ยุค

เรื่องราวลึกๆดังกล่าวได้รับการยืนยัน จากบิดาแห่งจรวดยุคใหม่ Hermann Oberth ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการติดต่อกันระหว่างนาซีกับต่างดาว เขากล่าวว่า “เราไม่สามารถให้เครดิตกับนักวิทยาศาสตร์เยอรมันเพียงอย่างเดียวในการที่เรา มีเทคโนโลยีล้ำยุค ทุกอย่างคงเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเราไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก………” เมื่อถูกถามว่าจากใคร Oberth ตอบว่า ไม่ทราบ รู้แต่ว่าเค้ามาจากนอกโลก

Sources:
1) New York Times 14th December 1944..
2) Lore, Gordon I. R. Jnr., and Deneault, Harold H., Jnr., ‘Mysteries of the Skies; UFOs in Perspective’ Prentice-Hall, New Jersey 1968.
3) ‘Der Spiegel’ magazine 30th March 1950
4) Third Reich Video
5) Jungk, Robert, ‘Brighter Than a Thousand Suns’
6) Ibid
7) Memorandum to Members of the Advisory Committee on Human Radiation Experiments 5th April 1995, from Advisory Committee Staff ‘Post World War II Recruitment of German Scientists – Operation Paperclip’
8) Stuhlinger, Ernest and Ordway, Frederick III, ‘Wernher von Braun: Crusader for Space’ p. 67 Kreiger Publishing Company, Florida 1994.
9) Memorandum to Members of the Advisory Committee on Human Radiation Experiments 5th April 1995, from Advisory Committee Staff ‘Post World War II Recruitment of German Scientists – Operation Paperclip’
10) Ibid.
11) Ibid.
12) Zapezauer, Mark ‘The CIA’s Greatest Hits’
13) Memorandum to Members of the Advisory Committee on Human Radiation Experiments 5th April 1995, from Advisory Committee Staff ‘Post World War II Recruitment of German Scientists – Operation Paperclip’
14) Ibid.
15) Buckbee, Edward O., ‘Biographical Data: Wernher von Braun’ Alabama Space and Rocket Centre, 1983.
16) Stuhlinger, Ernest and Ordway, Frederick III, ‘Wernher von Braun: Crusader for Space’ p.15, Kreiger Publishing Company, Florida 1994.Foundations for Globally Managing Extraterrestrial Affairs – The Legacy of the Nazi Germany-Extraterrestrial Connection
17) Bergaust, Erik, ‘Wernher von Braun’ , National Space Institute, Washington DC, 1978.
18) Dooling, David, ‘Academic American Encyclopaedia’Grolier Inc 1993.
19) Donefer, Charles, ‘Wernher von Braun: National Hero or Enemy to the World?’ 1996
20) Ibid
21) Buckbee, Edward O., ‘Biographical Data: Wernher von Braun’ Alabama Space and Rocket Centre, 1983.
22) Ibid
23) DeVorkin, David H., ‘Science With A Vengeance: How the Military Created the US Space Sciences After World War II’, Springer-Verlag, New York 1992.
24) Lancaster New Era newspaper, 12th July 1997.
25) Corso, Philip, ‘The Day After Roswell’ Pocket Books, New York 1997
26) Collyns, Robin, ‘Did Spacemen Colonise the Earth?’ , Pelham Books, London 1974.
27) ‘News Europa’ Jan 1959
 
ที่มา  : http://sujatewanchat.blogspot.com/2009/11/ufo-2.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น