วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

Mystery Of the Moon and Mars

ข่าวคราวของสิ่งก่อสร้างบนดาวอังคาร...

...ซึ่งลักษณะคล้ายคลึงกับสฟิงซ์แห่งกิเซยังไม่จางหาย ตรงข้ามครับ กลับมีคนค้นพบและพยายามหาหลักฐาน ซึ่งเป็นทั้งภาพถ่ายและตำนาน ออกมานำเสนอสู่สาธารณชนกันอยู่เรื่อยๆ
ในจุดนี้แหละครับ ที่ทำให้มีคนปิ๊งในปัญญาขึ้นมาว่า หากสิ่งก่อสร้างบนดาวอังคารมันมีจริงแล้วไซร้ ไฉนเลยมันจะไม่มีร่องรอยปรากฏอยู่ บนดาวบ้านใกล้เรือนเคียง เช่นว่าดวงจันทร์หรือโลกบ้าง

ภาพถ่ายที่ได้มาจากปฏิบัติการของนาสาบนดวงจันทร์ มีอยู่หลายภาพครับ ที่นาสาแถลงออกมาว่าเกิดจากความผิดพลาดของกล้อง แต่ก็นั่นแหละ หลายคนไม่เชื่อและพยายามพิสูจน์ ว่าเจ้าภาพผิดพลาดเหล่านั้น พอจะมีอะไรซ่อนอยู่บ้างหรือเปล่า

ต้องขอบคุณเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิคในปัจจุบันครับ เพราะความก้าวหน้าที่ว่า ทำให้คนซึ่งอยู่นอกองค์การอวกาศ ได้มีส่วนรับรู้ "อะไร" บางอย่าง ซึ่งทางองค์การอวกาศของชาติใหญ่ๆพยายามจะปกปิดอยู่ เรื่องของดาวอังคารเราจะยังไม่พูดถึงกันนะครับ มาว่ากันเรื่องเมืองบนดวงจันทร์ ซึ่งเพิ่งมีข่าวออกมากันดีกว่า

ความเป็นมา
ในเดือนกันยายน ปี 1992 ไม่กี่วัน หลังการสำรวจดาวอังคารตามโปรเจ็คของนาสา ริชาร์ด โฮกแลนด์ แห่งศูนย์วิจัยทางอวกาศแห่งหนึ่งของอเมริกา ซึ่งตอนนั้นเขากำลังศึกษาและทำแผนที่จาก ภาพถ่ายบนดวงจันทร์ ริชาร์ดบังเอิญไปสะดุดตากับภาพถ่ายหนึ่งเข้า น่าแปลกครับ เพราะภาพที่ริชาร์ดเห็นนั้น เป็นภาพที่น่าทึ่งและเหมือนกับมันบอกให้เขาทราบว่า โปรเจ็คใหม่ ซึ่งเป็นการบุกเบิกการศึกษาความสัมพันธ์ อันจะเป็นสะพานเชื่อม ระหว่าง โลก ดวงจันทร์ และ ดาวอังคารได้บังเกิดขึ้นแล้ว

ลืมบอกไปว่าภาพนั้น เป็นภาพขยายซอกมุมเล็กๆของบรรดาหลุมอุกกาบาต อันมีอยู่กลาดเกลื่อนดวงจันทร์ ความสะดุดใจนั่นแหละครับที่ทำให้เขาขยายขึ้นมาดู ไม่รู้เหมือนกันว่า ริชาร์ดจะร้อง "ยูเรกา" และกระโดดเหย็งๆเหมือนอาร์คิมิดิสหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ งานนี้เซอร์ไพรส์กันไปทั้ง Lab เลยครับ



0015_15.jpg


ท่านที่พอจะรู้เรื่องทางดาราศาสตร์ คงพอจะเคยได้ยินชื่อ หลุมอุกาบาตยูเคิร์ต (Ukert crater) บ้างนะครับ เจ้าหลุมที่ว่านี้ เป็นต้นตอของเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่ เนื่องด้วยว่า ภาพถ่ายเจ้ากรรมของเรา ชี้อาณาบริเวณสามเหลี่ยมด้านเท่าขนาดใหญ่มากๆ ซึ่งปรากฏในหลุมอุกาบาตนั้น 16 ไมล์แหละครับ สำหรับความกว้างใหญ่ของมัน ซึ่งผมว่าถ้าจะมีเมืองซ่อนอยู่แถวนั้น ก็ต้องเป็นเมืองที่ขนาดใหญ่เอาการเหมือนกัน

ส่วนเพิ่มเติมสำหรับหลุมนี้ก็คือ เราจะเห็นมันได้ค่อนข้างชัดเจน ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ด้วยการมองจากกล้องโทรทัศน์หรือ กล้องดูดาวครับ มีคำยืนยันจากนักดาราศาสตร์สมัครเล่นหลายคนว่า พวกเขาเคยเห็น "แสง" อะไรบางอย่าง ซึ่งส่องวิบวับวอมแวม จากบริเวณ Ukert Crater สิ่งที่ริชาร์ดนำมาวิเคราะห์และสรุปก็คือ ภาพถ่ายนี้แสดงให้เห็นเมือง และสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ เรามาดูกันนะครับ ว่าริชาร์ด โฮกแลนด์ สรุปเรื่องนี้ว่าอย่างไร


0015_14.jpg

0015_13.jpg


ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าสิ่งที่โฮกแลนด์ค้นพบนั้น เมื่อไหร่จะมีคำยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเป็นจริง แต่ไม่ต้องห่วงครับ นายโซนิคจะคอยเกาะติดสถานการณ์เอาไว้ และคอยรายงานให้ทราบเป็นระยะๆ รอหน่อยละกัน


ว่าด้วย CYDONIA and MARS

เรื่องของ Face on Mars หรือใบหน้าบนดาวอังคาร เป็นที่ถกเถียงกันมาหลายปีแล้ว ว่ามันเป็นเรื่องจริง เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีอยุ่บนดาวอังคารจริงๆ หรือว่าเป็นแค่ความบังเอิญ อันเนื่องมาจากข้อผิดพลาดทางเทคนิคของการถ่ายภาพ คนที่มีมนุษย์ต่างดาวในหัวใจต่างก็หวังกันลึกๆ ว่ามันน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมบนดาวอังคาร เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกก็อยู่ไม่ไกลเลย



cydonia-a02.jpg


จากการศึกษาหลายต่อหลายปี จากกลุ่มนักวิชาการและนักลึกลับศาสตร์จำนวนมากพบว่า เรื่องของดาวอังคาร มีจารึกอยู่ในตำนานโบราณมากมาย โดยเฉพาะคัมภ์ไบเบิล มีการกล่าวถึงการสู้รบของเทวทูตสองฝ่าย บางคนเชื่อว่า เหตุการในพระคัมภีร็ตอนหนึ่งที่กล่าวถึงที่มั่นของเทวทูตฝ่ายกบฏ ก็คือเมืองบนดาวอังคารนี่เอง แต่นั่นก็เป็นเพียงการตีความครับ หาหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ ดังนั้นคนที่กระหายใคร่รู้เรื่องนี้จึงได้แต่รอผลพิสูจน์จากองค์การนาสา เพียงอย่างเดียว นับตั้งแต่มีการพบใบหน้าบนภาพถ่ายใบแรก นาสาก็ส่งยานอวกาศและ ดาวเทียมไปสำรวจดาวอังคารเป็นว่าเล่น น่าเสียดายที่ไม่มีลำไหนสามารถลงไปถ่ายภาพชนิดใกล้ชิดได้เลย เนื่องจากเครื่องมักจะ "ขัดข้อง" ทุกครั้งเมื่อเข้าสู่บรรยากาศของดาวอังคาร


cydonia-a01.jpg


ตรงนี้เองที่ทำให้สาวกทฤษฎีมนุษย์ต่าง ดาวทั้งหลายพากันเฮโล และเชื่อมั่นเข้าไปใหญ่ว่า บนดาวอังคาร ต้องมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอย่างไม่ต้องสงสัย แถมลักษณะของใบหน้านั้นยังบังเอิญไปละม้ายคล้ายคลึงกับสฟิงซ์แห่งเมือง กีเซห์เข้าอีกด้วย หรือว่าอารยธรรมโบราณของอียิปต์จะเกี่ยวข้องกับดาวอังคาร และบรรดาเทวดาโบราณของอียิปต์ ที่ตามตำนานกล่าวว่า มาสั่งสอนศิลปวิทยาการให้พวกเขามาจากหรือเคยพำนักอยู่บนดาวอังคารชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ในปี 1976 เป็นครั้งแรกที่ผู้คนบนโลกได้ยลโฉมภาพพิลึกพิลั่นภาพนี้ เป็นภาพถ่ายจากยานไวกิ้งซึ่งถ่ายได้จากบริเวณที่เรียกว่า Cydonia บนดาวอังคาร องค์การนาสาแถลงว่า นี่เป็นเพียงข้อผิดพลาดของภาพถ่าย เนื่องจากการเล่นตลกของมุมกล้อง แสง และเงา เลยบังเอิญถ่ายรูปของภูเขาเป็นใบหน้าขึ้นมา หลังจากมีการสำรวจอีกหลายครั้ง และถ่ายภาพจากอีกหลายๆมุม เรื่องก็ชักจะไม่ตลกเสียแล้ว เนื่องจากว่า ภาพของใบหน้านั้นยังคงปรากฏอยู่เหมือนเดิม มันหมายความว่าอะไรครับ? สิ่งก่อสร้างรูปใบหน้าคนนี้เป็นของจริงอย่างนั้นหรือ?

ไม่มีใครตอบเรื่องนี้ได้ครับ นอกเสียจากนาสาที่ยังคง "อมพะนำ" ไม่ยอมปริปากอะไรมาจนถึงทุกวันนี้ เอาเถอะครับ ถึงนาสาไม่ยอมบอกอะไรแก่ประชาชนทั่วไปอย่างเรา อีกหน่อยเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็คงบอกเราเองและน่า

เรามาดูรายละเอียด เกี่ยวกับทั่วไปเกี่ยวกับดาวอังคาร และภาพถ่ายเล็กๆน้อยๆ เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยกันหน่อยดีไหมครับ?



0015_6.jpg


ชาวกรีกโบราณเรียกดาวดวงนี้ว่า Red Planet หรือ ดาวเคราะห์สีแดง Mars เป็นชื่อโรมันครับ ชื่อในภาษากรีกคือ Ares เทพแห่งสงคราม เป็นดวงดาวที่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ชัดเจนพอๆกับดาวศุกร์ และใช้เป็นเครื่องหมายบอกทิศของนักเดินทางในสมัยก่อน

ดาวอังคารเป็นที่ดึงดูดใจของนักดาราศาสตร์ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น อาจจะเนื่องมาจากความสวยงามของมันครับ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า อาจเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคาร ในขณะที่บางคนเสนอแนวคิดว่า ต่อไป ดาวอังคารอาจเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตในอนาคต ก็ตามแต่จะว่ากันไปล่ะครับ ที่แน่ๆก็คือ ดาวอังคารจะเป็นเป้าหมายแรกของมนุษย์ชาติ ในยุคแห่งการบุกเบิกอวกาศ ซึ่งจะมาถึงในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

ดาวอังคารเป็นดาวดวงแรกที่เป็นทางผ่าน หากมนุษย์ต้องการเดินทางออกนอกระบบสุริยะ เชื่อไหมครับว่า ในช่วงที่ดาวอังคารอยู่ใกล้โลกที่สุด มันจะดูสว่างสุกใสกว่าดาวดวงใดๆบนท้องฟ้า พื้นดินสีแดงของดาวอังคารทำให้นักวิทยาศาสตร์เรียกดาวดวงนี้กันเล่นๆว่า "Red Planet" ครับ

ปีหนึ่งของดาวอังคารกินเวลา 779.9 วันหากนับตามเวลาของโลก และวันหนึ่งบนดาวอังคารจะยาวกว่าโลกของเราประมาณ 37 นาที บรรยากาศส่วนมากเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ประปรายที่แกนเหนือและใต้ของดาว พื้นผิวของดาวอังคารเต็มไปด้วยหลุมอุกาบาต หุบเหว แนวภูเขาไฟ ตลอดจนคลองยาวเหยียดที่ไม่มีน้ำ ปกติแล้วดาวอังคารจะมีพายุอย่างรุนแรงตลอดเวลา อนุภาคฝุ่นเล็กๆเหล่านี้จะลอยขึ้นสูงมาก จนบางครั้งปกคลุมชั้นบรรยากาศจนมองไม่เห็นพื้นผิวของดาวเลย ดาวอังคารมีดวงจัทร์เป็นบริวารอยู่สองดวงครับ ชื่อ โฟโบส กับ เดมิออส ( Phobos and Demios ) เนื่องจากขนาดของดวงจันทร์ทั้งสองนี้เล็กมาก นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า ดวงจันทร์เหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากแต่เป็นอุกาบาต หรือดาวเคราะห์น้อยที่บังเอิญโคจรผ่านมา แล้วถูกแรงดึงดูดของดาวอังคารจับเอาไว้ครับ

การสำรวจดาวอังคารเริ่มกันมาสองร้อยปีแล้วครับ หากจะนับเฉพาะการสำรวจอย่างเป็นทางการของวิชาดาราศาสตร์ปัจจุบัน มีการใช้กล้องโทรทัศน์ส่องดูพื้นผิวดาว และมีการร่างแผนที่อย่างหยาบๆขึ้น จำแนกภูมิประเทศของดาวอังคารออกเป็นส่วนๆ นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า บนดาวอังคารต้องมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เพราะในปี 1877 จีโอวานนี่ แชพพาเรลลี่ ได้ส่องกล้องเห็นแนวคลองบนดาวอังคาร ลักษณะของมันเป็นคลองขนาดใหญ่คล้ายแม่น้ำ การค้นพบของแชพพาเรลลี่ ได้จุดประกายไฟแห่งการค้นหาให้กับนักดาราศาสตร์ในสมัยนั้นเป็นอย่างมากครับ แม้แต่นักดาราศาสตร์ใหญ่เปอร์ซิวาล โลเวล ก็ยังเอากับเขาด้วย เรื่องคลองบนดาวอังคารถือเป็นเรื่องหน้าแตกมโหฬารของวงการดาราศาสตร์ ความสนุกของมันเอามาเล่าเป็นมินิซีรี่ส์ใหญ่ๆได้หลายตอนแหละครับ ใครอยากฟังก็เมล์มาบอกกล่าวกันเน้อ จะเอามาลง



cydonia-a03.jpg


นักดาราศาสตร์ยุคใหม่ผิดหวังไปตามๆกันครับ เมื่อการสำรวจของศตวรรษที่ 20 นำทีมโดยสหรัฐอเมริกาและโซเวียตรัสเซียเก่า ต่างยืนยันว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆบนดาวอังคาร และยิ่งผิดหวังหนักขึ้นไปอีก เมื่อได้ศึกษาถึงบรรยากาศของดาวอังคาร ตลอดจนภูมิประเทศ เพราะมันไม่เอื้ออำนวยต่อสิ่งมีชีวิตเลย พวกจุลชีวะอาจจะพอดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่สัตว์ที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อน พอที่จะสร้างอารยธรรมขึ้นมาอย่างมนุษย์เนี่ย เห็นทีจะมีอยู่ยากครับ

ความหวังของการพบสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารเริ่มเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนาสาและองค์กรอวกาศ ของอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย ต่างทยอยประกาศรายละเอียดการค้นพบ ที่ยานสำรวจต่างๆได้มาจากดาวอังคาร ภาพถ่ายจากยานมารีเนอร์ 9 และ ยานสำรวจจากยานไวกิ้ง 1 และ 2 ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มคล้อยตามแล้วว่า บนดาวอังคาร มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่โต ลักษณะเป็นปิระมิดเรียงรายกันล้อมรอบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะเป็นใบหน้าคนอยู่จริง


cydonia-a05.jpg

ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาภาพ "ใบหน้าบนดาวอังคาร"


cydonia-a04.jpg

ส่วนที่เรียกกันว่า "Inca City"ครับ



รายนามของยานสำรวจ ที่เคยสำรวจดาวอังคาร

* Mars 1960A - USSR Mars Probe - (October 10, 1960)
* Mars 1960B - USSR Mars Probe - (October 14, 1960)
* Mars 1962A - USSR Mars Flyby - (October 24, 1962)
* Mars 1 - USSR Mars Flyby - 893 kg - (November 1, 1962)
* Mars 1962B - USSR Mars lander - (November 4, 1962)
* Mariner 3 - USA Mars Flyby - 260 kg - (November 5, 1964)
* Mariner 4 - USA Mars Flyby - 260 kg - (November 28, 1964 - December 20, 1967)
* Zond 2 - USSR Mars Flyby - (November 30, 1964)
* Mariner 6 - USA Mars Flyby - 412 kg - (February 24, 1969)
* Mariner 7 - USA Mars Flyby - 412 kg - (March 27, 1969)
* Mariner 8 - USA Mars Flyby - (May 8, 1971)
* Kosmos 419 - USSR Mars Probe - (May 10, 1971)
* Mars 2 - USSR Mars Orbiter/Soft Lander - 4,650 kg - (May 19, 1971)
* Mars 3 - USSR Mars Orbiter/Soft Lander - 4,643 kg - (May 28, 1971)
* Mariner 9 - USA Mars Orbiter - 974 kg - (May 30, 1971 - 1972)
* Mars 4 - USSR Mars Orbiter - 4,650 kg - (July 21, 1973)
* Mars 5 - USSR Mars Orbiter - 4,650 kg - (July 25, 1973)
* Mars 6 - USSR Mars Orbiter/Soft Lander - 4,650 kg - (August 5, 1973)
* Mars 7 - USSR Mars Orbiter/Soft Lander - 4,650 kg - (August 9, 1973)
* Viking 1 - USA Mars Orbiter/Lander - 3,399 kg - (August 20, 1975 - August 7, 1980)
* Viking 2 - USA Mars Orbiter/Lander - 3,399 kg - (September 9, 1975 - July 25, 1978)
* Phobos 1 - USSR Mars Orbiter/Lander - 5,000 kg - (July 7, 1988)
* Phobos 2 - USSR Phobos Flyby/Lander - 5,000 kg - (July 12, 1988)
* Mars Observer - USA Mars Orbiter (September 25, 1992)
* Mars Global Surveyor - USA Mars Orbiter (Fall 1996)




ที่มา : http://www.mythland.org/v3/thread-104-1-1.html
http://www.mythland.org/v3/thread-100-1-1.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น