ว่ากันว่า ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น
ฮิตเลอร์ได้ส่งทหารแห่งอาณาจักรไรซ์ของเขา ออกค้นหาอาณาจักรใต้พิภพ
ซึ่งเชื่อกันว่า มีทางเข้าอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งในโลกนี้
ความเชื่อของฮิตเลอร์และบริวารก็คือ ในใต้โลกมีอาณาจักรใต้พิภพที่มีอารยธรรมสูงส่งซุกซ่อนอยู่ หรือถ้าไม่มี อย่างน้อยเศษซากของวิทยาการเหล่า
นั้น ก็สามารถช่วยให้นาซี มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขึ้นอีกโข
ว่ากันว่านครนั้นคือ อาร์กัตต้า หรือ จัมบาร่า ซึ่งมีเล่าขานกันในตำนานโบราณครับ...
ในปี พ.ศ. 2447 สตีชาวฝรั่งเศสชื่อ อเล็กซานดรา ดาวิด-นีล
ได้เขียนหนังสือและเล่าเรื่องของดินแดนมหัศจรรย์
ซึ่งเธอเคยไปสัมผัสความพิศวงของดินแดนนั้นมาแล้ว
เธอกล่าวว่าดินแดนนี้อยู่ไกลแสนไกล มีความสวยงาม
ทุกสิ่งทุกอย่างบนดินแดนนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์
เธออ้างเอาไว้ในบันทึกส่วนตัวว่า ที่นั่น
มีผู้วิเศษที่สามารถลอยตัวอยู่บนอากาศ
และสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้ด้วยความรวดเร็ว
ผู้วิเศษที่เธอพบ ปัจจุบันเราทราบกันในนามของภิกษุในพุทธศาสนา คือบรรดาลามะแห่งธิเบตนั่นเองครับ
สำหรับบางท่านที่ไม่ทราบจริงๆว่าลามะคืออะไร
ผมจะขออธิบายอย่างคร่าวๆก็แล้วกันนะครับว่า องค์ลามะทั้งหลาย
เป็นพระสงฆ์ในพระบวรพุทธศาสนา แต่เป็นคนละนิกายกับพุทธศาสนาในบ้านเรา
โดยลามะจะสังกัดนิกายมหายาน
ซึ่งมีการศึกษาทั้งทางธรรมและไสบศาสตร์ร่วมกันไป มีการสวดมนตร์ขับไล่ภูตผี
และมีการฝึกจิตบำเพ็ญตบะ เพื่อให้ตนเองมีความแข็งแกร่ง
ทำนองเดียวกับที่เราเห็นในหนังกำลังภายในเด๊ะเลยครับ โดยการฝึกลุง กอง
ของธิเบต จะช่วยทำให้ลามะมีวิชาตัวเบาสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้
เหมือนกันกับจอมยุทธทั้งหลายที่มีวิชาตัวเบา
มีเสียงร่ำลือเกี่ยวกับตำนาน ที่เล่าขานกันมาในหมู่ลามะว่า
ใต้พื้นโลกมีสวรรค์นามว่า อคารถ อยู่ อคารถเป็นนครใหญ่
มีเจ้าปกครองเหมือนกับนครอื่นๆทั่วไป จากอคารถก็จะมีอุโมงค์ใหญ่
เชื่อมไปยังนครต่างๆที่อยู่ใต้พิภพเช่นกัน ซึ่งนักประวัติศาสตร์คาด
ว่า ดินแดนแห่งนี้เองแหละครับ ที่แชปลิน..เอ๊ย ฮิตเลอร์ ได้ตามหาอยู่
ซึ่งจริงๆแล้วปัจจุบันเราก็ยังไม่ได้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับนครนี้มากนัก
ได้แต่คาดเดากันไปว่า มันอาจจะเป็นดินแดนที่มนุษย์ต่างดาวลงมาหลบซ่อนอยู่ หรืออาจเป็นที่อยู่ของลูกหลานชาวแอตแลนติส ที่หลงเหลือ และรักษาความรู้ทางวิทยาการของพวกเขาเอาไว้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ธิเบตจัดเป็นดินแดนที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล
และเราก็ได้ยินฉายาของดินแดนนี้บ่อยๆว่า เป็นดินแดนที่เป็นหลังคาโลก
แม้ว่าภูมิอากาศจะแห้งแล้งกันดาร และติดต่อกับดินแดนอื่นๆได้ยาก
แต่ทราบกันไหมครับว่า ธิเบตนี่แหละ อุดมสมบูรณ์นักแลในเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ
ดาไลลามะนักวันโลสัง ซึ่งเป็นดาไลลามะองค์ที่ 5 ของธิเบต
ได้สร้างพระราชวังโปตาลาชั้นนอกเรียกว่า
พระราชวังขาวชั้นในเรียกพระราชวังแดง พระราชวังแห่งนี้อยู่สูงจากพื้นดินถึง
110 เมตร และเคยจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชิ้นหนึ่ง
ที่เกี่ยวพันกับความศัทรธาของมนุษย์เลยทีเดียว
ดาไลลามะนักวันโลสัง
ได้ประกาศคำสอนที่กลายเป็นตำนานที่ต้องประพฤติสืบต่อกันมา คือ
องค์ดาไลลามะคืออวตารของพระโพธิสัตว์ ที่เสด็จลงมาคุ้มครองชาวธิเบต ดังนั้น
เมื่อใดที่องค์ดาไลลามะสิ้นชีวิตลง ดวงวิญญาณจะ
เสด็จออกไปจากร่างเก่าเพื่อสถิตย์ในร่างใหม่
เพื่อที่จะเสด็จกลับมาเป็นองค์ดาไลลามะอีกครั้งหนึ่ง
จึงทำให้เกิดประเพณีในการค้นหาองค์ดาไลลามะขึ้น (คิดว่าคนที่ดูหนังเรื่อง
Little Buddha คงพอจะนึกออกบ้างนะครับ) ซึ่งก็เป็นอันว่า
ทารกที่เกิดในช่วงที่องค์ดาไลลามะองค์เดิมเสียชีวิตนั้น
มีสิทธิเข้าร่วมในพิธีกรรมคัดเลือกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง
ยากดีหรือมีจน เรียกว่าเป็นไปได้หมดครับท่าน
วิธีการเลือกก็คือ ถ้าใครเลือกเครื่องใช้ขององค์ดาไลลามะได้ถูก
ก็ถือว่าคือวิญญาณของพระองค์กลับชาติมาเกิด
ถ้ามีคนถูกหลายคนก็จะใช้วิธีอื่นที่สลับซับซ้อนขึ้นไป
เพื่อพิสูจน์หาวิญญาณของอค์ดาไลลามะตัวจริง
ซึ่งวิธีนี้มีแต่นักบวชชั้นสูงของธิเบตเท่านั้นครับ ที่จะรู้จัก
ดรก นักวิชาการผู้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับธิเบต เคยกล่าวว่า
"เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศธิเบตนั้น เป็นเรื่องที่ชาวตะวันตกทราบน้อยมาก
เพราะจะเห็นได้ว่า องค์ดาไลลามะหรือประมุขของบรรดาลามะทั้งปวงนั้น
มีฐานะเทียบเท่าองค์สันตะปะปาที่วาติกันเลยทีเดียว"
ลามะในธิเบต
กำความลับบางประการของวิทยาศาสตร์และจิตศาสตร์ซึ่งสืบทอดจากโบราณเอาไว้
แม้กระทั่งในประเทศอินเดียเอง ก็มีการอ้างถึงความก้าวหน้า
ถึงวิชาในสมัยโบราณที่อ้างถึงการต่อต้านแรงโน้มถ่วงโลก
ด้วยกระแสจิตจากตัวผู้ฝึก ทำให้ผู้ฝึกที่ผนึกสมาธิอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก
สามารถลอยบนพื้นและเคลื่อนตัวด้วยจิตในมหาวิทยาลัยโบราณของอินเดีย
มีการกล่าวถึงอะตอมและพลังงานคอสมิคเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ เรื่องเล่าเก่าๆของธิเบต
ยังได้กล่าวถึงเรื่องของเด็กชาวธิเบตคนหนึ่ง ที่มีศีระษะรูปร่างผิดปกติ
เขาได้แต่งงานกับลูกสาวของเทพเจ้า
หลังจากนั้นก็ไปอาศันในดินแดนสงบสุขที่ฟากฟ้าไกล พระเจ้าที่ลงมาบนโลกนั้น
ส่วนใหญ่จะลงมายังโลกในร่างของเป็ดที่ฉายแสงได้ ซึ่งเป็นไปได้ไหมครับว่า
นั่นอาจจะเป็นรูปแบบหนึ่งของเอเลี่ยนและ UFOs?
แดรก ยังได้เล่าถึงนิทานพื้นบ้าน ซึ่งเล่ากันมานานแสนนานในธิเบตว่า
ชาวธิเบตมีการเล่าลือกันถึงเมืองสุดาโซม่า (Sudasoma) เมืองแห่งนี้นะครับ
ชาวธิเบตว่ากันว่า เป็นที่อาศัยของเทพเจ้า 33 พระองค์
ตัวเมืองล่องลอยอยู่กลางอากาศ มีกำแพงทองคำล้อมรอบถึง 7 ชั้น
เครื่องประดับของพวกเขล้วนงดงาม ทำจาก ทอง เงิน คริสตัล เบริล (Beryl)
เทพเจ้าทั้งหลายจะมีอำนาจวิเศษในการเนรมิตรทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่พวกเขาต้องการจากต้นไม้
ภายหลังที่ได้รับชัยชนะจากทุกอาณาจักรบนโลกแล้ว
กษัตริย์แมนโฮต้าแห่งอาณาจักรนี้
ก็ต้องการจะแผ่ขยายแสนยานุภาพของตนออกไปอีก จุดมุ่งหมายของพระองค์คือ
ต้องการให้อำนาจของพระองค์ขจรขยายออกไปทุกหนทุกแห่ง แน่นอนล่ะว่า
รวมไปถึงสวรรค์ที่เป็นที่อยู่ของทวยเทพทั้งหลายด้วย แต่แล้ว
เมืองของพระองค์ก็ได้ถูกโจมตีจากอสูร (Asura) ที่มาจากอวกาศ
สงครามครั้งนั้นโหดร้ายนัก จากคำบอกเล่า และการบันทึกตีความ
ในสงครามดังกล่าว มีการใช้อาวุธที่เหมือนการยิงรังสี การใช้ม้าบิน
สุดท้ายอสุราก็ได้รับความพ่ายแพ้ และถูกขับไล่กลับไปสู่ท้องฟ้า (อวกาศ?)
อีครั้งหนึ่ง
นิทานพื้นบ้านของธิเบต รวมไปถึงลักษณะความเป็นอยู่ของพวกเขา
ยังคงความลี้ลับอยู่มาก มีลักษณะที่แตกต่างไปจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
ทุกวันนี้โลกของลามะในธิเบตก็ยังคงเป็นเรื่องราวลึกลับของโลกต่อไป
ไม่ว่าจะเรื่องของเทพเจ้า นครลึกลับแชมเบอร่า
รวมทั้งอดีตและความเป็นมาอันลึกลับของชาวธิเบต เอาเป็นว่า
ถ้ามีเวลาผมจะเก็บเรื่องมาขยายความให้อ่านกันครับ
จานบินตกในธิเบตเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน
รายงานดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2508
พร้อมทั้งได้นำเสนอซากโบราณที่ทำให้เกิดทฤษฎีว่า ในอดีต
เคยมียานอวกาศมาเยือนโลกของเรา บนดินแดนจีนมาก่อน
รายงานของนักโบราณคดีดังกล่าว ได้อ้างว่า เมื่อ 12,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว
เคยมียานอวกาศลงมาเยือนโลกของเรา อ้อ ข้อมูลนี้ไม่ได้อ้างออกมาลอยๆนะครับ
แบบนั้นเสียเหลี่ยมนักวิชาการแย่เลย
ข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงอ้างเอามาจากการสำรวจถ้ำของนักโบราณคดี
ในแถบของรอยต่อระหว่างธิเบตและจีนแห่งหนึ่ง เป็นบริเวณที่เรียกว่า
บายัน-คาลาฮูรา พวกเขาพบก้อนหินที่มีลักษณะเป็นงานที่มีการวาดภาพ
รวมทั้งตัวอักษรแบบเฮียโรกริฟฟิคที่ไม่มีใครสามารถอธิบายความหมายได้ถึง 716
แผ่น วัตถุเหล่านี้อายุมากเท่าใดก็ยากที่จะเดา
แผ่นหินดังกล่าวมีรูอยู่ตรงกลางเหมือเครื่องบันทึกเทป
นักโบราณคดีที่ค้นพบเพิ่งทราบเอาในตอนหลังว่า
มันเป็นเครื่องมือในการเขียนเสียมากกว่า ซึ่งมองเผินๆแล้ว
มันเป็นวัตถุที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกโบราณคดีเลยทีเดียวล่ะครับ
กลุ่มนักสำรวจรู้สึกสับสน กับสิ่งที่พวกเขาค้นพบในถ้ำนั้นมาก
เพราะมันไม่เหมือนสิ่งที่พวกเขาค้นพบเมื่อผ่านมาแล้วเอาเสียเลย
เจ้าหน้าที่หลายคนให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาครุ่นคิดอยู่นานก็ยังขบไม่แตกว่า
มันคืออะไรกันแน่ จนกระทั่งปริศนานี้ถูกไขให้กระจ่าง
โดยกลุ่มนักโบราณคดีระดับหัวกระทิของจีน ในเวลาไม่นานนัก
แรกเริ่มเดิมทีนั้น
รัฐบาลจีนได้สั่งการผ่านสถาบันศึกษาโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์
ให้ระงับการค้นคว้าเกี่ยวกับถ้ำบายัน-คาลาฮูรา อย่างไม่มีสาเหตุ
แต่แล้วก็อนุญาตให้มีการค้นคว้าต่อในภายหลัง ผลจากการเพียรพยายามอันยาวนาน
ต้นฉบับของแผ่นหินก็ได้ถูกแปลออกมาโดยผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณของจีน
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมาเยือนโลกของยานอวกาศจากดาวดวงอื่น
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหมื่นสองพันปีมาแล้ว
ผู้สันทัดกรณีบางคนที่ทราบเรื่อง รู้จักเรื่องจานบินตกในโลกยุคโบราณนี้ว่า
The Chinese Roswell ครับ
เชื่อว่าบริเวณดังกล่าว เป็นที่อยู่อาสัยของชนเผ่าโบราณสองเผ่า คือ ชาวแฮม และโดปา
ชนเผ่าดังกล่าว เป็นชาวป่าโบราณที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก
เพราะป่วยด้วยโรคกระดูกผุ พวกเขามีความสูงเฉลี่ย 127 เซ็นติเมตร
จนปัจจุบันเองก็ยังไม่ถูกจำแนกว่า เป็นมนุษยชาติสายพันธุ์ใด
จากบันทึกที่ได้มีการแปลออกมา
ชาวโดปานั้นพบเห็นกลุ่มคนที่ได้ลงมาจากท้องฟ้า
ด้วยยานที่บรรพบุรุษของเขาได้ซ่อนไว้อย่างลึกลับภายในถ้ำแห่งหนึ่ง
เนื่องจากว่ายานของพวกเขาเป็นพวกที่เหลืออยู่ภายหลังการประสบอุบัติหตุ
เนื่องจากการชนภูเขาในระหว่างที่จะนำยานลงมาจอดบนโลก
และการที่พวกเขาไม่สามารถจะไปไหนได้นั้น
เป็นเพราะว่าพวกเขาประสบความล้มเหลวในการซ่อมแซมยานอวกาศ
ภายหลังที่มีการห่อหุ้มจารึกต่างๆไว้เป็นอย่างดีแล้ว พวกนักโบราณคดี
ได้ส่งมันไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่มอสโคว์ตรวจสอบ
และพบว่าแผ่นหินดังกล่าวประกอบด้วยธาตุโคบอลต์อยู่เป็นจำนวนมาก
และมีการเต้นเป็นจังหวะราวกับว่า ภายในตัวของแผ่นหินมีกระแสไฟฟ้าบรรจุอยู่
ทำให้แผ่นหินดังกล่าวกลายเป็นสิ่งท้าทายวงการวิทยาศาสตร์อย่างมากทีเดียว
เชียวครับ...
คาดว่า ชาวโบราณพวกนี้น่าจะมีลูกหลานที่อายุยืนมาหลายชั่วรุ่นพอสมควร
เพราะจากการสาวเข้าไปยังเรื่องราวท้องถิ่นแถบนั้น
มีนิทานพื้นบ้านของจีนที่เล่าถึงคนร่างเล็ก ผิวเหลือง ที่ลงมาจากท้องฟ้า
และถูกชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นขับไล่ออกไป เพราะพวกเขามีใบหน้าสีเหลือง
หัวโต ตัวเล็ก มองดูน่าเกลียด บางคนยังถูกชาวบ้านไล่ฆ่าไล่ตี
เพราะนึกว่าเป็นพวกปีศาจ นิทานดังกล่าว
ดูเหมือนว่าจะได้รับการยืนยันจากการค้นพบและตรวจสอบทางวิทยาศาสตรและ
โบราณคดี ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบวัตถุต่างๆในถ้ำเดียวกัน
สุสานและโครงกระดูกที่คาดว่าจะมีอายุประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว
โครงกระดูกที่พบมีขนาดกระโหลกโต ร่างกายเล็ก ดูราวกับทุกคนเป็นโรคหลังค่อม
นักโบราณคดีบางคนในจีนกล่าวว่า
มันอาจจะเป็นลิงพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งมีการค้นพบก็ได้
แต่โทษนะครับท่านด็กเตอร์ เท่าที่พวกเราทราบกัน
ไม่มีลิงชนิดไหนหรอกครับที่รู้จักฝังศพของพวกมันหลังเสียชีวิต
และยังไม่มีประวัติบันทึกไว้เลยว่า
พวลิงสามารถเขีบยนหนังสือและวาดรูปได้อย่างวิจิตรเช่นนี้
ใช่ครับ ความประหลาดอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้
ก็คือบรรดารูปวาดที่ปรากฏอยู่บนกำแพงถ้ำ ภาพดังกล่าวเป็นภาพของดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ และดาวอื่นๆ
ระหว่างดาวบางดวงเต็มไปด้วยวงกลมเล็กๆขนาดเท่าเม็ดถั่ว และดูเหมือนว่า
วงกลมดังกล่าวกำลังมุ่งหน้ามาสู่ดาวบางดวง ซึ่งมีภูเขาปรากฏอยู่
นักโบราณคดีคิดว่า นี่อาจเป็นการบันทึกเรื่องราวการเดินทางของพวกเขา
เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ก็เป็นได้
ส่วนรายละเอียดของจานหินที่พบในถ้ำ นักโบราณคดีของรัสเซียได้ออกมาแถลงการณ์
พร้อมมีเอกสารทางวิชาการประกอบด้วย น่าเสียดายที่นาย Sonic
อ่านไม่รู้เรื่อง เพราะมีภาษายากๆเต็มไปหมด (ขนาดมี abstract
เป็นภาษาอังกฤษด้วยนะเนี่ยยังงง อึ้งไปเลย)
ขอเวลาปรึกษาผู้สันทัดกรณีสักระยะละกันนะครับ แล้วจะเอามาชี้แจ้งแถลงไข
ให้ทุกท่านที่เป็นแฟน The Myterious World หายข้องใจกันเสียที
ที่มา : http://www.mythland.org/v3/thread-2812-1-1.html
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น