วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

UFO กับไบเบิล

0013_23.gif


ทำไมต้องเป็นไบเบิล?

เป็นเวลากว่า 2000 ปีมาแล้วที่คริสตศาสนาถือกำเนิดขึ้น แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าต้นตอและแหล่งความเชื่อของคริสตศาสนามีมานานกว่า นั้น และโยงใยกับศาสนาอื่นในตะวันออกกลางอย่างสลับซับซ้อน แรกเริ่มเดิมทีไม่ว่าจะเป็นคริสต์ ยิว อิสลาม ล้วนเชื่อในเรื่องเดียวกัน ในพระเจ้าองค์ เดียวกัน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมานี่แหละคนรุ่นหลังจึงทำให้ศาสนาแตกแขนงออกไปเป็น นิกาย เป็นคนละสาย คนละแขนง สาเหตุส่วนหนึ่งนั้นมาจากการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองของบรรดาผู้นำ ซึ่งการดึงศรัทธาจากประชาชนให้มาอยู่ฝ่ายตนคงไม่มีเครื่องมืออะไรจะดีกว่าศาสนาใช่มั๊ยครับ

Ufologist หรือนักจานผีวิทยาทั้งหลายเชื่อว่า ตะวันออกกลางคือแหล่งแรกที่ UFOs ลงมายังโลกและตั้งรกรากอยู่ชั่วคราว ในจากรึกโบราณของชาวสุเมเรียนก็มีเรื่องของ Anunnaki พระเจ้าผู้มาจากดาว Nibiru บันทึกเอาไว้อย่างละเอียด แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ชาวสุเมเรียนเท่านั้น ชนชาติอื่นก็ต้องมีอะไรซักอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าจากดาวอื่นบันทึกไว้ นักจานผีวิทยา นักวิชาการ นักโบราณคดี จึงจับมือกันควานลึกเข้าไปในอดีตของตะวันออกกลาง เผื่อจะเจออะไรดีๆมากกว่า และก็เจอจริงๆเสียด้วยสิครับ


0013_0.jpg


เรื่องนี้มีรายละเอียดที่ยาวมาก ชนิดเล่าสามวันสามคืนก็ไม่จบ ครั้นจะเล่าแบบยาวๆ เอารายละเอียดทุกขั้นตอนก็เกรงว่าจะเสียเวลามากกว่าจะเสร็จ ผมจะเก็บเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่รวมมาจากหลายๆที่ แล้วซอยเป็นตอนๆเล่าให้ทุกท่านฟังดีกว่านะครับ

คัมภีร์ไบเบิลถือเป็นหลักฐานอย่างดีชิ้นหนึ่งที่บักทึกเรื่องราวให้เราได้ทราบกันว่า อย่างน้อยในจักรวาลอัน แสนไพศาลนี้ ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาอื่นอาศัยอยู่ ไบเบิลถือเป็นวรรณกรรมอมตะชิ้นเอกของโลก มันยั่งยืนมานานมากกว่า 2000 ปี ย้ำ! มากกว่าสองพันปี โดยที่เนื้อหาแทบจะไม่เพี้ยนไปจากเดิม ผู้คัดลอกหรือพิมพ์ซ้ำต่างพยายามรักษาเนื้อหาเดิมชนิดอักษรต่ออักษรไว้อย่าง เคร่งครัด ต้องขอบคุณตรงนี้แหละครับที่ทำให้เรา อนุชนรุ่นหลังได้รับข่าวสารที่ แฝงมากับพระคัมภีร์ได้แบบแทบไม่ตกหล่น อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณผู้รจนาไบเบิล เพราะความขลังและศักดิ์สิทธิในเนื้อหานี้เองที่ทำให้ผู้แปล ผู้คัดลอกมิกล้าทำให้เนื้อหาคลาดเคลื่อน ตรงนี้น่าคิดมั๊ยครับว่าเป็นกุศโลบายที่ชาญฉลาดของผู้รจนาคัมภีร์เสียจริงๆ

ปฐมปริศนา

มีกษัตริย์อียิปต์พระองค์หนึ่ง ซึ่งไม่ปรากฏพระนาม แต่จะขอเรียกง่ายๆว่าฟาโรห์ ตามพระคัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า ฟาโรห์พระองค์นี้ ได้ปล่อยให้ชนชาวฮีบรูว์ หรือ อิสราเอลได้เพิ่มประชากรขึ้นโดยไม่ทันคิด ซึ่งความจริงแล้ว ฟาโรห์องค์ก่อนๆของอียิปต์เอง ได้เป็นผู้ยินยอมให้ชนชาวฮีบรู อพยพเข้ามาตั้งรกรากในอียิปต์ เพียงเพื่ออาศัยทรัพยากรและกำลังคน มาทำกิจการต่างๆในประเทศเท่านั้นเอง

อา... ขึ้นต้นมายังกับนิทานโบราณซักเรื่องเลยนะครับ หลังจากมีปัญหาเรื่องระบบไปซะนาน วันนี้ก็ได้ฤกษ์ update กันเสียที เอาล่ะ แทรกแค่นี้ก็คงพอ (หมอนี่มันชอบนอกเรื่องครับ) เรามาต่อเรื่องของเรากันดีกว่า

เช่นเดียวกับพระบิดาและบรรพบุรุษของพระองค์ ฟาโรห์เป็นนักก่อสร้างที่บ้าดีเดือดเอามากๆ ก็ดูเอาเถิดครับ ว่าอนุสรณ์สถานตลอดจนสิ่งก่อสร้างของอียิปต์โบราณนั้น ใช่เล็กน้อยกระจ่อยร่อยที่ไหนกัน เรายากที่จะกล่าวออกมาได้อย่างเต็มปากว่า ระหว่างทะเลสาบโมริส อันเป็นแหล่งกักเก็บน้ำที่เกิดขึ้นด้วยแรงมนุษย์ จุน้ำได้นับร้อยล้านลูกบาสก์ฟุต กับวิหารคาร์นัค วิหารฟีเล่ สิ่งไหนจะน่าอัศจรรย์ใจกว่ากัน ถึงเวลาจะล่วงเลยมานานหลายพันปีแล้ว เราก็ยังไม่แน่ใจว่า เราจะสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์แบบนั้นได้ ด้วยเครื่องมือง่ายๆ เช่นกว้านเชือกหรือรอกอย่างชาวอียิปต์โบราณหรือเปล่า...


0013_1.jpg


ฟาโรห์พระองค์นี้ เปรียบได้กับจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งอียิปต์ พระองค์ทรงใช้เครื่องจักรอันประกอบด้วย เลือดเนื้อ และ ชีวิตมนุษย์อย่างมากมายสุดคณานับ ชนชาวฮีบรูว์ที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในอียิปต์ จึงเปรียบเสมือนเครื่องจักรมีชีวิตชั้นดี ที่สามารถเพิ่มกำลังกาลผลิตไปได้ตามกาลเวลา แต่การขยายเผ่าพันธุ์ของชาวฮีบรูว์ ก็ได้นำเอาความวิตกร้อนใจมาให้ฟาโรห์มิใช่น้อยเหมือนกันครับ พระองค์ทรงตระหนักด้วยความตระหนกในวันหนึ่งว่า

"ชนชาวอิสราเอลเหล่านี้ มีกำลังพลและความเข้มแข็งมากเกินไปสำหรับเราเสียแล้ว" (เอ็กโซดัส 9.1)

ไม่จำเป็นต้องรบกวนให้ขงเบ้งกุนซือคนเก่ง มาชี้แนะหรอกครับว่า สถานการณ์เช่นนี้ มันผิดปกติและน่าตระหนกขนาดไหน ฟาโรห์ทรงแจ้งด้วยปัญญาของพระองค์เองว่า "เราต้องหามาตรการที่จะทำให้พวกมันลดกำลังลง หาไม่แล้ว เราก็จะพบว่า หากเกิดสงครามขึ้น พวกมันจะรวบรวมเป็นกองทัพจู่โจมเรา และลงท้าย พวกมันนั่นแหละ จะกลายเป็นผู้ครอบครองประเทศนี้เสียเอง" (เอ็กโซดัส 1.10)

จากความหวาดระแวง ก็กลายมาเป็นความเกลียดชัง ในที่สุดฟาโรห์ก็คิดมาตรการได้เป็นผลสำเร็จ ขั้นแรก พระองค์ใช้แรงงานทาสชาวฮีบรูว์อย่าหนัก และป่าเถื่อนจนกว่าทาสจะตาย ต่อมาก็เล่นฆ่าทารกชายแรกเกิดเอาเสียดื้อๆ คิดแล้วน่าสลดครับ แม่น้ำไนล์อันเป็นต้นกำเนิดของความมั่งคั่งสมบูรณ์ ได้กลายเป็นผ้าห่อซากศพเล็กๆของทารกแรกเกิดจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ลอยขึ้นอืดตามลำน้ำอย่างน่าทุเรศ การฆ่าหมู่เด็กแรกเกิดชาวฮีบรูว์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์นี้ เริ่มขึ้นราวๆ 1400 ปีก่อนคริสตกาล แต่อย่างไรก็ตามครับ ด้วยความสะเพร่าของฟาโรห์ ทำให้เด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งเล็ดรอดร่างแหออกไปได้ คนผู้นี้แหละครับ คือบุคคลสำคัญที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์มวลมนุษย์ในเวลาต่อมา

จะด้วยสาเหตุใดก็ตามที เด็กชายที่หนีไป ได้รับอภัยโทษโดยฟาโรห์ เมื่อเติบโตขึ้น เขาได้สร้างวีรกรรมอันกล้าหาญ นำพาคนของเขาหลบหนีจากการกดขี่ของชาวอียิปต์ ใช่แล้วครับ เขาคนนั้นคือโมเสส ศาสดาพยากรณ์คนแรก และเป็นผู้นำไบเบิลอันถือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ลงมาสู่มนุษย์เป็นครั้งแรก

นี่คือบทตั้งต้นบทแรก อันจะนำไปสู่ปริศนาที่จะตามมา โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งนักวิชาการหลายคนสงสัยกันนักกันหนาว่า นอกจากส่วนที่เกี่ยวกับศาสนวิทยาแล้ว ไบเบิล.. ยังมีเงื่อนปมอื่นๆซุกซ่อนอยู่อีก

พระคัมภีร์ไบเบิล

ก่อนอื่นผมขอเกริ่นถึงคัมภีร์ไบเบิลสักเล็กน้อยว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ขายที่สุดอย่างน่าอัศจรรย์ นับตั้งแต่มีการค้นพบและพิมพ์หนังสือขึ้นมาบนโลกนี้ โอเคครับ ช่วงต้นศตวรรษแรกๆ นักประวัติศาสตร์อาจหาเหตุผลมาอ้างได้ว่า นั่นมาจากอิทธิพลทางศาสนา ซึ่งถือว่า สิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ คือพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ทว่า แม้กระทั่งในยุคอวกาศอย่างปัจจุบัน ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมในยุคนี้ ก็หาได้ส่งผลกระทบต่อไบเบิลไม่ พระคัมภีร์ยังอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับคริสเตียนแล้ว อย่างน้อยๆต้องมีไบเบิลหนึ่งฉบับตั้งอยู่ในตู้หนังสือ เหตุผลในการซื้อหาของแต่ละคนก็แตกต่างกัน

แม้กระทั่งในการแปลและเรียบเรียง การคัดลอก ดัดแปลงจากฉบับพันธสัญญาเก่ามาเป็นใหม่ ก็ยังมีการสงวนเนื้อหาสำหรับบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ สิ่งที่เหลืออยู่ ถึงจะไม่นับคุณค่าทางศาสนา แต่ก็เปี่ยมประโยชน์กับมนุษยชาติอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของประวัติศาสตร์ ความเร้นลับในเชิงเปรียบเปรย ตลอดจนความงามทางภาษาอันถือเป็นคุณค่าทางวรรณกรรม แต่...

แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ เนื้อหาส่วนใหญ่ของไบเบิลยังคงอยู่ และแทบไม่ผิดเพี้ยนไปจากเริ่มแรกที่ถูกรจนาขึ้นเลย ทำไมล่ะครับ? ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่นบรรดาจารึกที่อยู่ตามถาวรวัตถุ เช่นในวิหารของอียิปต์ หรือจารึกของแถบเมโสโปเตเมีย ที่เราได้ข้อความของมันมาครบถ้วนจนถึงปัจจุบัน ก็ด้วยความคงทนและเพิ่งมีคนเริ่มแกะ และอ่านความหมายออกเมื่อไม่นานมานี้ ต้องอาศัยนักภาษาศาสตร์และนักโบราณคดีจำนวนมาก เราจึงจะถอดความหมายของมันออกมาได้ อย่างเที่ยงตรงและไม่ผิดเพี้ยน แต่ไบเบิลล่ะครับท่าน? ไบเบิลของเราไม่ได้ถูกฝังเอาไว้แล้วขุดขึ้นมา ไม่ได้มีการแปลจารึกโบราณอ่านยากออกมาเป็นภาษาปัจจุบัน มันถูกคัดลอกจากแผ่นหนังโบราณจากแผ่นหนึ่งไปสู่อีกแผ่นหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมันถุกถ่ายทอดด้วยปากเปล่าครับ ถ่ายทอดสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยมนุษย์ยังมิได้เริ่มอารยธรรมอันศิวิไลซ์

อำนาจอันมหัศจรรย์ใดครับ ที่ส่งผลให้พระคัมภีร์ไบเบิลประสบผลสำเร็จปานนี้?


0013_2.jpg


ทำไมข่าวสารโบร่ำโบราณนี้ จึงสามารถล่องลอยผ่านทะเลเวลา จนกระทั่งมาถึงเราได้อย่างไม่มีสะดุด ทำไมหนังสือเก่าแก่ฉบับนี้จึงประสบผลสำเร็จในการดำรงอยู่ ซึ่งคงความทันสมัยและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ? อะไรกันแน่.. อะไรกันที่ทำให้ไบเบิลยังคงอยู่ในจิตใจ ของคนที่กำลังอยู่ในยุคศาสนาเสื่อมสลายอย่างเรา อำนาจมหัศจรรย์ของพระเจ้าหรือ?

สำหรับท่านที่ไม่ใช่คริสเตียน หรืออาจใช่แต่ไม่เคยจับต้องพระคัมภีร์ไบเบิล ผมจะกล่าวเนื้อหาโดยย่อๆให้ฟังละกันนะครับว่า ไบเบิลนั้นกล่าวถึงอะไรบ้าง ส่วนประกอบทางศาสนาของไบเบิล มีอยู่ครบถ้วนกระบวนความครับ การสร้างโลก สร้างมนุษย์และสรรพชีวิต บทบาทของพระผู้สร้าง แทบจะไม่ต่างไปจากศาสนาอื่นๆเลย ทว่า นั่นมีอยู่ในสิบกว่าบทแรกของเยเนซิสเท่านั้น ที่เหลือ อุทิศให้กับเรื่องราวของชาวยิว ตลอดไปจนบทบาทของพระเจ้า... พระเจ้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนละองค์กับองค์ที่ส้รางโลกและจักรวาล (เราจะมาดูส่วนนี้กันในตอนหลังนะครับ อดใจสักนิด) ตลอดไปจนสิ่งละอันพันละน้อย ที่ดูๆแล้วไม่เข้ากับเรื่องทางศาสนาเลย

บางทีเรื่องราวของการสร้างโลก น้ำท่วมโลก และวันพิพากษา ซึ่งมีอยู่เพียงน้อยนิดในพระคัมภีร์ อาจเพียงพอแล้วสำหรับคุณค่าในการคงอยู่ของมัน แต่ก็มีบางคนล่ะครับที่คิดว่า ในไบเบิลอาจจะซ่อนอะไรไว้มากกว่านั้น แน่ล่ะ นิทานและบทกวีในไบเบิลล้วนมีคุณค่าทางวรรณคดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในอีเลียด มหารภารตะ หรือกิลกาเมชก็มีเหมือนกันนี่ครับ...

ถ้าจะมีมากกว่านั้นมันคืออะไรกันแน่?

ถึงเวลาที่จะมาศึกษาแล้วล่ะครับว่า ในพระคัมภีร์เล่มสำคัญ อันบันทึกไว้ซึ่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า และเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ทรงอานุภาพคนหนึ่งนั้น แท้ที่จริงมีความนัยอะไรแฝงอยู่ คริสตศาสนิกชนบางท่านที่แวะเวียนผ่านมา อาจเถียงหัวชนฝาว่า ไบเบิลไม่ได้มีอะไรทำนองนี้ซะหน่อย ก็ขอออกตัวไว้ตรงนี้เลยว่า ข้อเขียนทั้งหลายแหล่ ผมประมวลจากหลายๆที่ รวมทั้งรวมทั้งศึกษาไบเบิลประกอบด้วย เนื้อหาจะเป็นฉบับพันธสัญญาเดิมอันเป็นของแท้ไม่มีการดัดแปลงครับ เหมือนกับมหาภารตะที่เคยนำเสนอไปแล้ว และโดนด่ายับโดยอาจารย์วรรณคดีจากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง กรรมแท้ๆ...

พระเจ้ากับไบเบิล

ก่อนอื่นนะครับ ผมอยากจะให้ท่านทั้งหลายย้อนคิดไปถึง ทฤษฎีวิวัฒนาการเสียหน่อย แม้ในปัจจุบัน ช่องโหว่ในทฤษฎีนี้ก็ยังมีค่อนข้างแยะ โดยเฉพาะในส่วนของวิวัฒนาการแห่งชาติพันธุ์มนุษย์ หลักฐานที่มีในปัจจุบัน ไม่เพียงพอที่จะสืบสาวราวเรื่องวงศ์ตระกูลของมนุษย์ทั้งหมดได้ เพราะมีห่วงโซ่บางอย่างที่หายไปครับ นั่นคือหลักฐานที่บ่งว่ามนุษย์ถ้ำ วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ยุคใหม่อย่างเรานั้น ไม่มีร่องรอยอยู่เลย

เหมือนกับเวลาหายไปเฉยๆประมาณหมื่นกว่าปีเสียงั้นแหละ...

ไม่ทราบเหมือนกันแหละครับ ว่าการวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดจากมนุษย์ถ้ำมาเป็นโมเดิร์นแมนนั้น เกิดมาจาก ปาฏิหารย์ของพระผู้เป็นเจ้า จากธรรมชาติ หรือความจงใจของใครบางคน จะจากอะไรก็เถิดครับ นักวิชาการหลายคนที่ได้ศึกษาไบเบิล ได้พบถึงความต่าง ระหว่างบทบาทของพระเจ้าในบทแรกๆกับบทหลังมาก พระผู้เป็นเจ้านั้นปรากฏอยู่ในหน้าแรกๆ ของคัมภีร์ไบเบิลเพียงไม่กี่หน้า ซึ่งดูเหมือนเขาจะเป็นผู้ประพันธ์เรื่องราวตอนแรกของการสร้างโลก เป็นพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพลานุภาพอย่างแท้จริง แต่... ถัดจากนั้นล่ะ? เราจะค่อยเห็นพฤติกรรมของเขาเปลี่ยนไป อย่างน้อยๆนะครับ จุดนี้ก็ทำให้หลายๆคนที่ศึกษามันฉุกใจคิดถึงความน่าเคลือบแคลง อันผมจะสาธยายต่อให้ท่านฟังนะครับว่า น่าเคลือบแคลงอย่างไร


0013_3.jpg


ตลอดของบทแรกและตอนต้นของบทที่สอง เลยไปจนถึงตอนกลางของบทที่สี่ (เขียนให้งงแฮะ หมอนี่) นั้นไม่ได้มีความเคลือบคลุม หรือกำกวมแต่ประการใด ทุกอย่างชัดแจ้งและตรงไปตรงมา อย่างเช่นในเนื้อหาได้กล่าวถึงผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งมวล หรือเป็นพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งแนวความคิดของเขาปรากฏขึ้นทันทีทันใด พร้อมๆกับการเกิดสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นต้นว่า โลก ดวงดาว ดวงอาทิตย์ จะมีก็เพียงแต่วิธีการพรรณาโวหารเท่านั้น ที่จะอธิบายความรวดเร็วโดยฉับพลันเหล่านั้นได้ โดยใช้แนวคิดที่ว่า พระเจ้าคือความอมตะ ไม่มีการโยงอย่างเป็นเหตุเป็นผลจากสิ่งหนึ่งไปหาอีกสิ่งหนึ่ง นั่นแหละครับที่ผมจะชี้ให้ท่านดู ถึงความคลุมเคลือที่จะตามมา

คัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวถึงพระเจ้าสร้างโลก พร้อมๆกับที่มันถูกสร้างจนเสร็จแล้ว ซึ่งบทบาทของพระผู้สร้างนี้ดูมีพลานุภาพสมกับเป็นพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ เรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในบทแรกๆของเยเนซิสครับ จากนั้นล่ะครับ คัมภีร์ก็ได้วกเข้ามาถึงตอนที่สองของการสร้างโลกอย่างกระทันหัน ซึ่งมันไม่เข้ากับตอนแรกเท่าไหร่ อรรถกถาจารย์ทางคัมภีร์ไบเบิลหลายท่านได้ตรวจพบ การผสมผสานระหว่างแหล่งที่มาสองแหล่ง ซึ่งแตกต่างกัน ถ้าหากอ่านดูดีๆให้เข้าแล้วเราก็จะพบว่า คัมภีร์ไบเบิลนั้นถูกเล่าต่อกันด้วยปากเปล่าก่อนที่จะมีการเขียน มันถูกถ่ายทอดต่อๆกันมานับเป็นพันๆ หรืออาจจะหมื่นปีเลยทีเดียวครับ น่าทึ่งที่ว่า เนื้อในใจความที่สำคัญ ไม่ได้ตกหล่นเลยแม้แต่ประการเดียว ซึ่งนั่นไม่สำคัญเท่าไหร่ คุณๆเชื่อกันไหมครับ หลังจากพิจารณาดูดีๆแล้ว พระเจ้าในพระคัมภีร์ในภาคสร้างโลก ระหว่างช่วงแรกกับช่วงหลัง ดูเหมือนเป็นคนละองค์กัยเสียแล้ว นี่แหละครับ ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้

นามของพระเจ้าในไบเบิลที่ถูกเรียกขานนั้นแตกต่างกันไป เช่น ยาห์เวห์ หรือ ยะโฮวาห์ บางครั้งก็ถูกเรียกขานว่า เอโลฮิม ซึ่งหมายถึงผู้ลงมาจากท้องฟ้า นั่นก็ไม่แปลกอะไรครับ เพราะเทพทั้งหลายในโลก ที่ชาวโลกซีกต่างๆนับถือกันอยู่ ล้วนมีพระนามที่แตกต่างกันมากมายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่นะครับ.. แต่จากบทบาทที่ปรากฏอยู่ในไบเบิลนั้น พระยะโฮวาห์กับเอโลฮิม ดูเหมือนจะมีบทบาทและความเป็นไปแทบจะคนละอย่างกันเลย

อย่างไรก็ตามที ในภาคเยเนซิสของไบเบิล ซึ่งผมนำเสนออยู่นี้ ความแตกต่างของชื่อ มีความสำคัญและเหตุผลอันดี ที่จะเน้นย้ำถึงความสำคัญว่า เรื่องราวดังกล่าวถูกเล่ามาไม่เหมือนกัน
 ยะโฮวาห์ และ เอโลฮิม

พระยะโฮวาห์ไม่ได้มีหน้าที่เดียวกับเอโลฮิมของบทแรก กล่าวคือ เอโลฮิมสร้างท้องฟ้าและโลก แสงสว่าง กลางวัน - กลางคืน เวหา พืช ดวงจันทร์ กลางวัน กลางคืน และ ดวงอาทิตย์ สัตว์ และท้ายที่สุดก็คือ มนุษย์ เห็นมั๊ยครับว่า ทั้งหมดถูกทำขึ้นมาไม่เป็นระเบียบอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ยุ่งเหยิงสำหรับเรา อาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ หากถือตาทัศนคติ หรือแง่คิดที่ทรงพลานุภาพแตกต่างจากเรา

สำหรับพระยะโฮวาห์ เขาเล่นบทรองลงมา กล่าวคือ ปรับปรุงพื้นโลก ( ให้น้ำ ให้ท่า พันธุ์พืช ) และ... สร้างมนุษย์

มาถึงตรงนี้บางท่านอาจย้อนมาว่า อ้าว... แล้วมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างโดยพระเจ้าองค์แรก - เอโลฮิม หรอกหรือ? แล้วจะมามีการสร้างหนที่สองทำไมกัน? ครับ... มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น นั่นล่ะครับคือที่มาของปริศนาทั้งหลายทั้งปวง และเป็นช่องทางที่ผมพยายามจะชี้ให้ท่านเห็น และฉุกใจว่า เรื่องราวในคัมภีร์นี้ มันน่าสนเท่ห์ใช่หยอกเสียเมื่อไหร่กัน

เพื่อให้มองเห็นภาพชัดยิ่งขึ้น เรามากล่าวถึงพระยะโฮวาห์กันอีกครั้ง พระเจ้าองค์นี้ปรากฏในตอนเริ่มแรกของบทที่สอง และจากนั้นจนจบคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พระเจ้าผู้สร้างโลกก็ได้เข้ามาแทนที่ พระยะโฮวาห์องค์นี้มีหลายพระนาม รวมทั้งชื่อเอโลฮิมด้วย บางครั้งก็มาในรูปของพหูพจน์ (ก็ไหนว่ามีพระเจ้าองค์เดียวไง) แต่ก็เป็นไปไม่ได้ล่ะครับ เพราะยังไง ดูแล้วก็ไม่ใช่องค์เดียวกับที่สร้างจักรวาล แรกทีเดียวเขาไม่ได้ สร้าง แต่เขา ปั้นแต่ง มนุษย์ขึ้นมาจากฝุ่นผงของพสุธา ( เยเนซิส 2.7 ) และนั่นคือการให้กำเนิดอดัมครับ คล้ายกันเหลือเกินกับในจารึกของชาวสุเมเรี่ยน


0013_4.jpg


ตามคัมภีร์กล่าว่า พระยะโฮวาห์ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกรุปทุกนาม จากรายละเอียดทั้งหลาย เราก็พอจะอนุมานได้เลาๆว่า ยะโฮวาห์ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เขาอาจมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังมีอารมณ์ความรู้สึก เขาเสียใจเมื่อมนุษย์ที่เขาสร้างขึ้น ทำอะไรไม่ได้อย่างใจหวัง แสดงว่าเายังมีอารมณ์ความรู้สึก เมื่อคนของเขาหายไป เขาก็ออกตามหา นั่นย่อมหมายถึง เขาไม่ใช่พระเจ้าที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง จริงอยู่ ยะโฮวาห์ล้วนมีสิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์ที่เขาสร้างขึ้นในทุกๆด้าน แต่ว่า เขาก็ไม่ใช่พระเจ้าตามพระคัมภีร์อยู่ดี มีแนวโน้มที่น่าคิดว่า คนส่วนใหญ่อาจจะสับสนระหว่าง ยะโฮวาห์ กับ พระเจ้า เนื่องมาจากทั้งคู่ ต่างเสด็จลงมาจากท้องฟ้าเหมือนๆกัน

เพราะฉะนั้น เราอาจตั้งคำถาม อันจะนำมาซึ่งปริศนา หรือเงื่อนงำอย่างหนึ่งว่า สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์ เต็มไปด้วยความรู้ ที่ดูแล้วล้ำยุคราวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ปาฏิหารย์ที่อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ และเสด็จลงสู่โลกด้วยพาหนะที่ลงมาจากท้องฟ้านั้น คืออะไรกันแน่?

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและคนแรก ที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศมีมานานแล้ว แต่ก็ไม่แปลกนี่ครับ เพราะบรรดาเทพโบราณ ช่างคล้ายกับมนุษย์อวกาศเสียเหลือเกิน เชื่อไหมล่ะครับว่า เพราะความรู้ทางเทคโนโลยีและอวกาศ ที่เพิ่งเจริญมาเมื่อไม่กี่ปีนี้เองแหละ ได้เข้ามามีบทบาทช่วยตีความคัมภีร์ไบเบิล และมีประโยชน์มากเสียยิ่งกว่าวิชาโบราณคดีซะอีก นอกจากนี้ วิชาการด้านอื่นๆ เช่นชีววิทยา ก็ได้เข้ามามีส่วนช่วยเหลือ ผู้ที่เคยตีความไบเบิล ด้วยนัยน์ตาอันฝ้าฟางไปด้วยศัรทธาแบบไม่ลืมหูลืมตา เรื่องของ DNA ช่วยไขรหัสลับไบเบิลได้มากเลยล่ะครับ เพราะว่าก่อนกลางศตวรรษที่ 20 นั้น หากมีใครซักคนเอ่ยขึ้นมาอย่างสัยว่า พระยะโฮวาห์น่าจะเป็นมนุษย์อวกาศ หมอนั่นจะต้องบ้าหรือไม่ก็เพี้ยนขนาดหนัก

ปัจจุบัน ในสายตาของวิทยาศาสตร์ ไบเบิลได้แสดงความขัดแย้งในตัวเองอยู่หลายอย่าง อะไรที่เคยเป็นปาฏิหารย์ อะไรที่เคยคลุมเคลือ บัดนี้มันก็แจ่มแจ่งแดงแจ๋ออกมาแล้ว

รายละเอียดในการสร้างมนุษย์ ผมจะกล่าวอีกทีในเรื่องของอาดัมกับอีฟครับ แต่จะเน้นย้ำตรงนี้เพิ่มไว้สักหน่อยนึงว่า พระยะโฮวาห์ ได้ปั้นแต่งวัสดุที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ให้เห็นมนุษย์ขึ้นมาครับ เพราะฉะนั้น จึงไม่จำเป็นเลยที่ มนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นเหล่านี้ จะต้องมีวิวัฒนาการไปตามขั้นตอนของธรรมชาติ ดังนั้น Lost Link หรือ ห่วงโซ่ที่หายไปทางมานุษยวิทยาจึงเกิดขึ้น (หมายถึงการวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด จากมนุษย์โบราณ ออสตรัลโลพิทธิคัส มาเป็นมนุษย์ยุคใหม่ โฮโม เซเปี้ยน อย่างเรา) พระยะโฮวาห์สร้างมนุษย์อย่างไร? และไบเบิลกล่าวถึงพระเจ้าจากอวกาศองค์นี้ไปในทำนองไหน ค่อยๆติดตามอ่านกันนะครับ


พระเจ้าหรือนักบินอวกาศ?

ไบเบิลของ ชาวยิว แตกต่างไปจากไบเบิลตามความเข้าใจของคริสเตียน ทำไมน่ะหรือครับ? ในไบเบิลฉบับเก่าความหมายเชิงเปรียบเปรย และรายละเอียดต่างๆได้ถูกถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมา ในขณะที่ฉบับพันธสัญญาใหม่ที่ชาวคริสเตียนเลื่อมใสศรัทธา ได้มองไบเบิลในเชิงของศาสนา อานุภาพของพระเจ้าสำหรับคริสเตียน คือพลานุภาพขนานแท้ที่ไม่อาจโต้แย้งได้ แต่อย่าลืมนะครับว่า นั่นคือการถ่ายทอดดัดแปลง จากไบเบิลฉบับของโมเสส ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา อย่างน้อยๆถ้าเรายึดฉบับดั้งเดิมเป็นหลัก พระยะโฮวาห์ก็มีพื้นฐานแตกต่างจากพระเจ้าที่แท้จริงอย่างมากมายและเห็นได้ ชัด

ทุกสิ่งทุกอย่างพาเราเข้าไปสู่ความเชื่ออันหนึ่ง นั่นก็คือ เขาจะต้องมาจากโลกอื่น แต่จะเป็นซีกไหน หรือส่วนไหนของอวกาศเราไม่ทราบ จะจากที่เดียวกับพระเจ้าของชาวสุเมเรี่ยนหรือ ไม่ เราก็ไม่อาจยืนยันได้ เราทราบเพียงแต่ว่า เขาลงมาจากห้วงท้องฟ้า และปรากฏกายต่อหน้าสายตาของพลโลกได้อย่างไร และจากไบเบิล มีนับเป็นร้อยๆตอนที่เราสามารถบรรยายภาพของพระยะโฮวาห์ได้อย่างแจ่มชัดถนัด ถนี่

ในไบเบิล ชื่อยะโฮวาห์ ระบุถึงสิ่งที่แตกต่างกันสองสิ่งอันได้แก่ ตัวของยะโฮวาห์เอง และยานพาหนะที่เขาใช้โดยสารมา คือหมายถึงทั้งภาชนะ และสิ่งที่บรรจุอยู่ในนั้น ความหมายๆผิดที่ทั้งเราและนักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งศาสนิกชนเข้าใจ ก้เนื่องมาจากเรายังไม่เห็นคำไข ที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์นั่นเองล่ะครับ

ผมสามารถยกตัวอย่างมาอธิบายเรื่องภาพของพระเจ้าอย่างง่ายๆ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาโบราณได้ว่า มนุษย์เห็นเขาและอากาศยานของ เขาเป็นพระเจ้าได้อย่างไร มีชาวป่าในปาปัวนิวกีนี และแอฟริกาใต้หลายเผ่า กระทำการบวงสรวงสักการะทุกวัน ในช่วงที่สายการบินมีเครื่องบินผ่านบริเวณนั้น พวกเขาคิดว่าสิ่งที่บินอยู่บนท้องฟ้า คือพระเจ้าที่เสด็จผ่าน แล้วคนโบราณล่ะครับ? มนุษย์โบราณจะคิดอย่างไร เมื่อเห็นยานอวกาศของยะโฮวาห์ แน่ล่ะ ต้องทั้งเคารพทั้งยำเกรง นอกจากนี้ เมื่อมนุษย์โบราณได้เห็นสิ่งที่ออกมาจากยาน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียว หรือ อย่างน้อยก็คล้ายกับมนุษย์ นั่นพอจะสมเหตุสมผลไหม ว่าทำไมคนโบราณจึงเรียกนักบินอวกาศเหล่านั้นว่า..พระเจ้า และอาจไม่แปลกอะไรที่ในบางครั้ง พระเจ้าทั้งสองแบบ ถูกขนานเรียกด้วยนามเดียวกัน

ยานอวกาศของยะโฮวา มีรูปโฉมอย่างไรก็ยากจะวินิจฉัยได้ จากคำบรรยายของอีซีเกล ศาสดาพยากรณ์โบราณ ซึ่งได้เผชิญหน้ากับพระผู้เป็นเจ้า ได้วิศวกรของ NASA ได้เสนอแนวความคิดว่า สิ่งที่เขาเห็น น่าจะเป็นอากาศยานอย่างหนึ่งเสียมากกว่า จากไบเบิล.. บางครั้งยานปรากฏตัวในรูปของทรงกลม หรือเป็นแบบจาน ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่ยานปรากฏตัวในแนวดิ่ง ผู้คนโบราณก็อาจเข้าใจไปได้ว่า นั่นคือใบหน้าของยะโฮวาห์ นอกจากนี้มันยังมีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีความสว่างเจิดจ้าไม่แน่นอน



0013_5.jpg

"...เป็นกลุ่มควันในยามกลางวัน และเป็นเปลวไฟเฉิดฉายยามกลางคืน" (ไอเสยะ 4.5)

"... และตลอดเวลา พระเจ้าจะออกนำหน้าพวกเขา ในตอนกลางวันจะเป็นกลุ่มเมฆ เป็นลำนำในการเดินทางของพวกเขา ในตอนกลางคืน พวกเขาจะได้แสงสว่างจากเปลวไฟ ซึ่งพุ่งออกมาเป็นลำเช่นกัน" (เอ็กโซดัส 13.21)



ปริศนาที่ ว่า ยานอวกาศของยะโฮวาห์ ใช้อะไรในการขับเคลื่อนนั้น ในไบเบิลมิได้ระบุชัด ทั้งนี้ผู้บันทึกเองก็คงไม่ทราบ แต่ไม่ว่ามันจะใช้พลังงานอะไรก็ตาม ยานอวกาศดังกล่าว จะต้องคายรังสีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งนี้จะเห็นได้จาก ในตอนที่ยานลงจอดบนยอดเขาวีนายนั้น อาณาบริเวณรอบๆ จะถูกประกาศเป็นเขตต้องห้ามทันที "... เจ้าจะต้องทำเขตล้อมรอบภูเขา และบอกพวกเขาว่า อย่าได้ย่างกรายขึ้นไปบนภูเขา หรือ แม้แต่จะสัมผัสเชิงเขา ใครก็ตามที่บังอาจ จะถูกฆ่าตายทันที"(เอ็กโซดัส 18.12)

ใช่แล้วครับ ประโยคนี้ยังมีส่วนขยาย ในทำนองที่ว่า นี่มิใช่กฏหรอืเขตหวงห้ามที่ตั้งขึ้น แต่ทว่า สิ่งที่อยู่บนภูเขา มีอันตรายด้วยตัวของมันเอง มีลักษระทำนองเดียวกับรังสี หรือ คลื่นอนุภาค อันอาจเป็นอันตรายแก่ผู้เข้าใกล้ได้ เหลือเชื่อมั๊ยล่ะครับ ใครจะนึกว่า ในไบเบิล ยังมีเรื่องแบบนี้บันทึกอยู่ ได้ รายละเอียดของการใช้ยานอวกาศ ในการทำศึกสงครามยังมีอยู่อีกนะครับ กล่าวคือ ยะโฮวา ได้ส่งมันออกมาช่วยกองทัพอิสราเอลหลายครั้ง และมักจะใช้วิธีการรบแบบเดิมเสมอมา นั่นคือยานอวกาศนำหน้า และกองทันอิสราเอลคอยติดตามอยู่ด้านหลัง ในไบเบิลหลายต่อหลายตอนกล่าวว่า สิ่งอันตรายที่ตัวยานพ่นออกมานั้น อยู่เฉพาะส่วนหน้าของยาน ทหารอิสราเอลที่ติดตามด้านหลัง ไม่จำเป็นต้องกลัวเกรงอันตราย ผิดกับทหารข้าศึก ซึ่งล้มตายไปเหลือคณานับ และในบทที่ 33 ของเอ็กโซดัส ก็มีคำอธิบายอย่างชัดเจนว่า นามของยานอวกาศ และนามของนักบินนั้น ถูกเรียกขานด้วยชื่อเดียวกันจริงๆ

ข้อเท็จจริงอีกประการในไบเบิลก็คือ ในยามที่พระเจ้า หรือ รถศึกของพระเจ้าออกโรง พระองค์ได้แนะนำให้มนุษย์ของพระองค์ หาที่หลบภัยซึ่งส่วนมากเป็นซอกหิน หรือใต้ศิลาแผ่นใหญ่ๆ เป็นไปได้ไหมว่า เพื่อป้องกันอันตรายจากการแผ่รังสี แหละนอกจากใช้แทนอาวุธในยามสงครามแล้ว ยานลำนี้ ยังสามารถปฏิบัติการลำเลียง หรือ ขนส่ง อุปกรณ์ตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือทาง วิศวกรรมได้ ทีนี้ลองมาดูอิทธิฤทธิ์อื่นๆของพระเจ้ากันดูไหมครับ ยะโฮวาห์สามารถป่นแผ่นดินให้ราบเป็นหน้ากลองได้ หากเขาต้องการเช่นนั้น อานุภาพของเขามาจากไฟแห่งสรวงสวรรค์ มีข้อความตอนหนึ่งในไอเสยะ 34.9-10 ที่บรรพบุรุษของเราอาจไม่สนใจนัก แต่จุดประกายความคิดให้คนรุ่นใหม่อย่างคุณอย่างผมก็คือ

"แม่น้ำลำธารในเมืองอีดอมจะเปลี่ยนเป็นน้ำมันดิบและกำมะถัน พื้นดินจะกลายเป็นเถ้าถ่านแดงฉานไม่ดับมอดทั้งวันทั้งคืน"

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงเมืองโซดอมและโกโมร่าห์ว่า ห่าไฟและกำมะถันได้ทำลายเมืองเสียพินาศย่อยยับ จากคำบรรยายในคัมภีร์ชวนให้นึกถึงระเบิดปรมาณู หรือไม่ก็นาปาล์ม-ระเบิดเพลิง ซึ่งแน่ล่ะว่าต้องถูกปล่อยลงมาจากยานของยะโฮวาห์อย่างไม่ต้องสงสัย และยานลำนี้กระมังที่ภรรยาของล็อทหันไปเหลือบมองเข้า หล่อนเลยกลายเป็นเสาเกลือไป ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังตีความไม่แตกว่า เสาเกลือต้นที่ว่านั้นน่าจะหมายถึงอะไร หากเป็นพิษสงของกัมมันตรังสี ที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ ซึ่งเคยโดนบอมบ์ด้วยนิวเคลียร์ ก็ไม่ปรากฏเสาเกลือให้เห็นเลยสักต้น อย่างไรก็ตามที ผมไม่ได้คิดว่าไบเบิลจะกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆโดยไม่มีเหตุผล และคัมภีร์เล่มนี้ก็ไม่เคยกล่าวอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยครับ


:: การต่อสู้กับทูตสวรรค์ ::

หลายท่านอาจจะสงสัยครับว่า หากยะโฮวาห์ และบรรดาทูตสวรรค์ของเขานักบินอวกาศจากโพ้นพิภพจริงแล้วไซร้ รูปร่างหน้าตาของพวกเขา จะคลับคล้ายกับมนุษย์บนโลกหรือไม่ ประเด็นนี้ไม่เป็นปัญหาเลยครับ เพราะ..."พระเจ้าตรัสกับโมเสสต่อหน้าต่อตา เหมือนคนหนึ่งพูดกับอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว" นอกจากนี้พระเจ้าก็ใช่จะอิ่มทิพย์อย่างที่คิดกัน เพราะในบทดิวเทอโรโนมี 4.28 พระเจ้ายังกนอาหารเหมือนมนุษย์เลยครับ

นอกจากนี้ บันทึกเกี่ยวกับสรีระของพระเจ้าและทูตสวรรค์นั้น มีค่อนข้างชัดเจนในเรื่องที่เกี่ยวกับกรณีพิพาทของจาคอปและอีซอ ใครที่ชอบตำนานของ ชาวฮีบรูว์คงจะคุ้นๆกันอยู่บ้าง เรื่องก็มีอยู่ในเยเนซิสบทที่ 24 ถึง 32 ว่าด้วยการต่อสู้กับจาคอปและเหล่าทูตสวรรค์ ก่อนอื่นเราคงต้องพิจารณาการต่อสู้ว่า มันเป็นการต่อสู้กันแบบธรรมชาติ คือใช้พละกำลังเข้าห้ำหั่นกันล้วนๆ ไม่มีอาวุธหรืออภินิหารมาเกี่ยวข้อง นี่พอจะแสดงเป็นนัยๆได้ไหมครับว่า พระเจ้าก็ไม่ได้มีข้อได้เปรียบทางสรีระ หรือมีข้อแตกต่างจากมนุษย์ด้านพลกำลังมากมายนัก สิ่งที่เขาได้เปรียบ น่าจะเป็นความชาญฉลาด และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่า ในไบเบิลบรรยายการต่อสู้ระหว่างจาคอปกับทูตสวรรค์เอาไว้ว่า

"ดังนั้นจาคอปก็ถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว กับชายคนหนึ่งซึ่งปล้ำกับเขาจนสว่างคาตา"


0013_6.gif


การต่อสู้เป็นไปอย่างธรรมดาๆ มีการบรรยายฉากสำคัญเพียงไม่กี่ฉาก ฝ่ายปรปักษ์ทำร้ายจาคอปจนบาดเจ็บ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ พอเช้ามืดชายคนนั้นก็เสนอให้เลิกราต่อกัน แต่จาคอปไม่ยอม จนกว่าคู่ต่อสู้จะยกธงขาวและ "ยกย่อง" เขาเสียก่อน สุดท้ายชายลึกลับจึง เปิดเผยตัวเองโดยกล่าวว่า "เจ้าได้ต่อสุ้กับพระเจ้าและคนหลายคน ในที่สุด เจ้าก็ได้รับชัยชนะ" ขณะนั้นสว่างแล้ว จาคอปจึงยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้ เขาเล่าว่า "ข้าได้เห็นพระเจ้าต่อหน้าต่อตา และชีวิตข้าก็ได้รับการอภัยโทษ"

ไม่มีข้อกังขาอีกแล้วสินะครับ คนที่ต่อสู้กับจาคอปนั้นคือยะโฮวาห์ หรือไม่ก็คนของเขาแน่ เรื่องนี้มักทำให้คนที่อ่านไบเบิลต้องสะดุ้งทุกที นอกเสียจากว่า คนที่อ่านมันจะอ่านผ่านๆโดยไม่ระมัดระวังจนข้างข้อความที่ผิดสังเกตนี้ไป ถ้าพระเจ้ามีกฤษดาภินิหารจริงแล้วไซร้ ก็คงไม่สู้เสมอกับมนุษย์ธรรมดาๆอย่างจาคอปหรอกครับ นี่แสดงให้เห็นว่า สรีระร่างกายตลอดจนพลกำลังของพระเจ้าจากอวกาศ อาจจะด้อยกว่ามนุษย์โลกด้วยซ้ำ สาเหตุก้เดากันง่ายๆ มนุษย์นั้นเติบโตจากธรรมชาติ แข็งแรงด้วยการดำรงชีวิตอยู่แบบธรรมชาติ ผิดกับผู้มาจากอวกาศที่มีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบาย ด้วยเครื่องใช้ไม้สอยและเทคโนโลยีที่พร้อมสรรพ อย่างไรก็ดี เขา(หรือพวกเขา) คงมีลักษณะที่แตกต่างจากมนุษย์อยู่บ้าง จึงทำให้มนุษย์จำแนกออกในทันทีเมื่อแรกเห็นว่า เขาคือพระเจ้า

จากรายละเอียดดังกล่าว เราสามารถแยกแยะประเด็นข่าวสารสำคัญออกเป็นสามข้อด้วยกันคือ

ยะโฮวาห์ มีรูปร่างอย่างมนุษย์ทั่วไป และสามารถทำอะไรก็ตามอย่างที่มนุษย์ทั่วไปทำได้ เช่นทุบต้นขาหรือทำให้จาคอปสะโพกคราก แต่เขาก็มีความแตกต่างกับมนุษย์อยู่บ้าง อาจจะเป็นเครื่องแต่งกาย หรืออะไรอื่นๆที่เรายังไม่ทราบ ดังนั้นจาคอปจึงแยกแยะออกในทันทีทันใดที่ฟ้าสว่าง ยะโฮวาห์เหนือกว่ามนุษย์ด้านสติปัญญาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในเรื่องพลกำลังยังไม่แน่เสมอไป นั่นหมายความว่า หากเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัว มนุษย์คนใดก็มีสิทธิโค่นเขาลงได้เช่นกัน

ปุจฉาที่ตามมายังมีมากกว่านั้น ทำไมยะโฮวาห์และทูตสวรรค์ จึงต้องการพิสูจน์กำลังกับมนุษย์ เหตุผลสำคัญที่ผู้ศึกษาด้านนี้ได้ให้ไว้ และผมเห็นว่าน่าสนใจดีไม่หยอกก็คือ เพราะมนุษย์คือผลพวงทางเทคโนโลยีของพวกเขาน่ะซีครับ พวกเขาจึงต้องการทดสอบมนุษย์ในด้านต่างๆเพื่อเก็บเอาไว้เป็นข้อมูล ในตอนต่อไปผมจะเล่ารายละเอียดของกำเนิดมนุษย์ให้ท่านฟังกันครับ

ความสัมพันธ์อันน่าประหลาด

ผ่านกันมาหลายตอนพอสมควรแล้วนะครับ ก็ขอเน้นย้ำคอนเซ็ปต์ตรงนี้อีกทีละกันว่า ครั้งหนึ่งเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ในสมัยที่มนุษย์ยังป่าเถื่อน และดำรงชีวิตอยู่แบบสัตว์ยุคหิน ถึงมนุษย์จะมีข้อได้เปรียบสัตว์อื่นๆอยู่บ้าง เช่น มีสมองที่ใหญ่และซับซ้อนกว่า รู้ว่าเนื้อที่ย่างด้วยไฟนั้น นุ่มและอร่อยกว่าเนื้อดิบๆ มีอวัยวะที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาขั้นต่างๆต่อไปในอนาคต แต่คงอีกนานครับ กว่าที่มนุษย์ยุคหินเหล่านี้ จะก้าวหน้าไปถึงขั้นก่อกำเนิดอารยธรรมได้ จุดนี้แหละครับที่สำคัญ เพราะว่าบังเอิญเหลือเกิน ที่มีนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่ง ได้ลงมาเยี่ยมเยียนโลกในวาระอันประจวบเหมาะนั้นพอดี ไม่ว่าพวกเขา-นักท่องอวกาศ จะลงมาที่โลกด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม พวกเขาต้องการแรงงานและอาณานิคมครับ เสียดายที่ มนุษย์ในสมัยนั้นยังล้าหลัง และด้อยพัฒนาเกินกว่าจะนำมาเป็นแรงงานชั้นดี และหากต้องรอให้ววัฒนาการไปเองตามธรรมชาติ จะต้องรอไปอีกกี่หมื่นปีก็เหลือจะเดา

"ดังนั้น การแทรกแทรงทางพันธุกรรมจึงเริ่มต้นขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งแรงงาน และอาณาประชาราษฏ์ที่มีคุณภาพกว่า จึงได้เริ่มต้นขึ้น"


0013_7.jpg


ชาวมายา อินคา อียิปต์ สุเมเรียน หรือแม้แต่ชาวภารตะโบราณ ชนชาติเหล่านี้ต่างมีความเจริญด้านอารยธรรมอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งพวกเขาล้วนมีตำนาน และหลักฐานที่น่าฉงนแก่คนรุ่นใหม่อย่างเราเหลือเกินครับ เรายังไม่อาจพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่า ไบเบิลของชนชาวฮีบรูว์นั้น เป็นหนังสือออริจินอลเพียวๆ หรือว่าได้รับการตกทอดมาจากทายาทของอารยธรรมอื่น ส่วนยะโฮวาห์-นักท่องอวกาศผู้มากด้วยอำนจนั้น แท้ที่จริง เขาเป็นวงศ์วานว่านเครือของใครกันแน่ ระหว่าง Anannaki เทพของชาวสุเมเรี่ยน หรือ เทพองค์อื่นๆของอาณาจักรอียิปต์โบราณ

ทำไมน่ะหรือครับ?

อับราฮัม ศาสดาพยากรณ์คนสำคัญของฮีบรูว์ มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับต้นตระกูลของ "เทพ"จากอวกาศของชาวสุเมเรี่ยน ส่วนตัวโมเสสเองนั้นเล่า เขาเคยอาศัยอยู่ในราชสำนักอียิปต์เป็นเวลานานแสนนาน และทั้งสองคนที่อาศัยอยู่ในต่างยุคต่างสมัยกัน ล้วนมีบทบาทอย่างมากกับไบเบิลทั้งสิ้น ซึ่งท่านที่สนใจศึกษาคริสตศาสนามาคงพอจะทราบเรื่องดี ดังนั้นจึงน่าคิดอยู่เหมือนกันว่า ไบเบิลมีความสัมพันธ์กับสองชาตินี้หรือไม่ เพราะเรื่องราวที่ถ่ายทอดมาช่างคลับคล้ายคลับคลากันเหลือเกิน แถมยังมีเรื่องราวการให้กำเนิมนุษยชาติ อันว่าด้วยการแทรกแซงทางพันธุกรรมเหมือนกันอีก ยิ่งชาวสุเมเรียนนะครับ มีภาพการดัดแปลง DNA อย่างชัดแจ้งอย่างรูปด้านล่างนี่ไงครับ

0013_8.jpg


เป็นไงล่ะครับ ลองทบทวนดูแล้วจะเห็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างทั้งสองชาตินี้กับไบเบิล แบบลึกๆอยู่ อย่างไรก็ตามครับ เรามาดูกันดีกว่าว่า ยะโฮวาห์และการปั้นแต่งมนุษย์ของเขานั้น มีรายละเอียดที่คล้ายกับชาติอื่นอย่างไรบ้าง

ระหว่างที่เรากำลังพูดถึงไบเบิลอยู่นี้ ขอให้ท่านอย่าลืมเสียล่ะว่า นอกจากยะโฮวาห์จะเป็นเจ้าแห่งนักท่องอวกาศแล้ว เขายังเป็นนักนิเวศวิทยาและนักพันธุศาสตร์ชั้นเยี่ยม ตอนนี้เราจะกล่าวถึงสมัยที่เขาทำงานอยู่บนดาวเคราะห์ที่ชื่อโลก ท่ามกลางมนุษย์ขนรุงรังที่ดูคล้ายสัตว์มากกว่าคน และสมองของพวกนี้ยังพัฒนาไปได้ไม่นานนัก ในที่สุดยะโฮวาห์ ก็ได้ตัดสินใจที่จะอิมพรูฟสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เพื่อให้มีพัฒนาการที่ดีกว่า ฟังเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ใช่ไหมล่ะครับ ใครล่ะจะไปนึกว่า เรื่องราวเช่นนี้เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต ซึ่งนานเท่าไหร่ก็ไม่มีใครระบุได้แน่ชัด

เราไม่สามารถเดาใจพระเจ้าได้ว่า เขาเอาต้นแบบของมนุษย์มาจากที่ใด แต่อย่างน้อยก็น่าจะแตกต่างจากสิ่งเดิมที่มีอยู่บนโลกบ้าง อย่างน้อยๆสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปก็น่าจะได้แก่ คุณสมบัติด้านสติปัญญาและคุณสมบัติทางกายภาพบางประการ เป็นต้นว่ามีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ไม่มีขนรกรุงรัง สามารถรับรู้คำสั่งและสื่อภาษาได้อย่างดี เสียดายที่ไบเบิลไม่ได้ระบุขั้นตอนเหล่านี้เอาไว้อย่างละเอียด เหมือนในจารึกคูนิฟอร์มของชาวสุเมเรี่ยน แต่ก็กล่าวถึงจุดสำคัญบางอย่างเอาไว้ อย่างเช่นว่า ยะโฮวาห์ได้เอาสารเคมีที่จำเป็นบางชนิดมาจากพื้นดิน แล้วบันดาลให้มันมีลมหายใจขึ้นมา อาจจะเหมือนการนำอินทรีย์สารจากพื้นดินมาสังเคราะห์ก็ได้ ผู้ชำนาญการบางท่านคาดเดาว่า ผู้บันทึกไบเบิล อาจจะบันทึกไว้จากการบอกกล่าว เขาจึงไม่รู้รายละเอียดมากไปกว่านี้ และเป็นไปได้ว่า ยะโฮวาห์มิได้ปรารถนาที่จะเปิดเผยความลับของเขามากไปกว่านี้ เพราะสิ่งที่เขากลัวก็คือ มนุษย์อาจจะเลียนแบบเทคโนโลยีจนสร้างตัวเองขึ้นมาเป็นคู่แข่งของเขาได้ และผมเชื่อเหลือเกินครับว่า เขาไม่ได้ห่วงแต่อดีตเท่านั้น เขายังคอยจับตาดูความเป็นไปของมนุษย์อย่างใจจดใจจ่อ และเป็นห่วงว่า เราจะมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้นทุกวันๆ
อดัมและอีฟ

เราทราบกันดีอย่างเป็นสากลว่า มนุษย์คนแรกที่เกิดมาบนโลกนั้นเป็นเพศชาย และมีนามว่าอาดัม ตามไบเบิลกล่าวไว้ว่าพระเจ้าไม่สามารถหาคู่ครองที่เหมาะสมให้แก่อาดัมได้ นั่นหมายถึงอะไรหรือครับ ผมไม่อยากจะคิดว่า คู่ครองของยอดชายนานอาดัมนั้น จะเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งลิง หรือว่าพวกสิ่งมีชีวิตเพศเมียอื่นๆ ซึ่งอาศัยอยู่บนโลกในสมัยนั้น ยะโฮวาห์เป็นนักสัตววิทยาผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรเสีย เขาก็คงไม่คิดว่า ภรรยาของอาดัมจะมาจากตระกูลมนุษญ์โลก(ในตอนนั้น) หรือว่าแมวป่า หมูป่าหรอกจริงไหมครับ?

ในไบเบิลกล่าวถึงรายละเอียดในตรงนี้ไว้สองประเด็นครับ หนึ่งคือการสร้างมนุษย์เพศหญิง สองก็คือ การสอนให้อาดัมรู้จักการเรียกชื่อ และตั้งชื่อสัตว์ที่เขาพบ ตรงนี้แหละที่มีเงื่งำน่าสนใจ แต่อันนั้นเราจะพูดถึงกันในภายหลัง และคงไม่ลืมสิ่งที่ผมเกริ่นเอาไว้ตั้งแต่บทแรกๆว่า การสร้างโลกและมนุษย์ในไบเบิล เป็นการพยายามเอาเรื่องสองเรื่องมารวมกัน และทำความยุ่งยากให้กับคนเขียนเอามากๆ เพราะการผสมผสานเรื่องราวของ"พระเจ้า"ที่แท้จริง กับนักท่องอวกาศที่พยายามจะทำตนเป็น "พระเจ้า"นั้น มันหาได้กลมกลืนสอดคล้องไม่

เมื่อยะโฮวาห์ตัดสินใจที่จะสร้างมนุษย์ผู้หญิงขึ้นมา ทุกอย่างไม่มีปัญหาครับ ในเมื่อเขามีต้นแบบคืออาดัมอยู่แล้ว เขาเอาต้นแบบของผู้หญิงมาจากอาดัมและดัดแปลงบางอย่างเพื่อให้เป็นเพศที่แตก ต่างออกไป ชายชาวคริสเตียนจำนวนไม่น้อยครับ ที่ยังเชื่อว่า ตนเองมีซี่โครงเพียง 11 ซี่ เพราะซี่โครงอันที่ 12 ถูกดึงไปเพื่อสร้างผู้หญิง เห็นรึยังครับว่า ไบเบิลพยายามจะบอกเรื่องราวเล็กๆน้อยๆแก่เรา โดยเราจะไม่สามารถเข้าใจได้จนกว่าวิทยาการของเรา จะเจริญก้าวหน้าขึ้นมาจนถึงระดับหนึ่ง แน่ล่ะว่า สมัยก่อนที่การแพทย์จะก้าวหน้าอย่างทุกวันนี้ ใครๆก็นึกไม่ออกหรอก ว่ายะโฮวาห์... สร้างมนุษย์ผู้หญิงขึ้นมาจากซี่โครงของมนุษย์ผู้ชายได้อย่างไร แต่ในปัจจุบัน หากท่าพินิจดูดีๆแล้วจะพบว่า ท่านจะเห็นสายใยแห่งเหตุผลวิ่งจากปลายด้านหนึ่ง ไปสู่อีกด้านหนึ่ง คัมภีร์ไม่ได้โกหกเราครับ พระเจ้าสร้างมนุษย์ผู้หญิงขึ้นมาจากอาดัม ด้วยกรรมวิธีที่เราคุ้นเคยกันดีในปัจจุบัน การโคลนนิ่งครับ!!!


0013_8.jpg


เนื่องจากใครๆก็สามารถนับซี่โครงตัวเองได้ โดยล้วงเข้าไปคลำดูในชายเสื้อ ดังนั้นจึงไม่ยากเลยหากเราจะยอมรับแนวคิดที่ว่า อีฟถูกโคลนขึ้นมา โดยการดึงเอาบางส่วนมาจากอาดัม อาจจะเป็นเลือด เซล DNA หรืออะไรซักอย่างที่เราไม่ทราบ แต่กระนั้นมันก็ง่ายดายมากกว่าตอนสร้างอาดัมมากนัก ดูภาพด้านล่างนะครับ อันนี้มาจากคัมภีร์ของชาวสุเมเรี่ยน ว่าด้วยการสร้างมนุษย์ตรงกับไบเบิลเป๊ะๆ มีภาพของ DNA แบบเกลียว ตู้เพาะเชื้อ และการวางสลบเสร็จสรรพ (ภาพเมื่อกี่พันปีก่อนเราก็ยากจะบอกได้) ในไบเบิลก็บอกเหมือนกันครับ ว่าการสร้างอีฟได้กระทำในภาวะที่คนไข้หมดสติ และการปฏิบัติการมาสิ้นสุดในสามบทหลังของเยเนซิสคือ

"ในวันที่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ให้เหมือนพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ผู้ชายและมนุษย์ผู้หญิง"(เยเนซิส 5.1-2)

เรื่องราวที่ต่อมาจากนั้นก็คือ การผสมผสานระหว่าง "บุตรแห่งพระเจ้า" และมนุษย์เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมบนโลก การถ่ายทอดศิลปวิทยาการ มาถึงตรงนี้แล้วผมอยากกล่าวถึงคำๆหนึ่ง ซึ่งแจจะคุ้นหูของทุกท่าน คำที่หมายถึงสวนอีเดนแห่งตะวันออก ทวีปมูครับ ทวีปนี้มีชื่อเสียงมานานม และเป็นบ่อเกิดแห่งอารยธรรมที่เรายังเข้าไม่ถึงในปัจจุบัน เชื่อกันว่านี่แหละครับ คือสวนเอเดนที่กล่าวถึงในไบเบิล และช่างบังเอิญเหลือเกินที่ในภาษาสุเมเรี่ยน มีคำว่าเอดิรุซึ่งหมายถึงที่ๆพระเจ้าเสด็จลงมาครั้งแรกด้วย ว่ากันว่า ทวีปมูคืออารยธรรมที่ถูกสร้างสมมาโดยนักท่องอวกาศ และเมื่อมนุษย์รับช่วงอารยธรรมนั้นมา มนุษย์ก็ได้สร้างสรรค์อารยธรรมของตนเองขึ้น ซึ่งมีสองจุดที่น่าสนใจ คือทวีปแอตแลนติส และเมืองโมเฮนโจดาโรกับฮารัปป้า แห่งอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุครับ

กลับมาต่อเรื่องราวของเรากัน เมื่อทุกอย่างในสวนเอเดนทำท่าว่าจะไปได้ด้วยดี ก็ปรากฏตัวทรยศคนหนึ่งออกโรงขึ้น ใครคนนั้นที่บังอาจเปิดโปง"ความลับ"ของยะโฮวาห์ต่อหน้าอาดัมและอีฟ ใครคนนั้นซึ่งรู้จุดอ่อนในเสื้อเกราะ และดอดทิ่มมีดเข้าไปจนเต็มรัก เขาล่ะครับตัวร้ายที่ขึ้นชื่อและลึกลับที่สุดในไบเบิล เขาผู้ซึ่งเราคุ้นเคยกันในนามของงูร้ายหรือซาตาน เขาเปิดเผยความลับของยะโฮวาห์ในเรื่องสวนเอเดนและผลไม้ต้องห้าม เขาเป็นงูร้ายจริงๆกระนั้นหรือ อดใจซักนิดครับ เดี๋ยวผมจะพาท่านไปพบกับคำตอบที่แท้จริงของ งูร้ายกับผลไม้ต้องห้าม ... Forbiden Fruit...

 ซาตานเจ้างูร้ายกับผลไม้ต้องห้าม 2

เราได้กล่าวถึงเจ้างูร้าย ซึ่งคริสเตียนในยุคหลังแปลงโฉมของเขาไปเป็นซาตานเสีย แต่ในเยเนซิสนะครับ งูร้ายดังกล่าวคือใครคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับยะโฮวาห์ ผมคิดว่าเรื่องของงูร้ายน่าจะเป็นการรวมเอาเรื่องราว ในไสตล์นิทานพื้นบ้านเข้ามาแต่งประกอบ เพราะในคัมภีร์ไบเบิลหลายต่อหลายตอน ผู้รจนาไม่ขัดที่จะหาตอนล่อใจสนุกๆมาเสริม ซึ่งเราก็จะเห็นตอนล่อใจอันขัดกับความเป็นจริงบ่อยครั้งมากในไบเบิล

ผมจะไม่ท้าวความหรือให้ความสำคัญกับงูร้ายตนนั้นนะครับ ไม่ใช่ว่าขี้เกียจหรือพยายามจะข้ามเรื่องราวที่ยากแก่การอธิบาย เพียงแต่ความเป็นจริงก็คือ เบื้องหลังของเรื่องนั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า อาดัมกับอีฟเกิดต้องการที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ ด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาในวัยเยาว์ พวกเขาเกิดปรารถนาความรู้ อันเป็นของต้องห้ามของพระผู้เป็นเจ้า ใช่แล้วครับ มันคือสิ่งที่เรารู้จักกันดีในนามของผลไม้ต้องห้าม ซึ่งอยู่บนต้นของมันในสวนเอเดนนั่นเอง

การที่พระเจ้าลงโทษงูร้ายโดยการตัดแขนตัดขา นั่นย่อมหมายถึงเดิมเขาต้องมีแขนขาอยู่ก่อน และไม่ใช่งูจริงๆ เรามีรายละเอียดเกี่ยวกับงูร้ายน้อยมากจนแทบสรุปอะไรไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ข้อที่น่าสนใจก็คือ ลูกหลานของงูร้ายต่างก็พิกลพิการเพราะถูกตัดแขนขาเหมือนกัน เราไม่รู้ว่ายะโฮวาห์ทำได้ด้วยวิธีไหน แต่ความทุพลภาพของงูร้าย แสดงให้เห็นถึงผลของการลงโทษที่ติดต่อทางกรรพันธุ์ ซึ่งน่าจะมีผลจากรุ่นสู่รุ่น เหมือนแม่ที่คลอดลุกออกมาไม่มีแขนขาเพราะได้รับสารประเภทธาลิโดไมด์

การลงโทษอย่างแรกสำหรับอาดัมกับอีฟก็คือ การที่ต้องเปลือยการและทนทรมารด้วยความอับอายจากมัน ทั้งสองรู้สึกกระดากอายขวยเขิน ขณะที่ต้องเปลือยกายอยู่ในส่วน ซึ่งไม่มีคนอื่นใด นอกจากพระเจ้าผู้ที่สร้างพวกเขาขึ้นมา เด็กๆจะอายร่างเปลือยของตนเองต่อหน้าพ่อแม่ที่เป็นผู้สร้างงั้นหรือ แม้กระมั่งก่อนจะมีลูกกัน พวกเขาก็ยังอายกันและกันจนต้องหาใบมะเดื่อมาปกปิดร่างกายท่อนล่างเอาไว้

ผู้รจนาไบเบิล คงมีการบิดเบือนเนื้อหาส่วนนี้ไปบ้างแต่คิดว่าไม่มากนัก ความกระดากอายซึ่งคกรีกโบราณไม่รู้จักกัน ได้หยั่งรากลึกลงในจิตใจของมนุษย์ยุคเริ่มแรก และถึงเป็นหนึ่งในบัญญติต้องห้ามของโมเสส

แต่ว่า การเปลือยกายชนิดไหนกันที่ระบุเอาไว้ในเยเนซิส ผลไม้ต้องห้ามจารึกอะไรเอาไว้ การเปลือยร่างคือการแสดงตนเองอย่างที่เป็นอยู่ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองเปลือยเปล่า การเปลือยร่างต่อตัวเองทำให้รู้ตนและกำพืดตนเองได้ดี อาดัมกับอีฟเรียนรู้อะไรจากการกินผลไม้นั้น?

พวกเขาย่อมรู้ว่า ตัวเองไม่เหมือนคนอื่นๆ พวกเขาเป็นผลพวงของการสร้างขึ้นมาอย่างพิเศษ โดยร่างกายที่ปราศจากขน พวกเขาละอายเมื่ออยู่ต่อหน้ามนุษย์รุ่นเดียวกันที่เป็นผลผลิตจากธรรมชาติ และทั้งสองเพิ่งจะค้นพบว่า พวกเขาย่อมแตกต่างจากผู้สร้างเช่นเดียวกัน มนุษย์เอย... มนุษย์เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ยุคของพระเจ้าแล้วหรือ พวกเขารู้หรือไม่ว่า ผู้สร้างเขาได้ทำให้พวกเขาพัฒนามาจนถึงขั้นนี้ ต้องอาศัยระยะเวลาตามธรรมชาตินับเป็นพันๆปี (หรือว่าเพราะรู้ว่าฝืนธรรมชาติ พวกเขาจึงไม่สบายใจ) อย่างไรก็ดียะโฮวาห์ได้ประทานปัญญาที่สูงส่ง ให้การศึกษาทางวิทยาศาสตร์แก่พวกเขา ( การตั้งชื่อสัตว์ต่างในโลกไงครับ มันหมายถึงการจัดลำดับและจำแนกชื่อ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์เบื้องต้นทุกสาขา) และจากการกินผลไม้ต้องห้ามด้วยแล้ว พวกเขายิ่งใกล้เคียงกับพระเจ้าเข้าไปทุกที มนุษย์เอย... เจ้ายังจะเรียกร้องอะไรกันอีก?


แล้วผลไม้ต้องห้ามนั้น น่าจะเป็นอะไรกันแน่?


0013_9.jpg


ผมคิดว่าผลไม้นั้นน่าจะเป็นคำเปรียบเปรยมากกว่า สิ่งที่เป็นผลไม้ต้องห้ามที่แท้จริงน่าจะเป็นแหล่งบันทึกความรู้ของยะโฮวาห์ มาถึงตรงนี้ผมขอนอกเรื่องสักหน่อยเป็นไรครับ ว่าด้วยผลไม้ต้องห้ามนี่แหละ ทุกคนรู้จักกันในนามของ Apple - ลูกแอปเปิลถูกไหมครับ และในไบเบิล สิ่งที่ทรงพลานุภาพจนพระเจ้าต้องหวั่นพระทัยมีอยู่สองประการ หนึ่งคือผลไม้แห่งความรู้-แอปเปิล และอีกหนึ่งก็คือสัตว์ร้ายที่จะเข้าครอบงำโลกในช่วงปี 2000 สัตว์ร้ายที่มีเลขประจำกายเป็น 666 อำนาจมหัศจรรย์ประการใดครับที่ทำให้ข้อความในไบเบิลเป็นจริงขึ้นมาในยุค ปัจจุบัน?

เริ่มจากสัตว์ร้ายหมายเลข 666 มันจะกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสายตาที่ชื่นชมในความสำเร็จของมัน ชั่วไม่นาน เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้จะมีบริวารไปทั้งโลก ประชาชนต้องตกอยู่ในอำนาจของมัน ผู้ที่แข็งข้อมิยอมอยู่ในอาณัติจะอยู่ในสังคมอย่างลำบาก ทำไม่ได้แม้แต่จะซื้อ-ขายของเพื่อประทังชีวิต ตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา มีคนตีความหมายของเลข 666 นี้กันอย่างหัวร้างข้างแตก แต่ก็สรุปไม่ได้ว่ามันคืออะไร จนเมื่อไม่นานนี้แหละครับ ที่ผู้เชี่ยวชาญบางคน เอาปัจจัยหลายอย่างมาประกอบกันเข้า จึงถึงบางอ้อว่า แท้ที่จริงแล้ว สัตว์ร้าย-งูร้าย-ซาตาน แล้วแต่ท่านจะเรียกขานนั้น ตัวตนจริงๆของมันคืออะไร

คำทำนายมหัศจรรย์

Apple and Number 666

...และมันยังได้บังคับคนทั้งปวง ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย คนรวยคนจน ทั้งนายและบ่าว ให้ได้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวา หรือที่หน้าผากของเขา เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้ นอกจากผู้ที่มีเครื่องหมายนั้น ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์ร้ายนั้น หรือเลขชื่อของมัน เรื่องนี้จงใช้สติปัญญาตรึกตรองให้ดี ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจ ก็จะสามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของมันได้ เพราะว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของมันคือ 666"

ประโยคนี้ได้ถูกระบุเอาไว้ในไบเบิล ซึ่งทำนายว่าด้วยช่วงเวลาก่อนถึงวาระสุดท้ายของโลก จะมีสัตว์ร้ายสองตัวปรากฏขึ้น ซึ่งตัวที่สองก็คือเจ้าสัตว์ร้ายที่มีเลขประจำตัวเป็น 666 นี่แหละครับ ท่านผู้อ่านครับ ตามปกติผมไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องโชคชะตา หรือ การทำนายทายทักเลย แต่จากประโยคนี้ของไบเบิล ก็ได้ทำให้ผมอึ้งไปเหมือนกัน เพราะมันมาพ้องกับความจริงที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเราในต้นศตวรรษที่ 21 อย่างที่สุด และเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องราวของผลไม้แห่งความรู้ ซึ่งเราได้พูดถึงกันไปแล้วในก่อนหน้านี้

อะไรคือมารร้ายหมายเลข 666? เหตุใดพระเจ้าจึงเตือนนักเตือนหนาเกี่ยวกับอันตรายและพิษสงของมารร้ายตนนี้ ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญหรือไม่ก็ตาม จากความพยายามควานหาต้นตอของหมายเลข 666 มานับร้อยนับพันปี ในที่สุด ในยุคปัจจุบัน เมื่อวิทยาการของเราเจริญก้าวหน้าขึ้น เมื่อเวลาที่เคยระบุไว้ในไบเบิลมาถึง (ตรงนี้ผมอยากเลี่ยงคำว่าปาฏิหารย์ออกไป แต่ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นที่ดีกว่านี้) เจ้าสัตว์ร้ายหมายเลข 666 ก็เผยโฉมแล้ว และอยู่ตรงหน้าทุกท่านที่กำลังอ่านอยู่เสียด้วย

หลังจากค้นหากันมานานนมอย่างวุ่นวาย ในที่สุดก็มีคนฉุกใจคิดว่า สัตว์ร้ายหรือมารร้าย 666 นี้ น่าจะหมายถึงอะไรบางอย่าง ที่สามารถครอบคลุมและเข้าถึง รวมทั้งมีอิทธิพลกับมนุษย์ในช่วงปี 2000 (ตามที่ระบุไว้ในไบเบิล) อย่างมากมาย ซึ่งเจ้าสิ่งที่ว่าคงต้องยกให้สมองกลคนเก่ง ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน COMPUTER ไงครับ พิสูจน์กันง่ายๆ ลองเรียงอักษรคำว่า COMPUTER จากบนลงล่างตามวิธีการเรียงอักษรโบราณ พร้อมกำกับลำดับพยัญชนะ เช่น A=1, B=2 ไปเรื่อยๆจนถึง Z=26 จากนั้นเอาลำดับทุกตัวมาคูณด้วย 6 แล้วรวมผลลัพธ์ออกมา เห็นมั๊ยล่ะครับ จากตัวอย่างข้างล่าง มันได้ 666 พอดิบพอดี

C = 3 x 6 ===> 18 
O = 15 x 6 ===> 90 
M = 13 x 6 ===> 78
P = 16 x 6 ===> 96
U = 21 x 6 ===> 126
T = 20 x 6 ===> 120
E = 5 x 6 ===> 30
R = 18 x 6 ==> 108
COMPUTER => 666


บังเอิญหรือครับ งั้นลองอีกที ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ที่เชื่อกันว่ามีประสิทธิภาพที่สุดในโลก เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโลโลยีจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจร่วมกันผลิต ขึ้น ตั้งอยู่ในสำนักงานใหญ่ขององค์กรตลาดร่วมยุโรป มันมีชื่อเสียโก้เก๋ซึ่งตั้งให้จากผู้สร้างมันว่า Mark of Beast หรือเครื่องหมายแห่งสัตว์ร้าย ... ตรงตามไบเบิลเป๊ะๆ คุณๆลองเอาวิธีคำนวณแบบเดิมมาใช้กับ Mark of Beast สิครับ เหลือเชื่อกระมัง ผลของมันคือเลข 666!!!

เป็นอันว่าเลขเจ้ากรรมนี้ต้องเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับคอมพิวเตอร์อย่างไม่ ต้องสงสัย ยิ่งข้อความที่ว่า มันครอบคลุมมีอิทธิพลกับพลโลกเกือบทั้งหมดนี้

เราต้องยอมรับกันใช่ไหมครับว่าเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเรื่องที่ว่ามันมีอิทธิพลถึงขนาดผู้ไม่ยอมศิโรราบให้มัน จะทำไม่ได้แม้แต่การซื้อขายสินค้า อันนี้ก็ยิ่งตรงประเด็นใหญ่ ในยุคที่ E-commerce มีบทบาทมากเช่นนี้ เชื่อว่าต่อไปในอนาคต การซื้อขายก็จะยิ่งผ่านเครือข่ายอิเล็คทรอนิคส์แทบทั้งหมด แม้แต่การโอนเงินผ่านบัญชีในธนาคารก็ยังต้องทำผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของ แต่ละแบงค์ อ้อ แล้วรู้ไหมครับ ว่าโค้ดที่ใช้เป็นรหัสของธนาคารโลกหรือ World Bank นั้นคืออะไร ก็ 666 อีกนั่นแหละครับ ปาฏิหารย์หรือความบังเอิญหนอ สำหรับคำทำนายนี้ของไบเบิล?

นี่ไงครับ สิ่งแรกที่พระเจ้าได้เตือนเราเอาไว้ว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าเราตีความตัวตนของสัตว์ร้าย 666 นี้ออก เรื่องของผลไม้ต้องห้ามก็ยิ่งง่ายใหญ่ หรือในทางกลับกัน หากมองความหมายของผลไม้ต้องห้ามออกแต่แรก เราแทบจะไม่ต้องมานั่งคำนวณเลยว่า สัตว์ร้าย 666 นั้นคืออะไร มาถึงตรงนี้ทุกท่านก็คงจะอ๋อแล้วนะครับ ว่าแอปเปิลผลไม้ต้องห้ามนั้นคืออะไร ครับ... คอมพิวเตอร์อีกนั่นแหละ ลองนึกทบทวนดูดีๆนะครับ ว่าคำๆนี้ คำว่าแอปเปิลมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการคอมพิวเตอร์อย่างไร นักเลงคอมพิวเตอร์ทั้งหลายย่อมซึมซาบว่า เจ้าผลไม้ลูกนี้มันหมายถึงอะไร และมีอิทธิพลมากขนาดไหนในวงการคอมพิวเตอร์ นี่คือผลไม้แห่งความรู้และสัตว์ร้าย666 สองสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวที่พระเจ้าไม่อยากให้มนุษย์แตะต้องมัน เหตุผลน่ะหรือครับ? ไม่บอกก็คงรู้กันนี่นา...

ความบังเอิญข้อสุดท้าย ไบเบิลนั้นเรารู้ๆกันอยู่ว่า เป็นคัมภีร์ที่รจนาโดยชนชาติฮีบรูว์หรืออิสราเอลในปัจจุบัน ในไบเบิลระบุเวลาเอาไว้อย่างชัดเจนว่า วาระสุดท้ายของโลกจะมาถึงภายในเวลาไม่ช้าไม่นาน หลังจากชนชาวอิสราเอลรวมกันได้เป็นชาติ ครับก็ปลายศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่สองมาหมาดๆนี้เอง สิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับชนชาติอิสราเอลนี้ก็คือ รหัสโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศของอิสราเอลคือ 666 ครับท่าน เอาล่ะครับท่านผู้มีเกียรติ พักกายพักใจกันสักครู่ ในตอนต่อไปผมจะพาท่านย้อนกลับไปสู่อดีตกาลอีกครั้ง เพื่อดูว่า ผลที่เกิดขึ้นหลังจากอาดัมและอีฟ กินผลไม้ต้องห้ามเข้าไปนั้นเป็นอย่างไร และพระเจ้าหรือยะโฮวาห์มีเหตุผลกลใด ที่ต้องเจาะจงกีดกันมนุษย์ออกจากผลไม้แห่งความรู้นี้ ติดตามต่อไปนะครับ




ที่มา : http://www.mythland.org/v3/thread-164-1-1.html
http://www.mythland.org/v3/thread-162-1-1.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น