วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

มนุษย์ต่างดาวโซคอร์โร


การเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์ต่างดาวและตำรวจสาย ตรวจกลางหุบเขาชานเมืองโซคอร์โร (Socorro) รัฐนิวเม็กซิโก เมื่อ 45 ปีก่อน เป็นหนึ่งในหลักฐานยืนยันว่าอาคันตุกะจากนอกโลกได้มาเยือนโลกมนุษย์
เจ้า หน้าที่ FBI ผู้เชี่ยวชาญจากกองทัพอากาศและนักวิทยาศาสตร์หลายคนถูกส่งมาสืบสวนเรื่องราว จนทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกกล่าวขานมากพอๆกับเหตุการณ์จานบินตกในเมืองรอ สเวลล์ (Roswell) เมื่อปี 1947

ผิดที่ ผิดเวลา
เวลา 17.50 น. วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 1964 จ่าลอนนี่ ซาโมร่า (Lonnie Zamora) ตำรวจสายตรวจเมืองโซคอร์โร เห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านหน้าไปด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เขาจึงขับรถออกไล่ตามโดยทันที ระหว่างที่ไล่ล่าอยู่นั้นลอนนี่ได้ยินเสียงกึกก้องดังมาจากทางหุบเขาไม่ไกล จากที่เขาอยู่เท่าไรนัก ลอนนี่หันหน้าไปดูก็เห็นลูกไฟสีน้ำเงินพวยพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า
มันคง เป็นระเบิดจากพวกทำเหมืองแร่ ลอนนี่หยุดการตามล่าคนขับรถเร็ว และกลับรถขับมุ่งหน้าไปยังทิศที่เขาได้ยินเสียงระเบิดพร้อมกับวิทยุไปแจ้ง สถานีว่ากำลังเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ
เสียงระเบิดดังมากจากหุบเขา ห่างไกลจากตัวเมือง มีเพียงถนนดินแคบๆลุ่มๆดอนๆเพียงเส้นทางเดียวนำไปสู่หุบเขา แต่อาศัยที่ยังพอมองเห็นกลุ่มควันและลูกไฟ ทำให้ลอนนี่สามารถตามหาแหล่งที่มาจนพบ
ลอนนี่เห็นวัตถุขนาดใหญ่ประมาณ รถยนต์ส่วนบุคคล สะท้อนแสงอาทิตย์แวววับอยู่ห่างออกไปราวร้อยกว่าเมตร เขาคิดว่าคงมีใครประสบอุบัติเหตุขับรถตกถนนและถังน้ำมันระเบิด เมื่อลอนนี่ขับไปถึงเนินเขาห่างจากที่เกิดเหตุราว 30 เมตรเขาก็หยุดรถเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
วัตถุสะท้อนแสงที่เขา เห็นไม่ใช่รถยนต์ หากแต่มันเป็นวัตถุรูปไข่สีเงินยาวประมาณ 20 ฟุต มีเสา 2 ข้างคล้ายกับเป็นขาตั้งค้ำยันบนพื้น บนลำตัวยานไม่มีประตูหรือหน้าต่าง แต่มีเครื่องหมายบางอย่างเขียนด้วยสีแดงประทับอยู่ ใกล้ๆกับยานอวกาศมีร่าง 2 ร่างแต่งกายในชุดคลุมสีขาว ขนาดเท่ากับเด็กหรือไม่ก็ผู้ใหญ่ที่ตัวเล็กมาก
ทันที ที่มนุษย์ต่างดาวหันมาพบลอนนี่ พวกมันก็กระโดดตัวลอยเพราะความตกใจ เช่นเดียวกับลอนนี่เองที่ชะงักและรีบวิ่งกลับไปที่รถเพื่อวิทยุรายงานสิ่ง ที่พบเห็นกลับไปยังสถานี
เสียงกึกก้องดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับมีแสงสว่างเจิดจ้า ลอนนี่กลัวว่ายานอวกาศอาจจะระเบิด เขารีบกระโดดนอนราบลงกับพื้น แต่เมื่อเงยหน้าดูก็เห็นยานอวกาศลอยตัวขึ้น ก่อนจะพุ่งหนีหลบหลังเขาไปด้วยความเร็ว

ข้อมูลลับสุดยอด
วัน รุ่งขึ้น รัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ประกอบไปด้วยร้อยเอกริชาร์ด โฮลเดอร์ (Richard Holder) จากกองทัพบก พันเอกวิลเลี่ยม คอนเนอร์ (William Conner) จากกองทัพอากาศ สิบโทเดวิด มูดดี้ (David Moody) เจ้าหน้าที่โครงการลับของกองทัพอากาศ และอาร์เธอร์ ไบเนส (Arthur Bynes) จาก FBI มาทำการสืบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ลอนนี่ให้การว่าเขาเห็น จานบินสีเงินรูปไข่ขนาดประมาณ 20 ฟุต มีขาหยั่งตอนที่ลงจอด แต่ตอนที่มันบินหนีเขาไม่ทันเห็นว่ามันเก็บขาหยั่งขึ้นไปยังไง ขณะที่ยานบินออกตัว มีเปลวไฟสีน้ำเงินพุ่งมาจากใต้ท้องยานและมีเสียงดังกึกก้อง แต่ไม่ใช่เสียงระเบิด มันเป็นเสียงคลื่นความถี่สูงและไล่ลงมาต่ำ ดังอยู่นานราว 10 วินาทีก่อนที่จะเงียบสงบลง
ทีมสืบสวนพบร่องรอยขา หยั่งบนพื้น และรอยลุกไฟในบริเวณใกล้เคียงกันตรงกับคำให้การของลอนนี่ จากการสืบประวัติและวิเคราะห์สภาพจิต ไม่พบว่าลอนนี่ให้การมีพิรุธแต่อย่างใด วันที่ 28 เมษายนรัฐบาลจึงส่ง ดร.อัลเลน ไฮเน็ก (Allen Hynek) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องยานบินอวกาศนอกพิภพของโครงการบลูบุ๊ค (Blue Book) มาสืบสวนอีกครั้ง
นอกจากเจ้าหน้าที่พิเศษที่รัฐบาลส่งมาสืบสวนแล้วยัง มีนักเคมีจากกระทรวงสาธารณสุขในลาสเวกัสมาทำการตรวจสอบพื้นที่ ซึ่งพบว่าพื้นดินบริเวณที่ยานอวกาศลงจอดมีการเจอปนของสารบางอย่างที่ไม่ สามารถระบุได้ว่าเป็นสารเคมีชนิดไหน หลังจากรัฐบาลทราบว่ามีนักเคมีมาเก็บตัวอย่างดิน จึงส่งเจ้าหน้าที่ทหารอากาศไปพบ ทำการยึดเอกสารและตัวอย่างทั้งหมด พร้อมกับสั่งห้ามนำเรื่องไปเผยแพร่โดยเด็ดขาด

คำให้การสอดคล้อง
พอ ล ไกส์ (Paul Kies) และลาร์รี่ คราตเซอร์ (Larry Kratzer) จากรัฐไอโอวา เป็นพยานอีก 2 คนที่เห็นเหตุการณ์ พวกเขาให้การว่าเมื่อวันที่ 24 เมษายน ได้เดินทางไปยังเมืองโซคอร์โร ขณะที่ขับรถไปตามถนนราว 6 โมงเย็น พวกเขาเห็นยานอวกาศรูปไข่สีเงิน มีสัญลักษณ์บางอย่างสีแดงข้างลำตัว ลอยขึ้นจากพื้นในแนวดิ่งเหนือกลุ่มควันสีดำ เมื่อยานลอยพ้นกลุ่มควัน มันก็พุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกเขาเข้าใจว่าเป็นการทดลองเครื่องบินแบบใหม่ที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง
เนพ โลเปซ (Nep Lopez) เจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยุตำรวจ ให้การว่าในเวลาประมาณ 18.00 น. วันที่ 24 เมษายน มีโทรศัพท์ 3 รายแจ้งเหตุว่าเห็นลูกไฟสีน้ำเงินบนท้องฟ้า ซึ่งคำบอกเล่าของพยานเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับคำให้การของลอนนี่
อย่าง ไรก็ตาม การสืบสวนสรุปได้แค่เพียงว่าสิ่งที่ลอนนี่พบเห็นเป็นความจริง แต่ไม่สามารถระบุลงไปได้แน่ชัดว่ามันคืออะไรและมาจากไหน บันทึกการสืบสวนถูกประทับตรา “ลับสุดยอด” และส่งต่อให้กับ CIA ในปี 1966
เรื่อง ราวทั้งหมดถูกผู้สื่อข่าวหลายสำนักนำไปตีพิมพ์ กลายเป็นที่โจษจันไม่ด้อยไปกว่ากรณีจานบินตกในเมืองรอสเวลล์เมื่อปี 1947 แต่ลอนนี่ถูกเพื่อนๆตำรวจล้อเลียนจนทนไม่ไหว ยื่นใบลาออกในปี 1966


พบตัวการ
ดร.ไล นัส พอลลิ่ง (Linus Pauling) นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้ง และแตกต่างสาขากัน คือรางวัลสาขาเคมีในปี 1954 และสาขาสันติภาพในปี 1962 ไลนัสสนใจเรื่องราวมนุษย์ต่างดาวโซคอร์โรมาก เขาเขียนจดหมายถึง ดร.สเตอร์ลิ่ง คอลเกต (Stirling Colgate) อธิการบดีมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกเทคในปี 1968 เพื่อขอทราบรายละเอียดเชิงลึกและลับ
สเตอร์ลิ่งเขียนตอบสั้นๆด้วยลาย มือตัวเองว่า แน่นอนเขารู้เรื่องราวทั้งหมด มันเป็นฝีมือของนักศึกษามหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกเทค ซึ่งข้อความในจดหมายนี้ถูกปิดเป็นความลับแม้ไลนัสจะเสียชีวิตลงตั้งแต่ปี 1994 แล้วก็ตาม จนกระทั่งมีคนไปพบจดหมายฉบับนี้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ความลับ 45 ปีจึงถูกเปิดเผยออกมา เมื่อจำนนต่อหลักฐานที่เขียนขึ้นด้วยลายมือตัวเอง สเตอร์ลิ่งจึงยอมรับว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องแหกตา แต่ไม่ขอเล่ารายละเอียด
ดร.แฟรงค์ เอตสคอร์น (Frank Etscorn) นักจิตวิทยามหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกเทค เล่าว่าเขาได้ยินเรื่องมนุษย์ต่างดาวโซคอร์โรมาก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์สอน ที่นี่ ราวกลางทศวรรษที่ 1980 เขาได้สั่งนักศึกษาให้ทำรายงานสืบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
นักศึกษาคน หนึ่งพบว่า เครื่องฉายภาพของมหาวิทยาลัยเครื่องหนึ่งถูกขโมยไปเมื่อวันที่ 24 เมษายน 1964 ซึ่งบังเอิญไปตรงกับวันที่ลอนนี่เห็นมนุษย์ต่างดาว และเมื่อสืบสาวต่อไปก็พบว่า ลอนนี่เคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงของมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกเทคนานถึง 7 ปี
ลอนนี่เป็นคนสงบเสงี่ยม หัวโบราณ ตรงกันข้ามกับนักศึกษาที่เป็นคนรุ่นใหม่ ชอบทำอะไรห่ามๆ ลอนนี่จึงมักมีปากมีเสียงกับนักศึกษาบ่อยๆ หลังจากลอนนี่ลาออกและไปสมัครเป็นตำรวจสายตรวจ เขาก็ยังคงความไม่ชอบขี้หน้านักศึกษามหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกเทค พยายามหาเรื่องกลั่นแกล้งนักศึกษาเสมอๆ ด้วยเหตุนี้เองนักศึกษานิวเม็กซิโกเทคจึงวางแผนล้างแค้น

เรื่องกล้วยๆสำหรับวิศวกร
แม้ จะไม่มีใครปริปากถึงรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องและวิธีการ แต่พวกเขาก็ยอมรับว่ามนุษย์ต่างดาวโซคอร์โรเป็นเรื่องแหกตา นักศึกษามหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกเทคมีความสามารถระดับชั้นหัวกะทิของประเทศ เลยทีเดียว กับแค่สร้างภาพลวงตายานอวกาศและมนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องขี้ผงๆ
ยาน อวกาศก็อาจใช้แค่บอลลูนสีเงินลูกใหญ่ ใช้สีแดงเขียนเครื่องหมายสัญลักษณ์ เสียงระเบิดและเปลวไฟก็ใช้ดอกไม้เพลิง มนุษย์ต่างดาวก็แค่เลือกนักศึกษาตัวเล็กๆ 2 คนมาแต่งชุดคลุมสีขาว ร่องรอยบนพื้นก็แค่ขุดหลุมตื้นๆแล้วเอาไฟเผาบริเวณรอบๆ
นักศึกษาพวก นี้รู้จักรอนนีดี รู้ว่าจะหลอกล่อเขาไปยังสถานที่เกิดเหตุได้อย่างไร ลอนนี่เป็นแค่ชาวบ้านนอกธรรมดาๆคนหนึ่ง เขาไม่ใช่คนฉลาดสักเท่าใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับนักศึกษาชั้นหัวกะทิ
หากลอง ย้อนกลับไปดูกิจกรรมของบรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจะพบว่า พวกเขามีประเพณีทำอะไรแผลงๆอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่มหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกเท่านั้น มหาวิทยาลัยดังๆอย่าง MIT หรือ Caltech ก็มีประเพณีแบบนี้เช่นกัน และสิ่งที่พวกเขาทำก็ล้วนแต่สร้างความฉงนงงงวยให้กับผู้ที่พบเห็นว่าทำไปได้ อย่างไร เช่น การขโมยรถตำรวจและรถดับเพลิงเอาขึ้นไปจอดบนยอดโดมมหาวิทยาลัย หรือการขโมยวัวพลาสติกหนัก 250 กก. จากร้านสเต็กไปตั้งบนยอดโดมแล้วเอาไปคืนเจ้าของในตอนเช้าโดยเจ้าของร้านไม่ รู้ตัวด้วยซ้ำว่าวัวถูกขโมยไป
ตำนานมนุษย์ต่างดาวโซคอร์โรจึงเป็นเพียงแค่เรื่องแหกตา ที่นักศึกษาจงใจทำขึ้นเพียงแกล้งตำรวจที่เป็นคู่อริคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 227 วันที่ 3-9 ตุลาคม พ.ศ. 2552 หน้า 42 คอลัมน์ ร้ายสาระ โดย ศิลป์  อิศเรศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น