วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ฤาเทพเจ้าในตำนาน...ก็คือ เอเลียน ที่มาเยือนโลก

Pic_185056
    
   จอมเทพซูสของชาวกรีก
  
   เรื่อง ราวของจอมเทพผู้ยิ่งใหญ่ เช่น ซูส (Zeus) หรือธอร์ (Thor) นั้น ปรากฏอยู่ในตำนานนับพันๆปีมาแล้ว ซึ่งได้เล่าถึงบางคราที่เสด็จลงมาจากสวรรค์พร้อมกับเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ไปทั่วทั้งพิภพ โดยมีแสงโชติช่วง อาวุธในหัตถ์ของพระองค์ก็ทรงอำนาจเหนือธรรมชาติ ดั่งเช่นสายฟ้าฟาดในหัตถ์ของซูส หรือค้อนทรงพลังของธอร์
  
   เคย ฉงนใจบ้างไหมครับ ว่าเรื่องของปวงเทพเจ้าเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากจินตนาการล้วนๆของบรรพบุรุษของ เราจริงหรือ จุดกำเนิดตลอดจนอาวุธและอิทธิฤทธิ์ต่างๆนั้นบรรพบุรุษของเราสร้างสรรค์ขึ้น มาเองได้อย่างไร
  
    

   แท่งหินคาร์นัก   
      แท่งหินคาร์นัก
   
  
   หรือ เป็นไปได้ไหมว่า ท่านได้เคยเห็น-เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับมนุษย์ประหลาดที่ลงมาเยือนโลกจาก ท้องนภากาศ เขามาด้วยยานอันมีเสียงกระหึ่มครึมครามและแสงสว่างจ้า อาวุธของเขาก็ทรงพลังอำนาจดุจเดียวกับสายฟ้าของซูส หรือขวานของธอร์ ท่านจึงสร้างตำนานเปรียบเทียบยกให้เขาเหล่านั้นสูงส่งดุจเดียวกับเทพเจ้า
  
   ไทย รัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนพิเศษ ขอนำท่านผู้อ่านติดตามบรรดานักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีไปค้นคว้าและ วิเคราะห์ดูว่าแท้จริงแล้วเทพเจ้านั้นก็คือเอเลียนจากดวงดาวอันไกลโพ้นจริง หรือไม่
  
   
         เทพโอดินของชาวนอร์ส      
         เทพโอดินของชาวนอร์ส
      
     
      เริ่ม จากตำนานที่เทพเจ้าหลายองค์มีส่วนเกี่ยวข้อง นั่นคือ มหากาพย์อีเลียด (Iliad) ของจอมกวีโฮเมอร์ (Homer) ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อราว 800 ปีก่อน ค.ศ. กล่าวถึงศึกใหญ่แห่งเมืองทรอย (Troy) นักโบราณคดีส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเป็นเพียงนิยายที่ประพันธ์ขึ้น หากทว่า ไฮน์ริช ชไลมานน์ (Heinrich Schliemann) นักโบราณคดีสมัครเล่นชาวเยอรมัน คิดว่าน่าจะมีเค้าจากเรื่องจริง และตัดสินใจค้นคว้าหาหลักฐานเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
     
      ปี ค.ศ.1868 ชไลมานน์ได้ขุดหลุมใหญ่ในบริเวณชุมชนทรูวา (Truva) เมืองเล็กๆในตุรกี และเขาก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้โลกต้องตะลึง นั่นคือ ซากโบราณสถานซึ่งตรงกับเมืองทรอยที่โฮเมอร์ได้รจนาไว้
     
      
               ยานอวกาศหรือวิมานเทวดา         
            ยานอวกาศหรือวิมานเทวดา
         
        
         ดัง นั้น  ถ้าหากสงครามแห่งทรอยเป็นเรื่องจริง เทพเจ้าต่างๆที่ปรากฏอยู่ในตำนานเรื่องนี้ก็น่าจะมีจริง รวมไปถึงเทพองค์ต่างๆในตำนานกรีกก็น่าจะมีจริงด้วย มิฉะนั้น  เหตุใดเล่าในประเทศกรีซจึงเต็มไปด้วยวิหารแห่งเทพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นอะโครโปลิส (Acropolis) เดลฟี (Delphi) พาร์ธีนอน (The Parthenon) วิหารอพอลโล (The Temple of Apollo) ฯลฯ
        
         ซึ่ง ถ้าหากชนกรีกโบราณจินตนาการเรื่องพระเจ้าบนสวรรค์ขึ้นเอง แล้วทำไมชนชาติที่อยู่ในดินแดนอื่นจึงมีเทพเจ้าที่ละม้ายคล้ายกันด้วยเล่า หรือเป็นเพราะความสอดคล้องกันอย่างบังเอิญ
        
         
                     ผู้คนในยุคก่อนอาจเคยพบเห็นยานบินลึกลับ และเชื่อว่านั่นคือพาหนะของเทพเจ้า            
               ผู้คนในยุคก่อนอาจเคยพบเห็นยานบินลึกลับ และเชื่อว่านั่นคือพาหนะของเทพเจ้า
            
           
            หรือจริงๆแล้วเป็นเพราะ...ชาติต่างๆก็ล้วนได้เคยประสบเหตุการณ์ที่มีผู้ลงมาเยือนโลกจากท้องฟ้าเบื้องบน
           
            อารยธรรม แรกสุดของโลกเริ่มขึ้นเมื่อ 3,800 ปีก่อน ค.ศ. ชนสุเมเรียน (Sumerian) ได้ทำให้เรามองเห็นภาพพจน์ความสัมพันธ์ของพวกเขากับเหล่าเทพที่มีความผูกพัน ในระหว่างดำรงชีวิตอยู่ด้วยกัน เขาขนานนามเทพเจ้าเหล่านี้ว่า “อันนุนากิ” (Annunaki) ซึ่งแปลง่ายๆว่า “ผู้ซึ่งลงมาจากสวรรค์สู่โลกมนุษย์”
           
            อิ ริก ฟอน ดานิเกน (Erich von  Daniken) นักเขียนสวิสผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งดาราศาสตร์โบราณ ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ Odyssey of Gods ว่าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาต่างๆของโลกล้วนเต็มไปด้วยคำบรรยายที่กล่าว ถึงอำนาจเหนือธรรมชาติที่เข้ามาผูกพันอยู่กับชีวิตมนุษย์ แต่สิ่งที่ว่านั้นแท้จริงมิใช่เทพเจ้า (Gods)
           
            
                           เทพยดาในตำนานปรัมปรา อาจมีที่มาจากต่างดาวก็เป็นได้               
                  เทพยดาในตำนานปรัมปรา อาจมีที่มาจากต่างดาวก็เป็นได้
               
              
               โดย เมื่อหลายพันปีก่อนโน้น ครั้งเมื่อบรรพบุรุษของเรายังป่าเถื่อน ได้มีมนุษย์ต่างดาวหรือเอเลียนลงมาสู่โลกของเรา เทคโนโลยีของพวกเขาเหล่านั้นสูงส่งเกินความเข้าใจของบรรพบุรุษของเรา ปู่ทวดเราจึงเหมาเอาว่าผู้ที่ลงมาเยือนนั้นก็คือเทพเจ้านั่นเอง
              
               บน ยอดเขาโอลิมปุส (Mt.Olympus) ซึ่งเป็นเขาสูงที่สุดของกรีซ ในตำนานระบุว่า เป็นที่พำนักของปวงเทพ โดยมีซูสประทับบนบัลลังก์และพิพากษาชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกคน วิมานบนยอดโอลิมปุสนี้ เป็นอาคารที่เรืองรองด้วยทองคำและเงิน ระยิบระยับด้วยแสงแห่งอัญมณี ซึ่งหากว่ามองด้วยสายตาแห่งวิทยาการปัจจุบัน วิมานนี้ก็คือยานอวกาศ (Space Ship) ที่จอดอยู่บนยอดเขา บางครั้งก็เกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น แล้วส่วนยอดของขุนเขาก็เคลื่อนตัวลอยสูงและหายวับไปกับตา
              
               
                                 กวีเอกโฮเมอร์                  
                     กวีเอกโฮเมอร์
                  
                 
                  ซึ่ง หากว่าบนยอดโอลิมปุสนี้เป็นที่พักของเอเลียนจากไกลโพ้น เป็นไปได้ไหมว่าซูสนั้นก็คือหัวหน้าผู้บังคับบัญชายานอวกาศนั่นเอง ในมหากาพย์อีเลียดและโอดิสซีย์ระบุว่า ซูสมีอสุนีบาตเป็นอาวุธอันทรงอานุภาพ สามารถทำลายเมืองทั้งเมืองให้ย่อยยับเป็นเถ้าธุลีด้วยอาวุธมหาประลัย (รังสีคอสมิกหรือเลเซอร์)
                 
                  กาล ต่อมา เมื่อโรมมีอำนาจปกครองยุโรปและแถบเมดิเตอร์เรเนียนตั้งแต่ศตวรรษแรกก่อน ค.ศ.จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ชาวโรมันได้สักการบูชาเทพเจ้าที่มีรูปแบบเดียวกันกับเทพเจ้าของกรีก หากเปลี่ยนพระนามจากซูสเป็นจูปิเตอร์ (Jupiter) และโพไซดอนก็เป็นเนปจูน (Neptune) ทว่า อพอลโลยังคงเป็นนามเดียวกันทั้งกรีกและโรมัน
                 
                  การ ที่มีรูปแบบเทพเจ้าเหมือนกันนี้มาจากความบังเอิญกระนั้นหรือ  มิใช่นักดาราศาสตร์โบราณส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเป็นเพราะกรีกและโรมันได้เคย เผชิญกับผู้ทรงอำนาจจากดาวอื่นที่ลงมาเยือนโลกเมื่อหลายพันปีก่อนโน้น พวกเขามาสู่พิภพได้อย่างไร คำตอบก็คือ ด้วยยานพิเศษที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นด้วยเทคโนโลยีก้าวหน้า
                 
                  
                                       ไฮน์ริช ชไลมานน์                     
                        ไฮน์ริช ชไลมานน์
                     
                    
                     ถ้า เป็นจริงเช่นนั้น ดินแดนส่วนอื่นๆของโลกก็คงเคยต้อนรับเอเลียนชุดเดียวกันนี้ด้วยน่ะซี และพวกเขาได้ไปเยือนดินแดนไหนบ้างล่ะ?
                    
                     ทาง ตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ชายฝั่งด้านบริทแทนี (Britany) ณ ที่นี้คือโบราณ สถานก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก  หมู่บ้านคาร์นัก (Carnac) เป็นที่สถิตของแท่งหินยักษ์ (Megalithic  Stones) กว่า 3,000 แท่ง วางเรียงรายเป็นแนวยาวกว่า 2 ไมล์ แนวหินคาร์นักนี้สกัดมาจากชั้นหินในท้องถิ่นและถูกวางตั้งในช่วงเวลาระหว่าง 4,500 ปี กับ 2,500 ปีก่อน ค.ศ. อันเป็นปลายยุคหิน (Stone Age) นับเป็นการสะสมรวบรวมแท่งหินยักษ์ที่มากมายที่สุดของโลก
                    
                     
                                             อิริก ฟอน ดานิเกน                        
                           อิริก ฟอน ดานิเกน
                        
                       
                        นัก โบราณคดีต้องอัศจรรย์ใจกับความมหึมาของแท่งหินคาร์นัก น้ำหนักของแท่งหินแกรนิตแต่ละก้อนมีตั้งแต่ 50 ตัน ไปจนถึง 350 ตัน ลือกันว่ามียักษ์มาวางตั้งไว้ ทว่า นำมาเรียงเป็นรูปแบบหลายลักษณะด้วยเหตุอันใดนั้นไม่กระจ่างชัด บางชุดเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยม ซึ่งต้องมองจากบนฟ้าจึงจะเห็น อาจเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อสารกับผู้มาเยือนบนโพยมยานอวกาศ น่าสงสัยว่าคนยุคนั้นจะเอาพลังงานจากไหนมาเคลื่อนย้ายหินมหึมาเหล่านี้ได้ เว้นแต่จะมี...เทพอพอลโลที่มากับยานอวกาศ ได้ช่วยสอนวิธีการให้
                       
                        เหนือ ขึ้นไป 1,000 กว่าไมล์ จากคาร์นัก เป็นดินแดนสแกนดิเนเวีย ที่มีชนโบราณนอร์ส (Norse) อาศัยอยู่ พวกเขาก็มีตำนานของเรื่องเทพเจ้าผู้ทรงอาวุธอานุภาพใหญ่หลวง เทียบได้กับเทพเจ้ากรีกเช่นกัน
                       
                        อาทิ จอมเทพโอดิน (Odin) ของชาวสแกนนั้นก็เป็นเทพแห่งสงครามและความตาย เทียบได้กับซูสของกรีกและจูปิเตอร์ของโรมัน จอมเทพทั้งปวงนี้ทรงราชยานเหินอยู่บนนภากาศ อาวุธอย่างหนึ่งของโอดินก็คือ หอกศักดิ์สิทธิ์ที่เมื่อพุ่งออกไปแล้วไม่เคยพลาดเป้าหมาย ส่วนเทพอีกองค์หนึ่ง ธอร์ (Thor) เจ้าแห่งพายุและความอุดมสมบูรณ์ ก็มีค้อนที่ทรงพลานุภาพ สามารถทำลายได้ทุกสิ่งละม้ายกับสายฟ้าของซูสยังไงยังงั้น
                       
                        คราว นี้ข้ามมายังบูรพาทิศบ้าง  ในมหากาพย์มหาภารตยุทธ์ของอินเดียได้กล่าวถึงเทพเจ้าหลายองค์ที่มาเยือนด้วย ยานอวกาศ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง แต่แน่นอนชาวอินเดียไม่ได้เรียกพาหนะนั้นว่า Space ship พวกเขาขนานนามมันว่า “วิมาน (Vimana)” หรือที่สถิตของปวงเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์
                       
                        ตำนาน มหาภารตะเล่าถึงพระนางกุนตี (Kunti) ผู้ซึ่งสุริยเทพได้เสด็จลงมาร่วมรัก และได้กำเนิดกรรณ (Krana) ผู้เก่งกล้าในวิทยายุทธ์ เรื่องนี้อาจเทียบได้กับเฮอร์คิวลิส (Herculer) วีรบุรุษกึ่งเทพของกรีก ผู้ซึ่งถือกำเนิดจากการที่จอมเทพซูสเสด็จมาสมพาสกับมนุษย์ธรรมดานามอัลคมีเน (Alcmene)
                       
                        นัก ดาราศาสตร์โบราณได้ระบุถึง “เด็กดวงดาว (Star Children)” ว่าเป็นผลผลิตของมนุษย์ที่เดินดินกับเอเลียนผู้มาเยือน โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่จำเป็นต้องมีการร่วมรักดังเช่นในปัจจุบัน การให้กำเนิดทารกนั้นอาจใช้เทคโนโลยีผสมเทียม
                       
                        เป็น ไปได้หรือไม่ว่าเอเลียนจากต่างดาวได้ใช้ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของ เขาทำให้สาวชาวพิภพของเราตั้งครรภ์ โดยมิได้ร่วมหลับนอนกับเธอแต่อย่างใด!
                       
                        
                                                   เทพอันนุนากิของสุเมเรียน                           
                              เทพอันนุนากิของสุเมเรียน
                          
ที่มา : นิตยสาร ต่วย'ตูน
http://www.thairath.co.th/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น