วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

จานบินเอ็กซเตอร์


เจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจพื้นที่ตามที่ได้รับ แจ้งเหตุว่าพบเห็นวัตถุบินได้ลึกลับ เพียงไม่กี่นาทีต่อมาพวกเขาก็วิทยุกลับมายังสถานีตำรวจด้วยอาการตื่นตระหนก “โอ้พระเจ้า ผมเห็นมันกับตาตัวเอง”
วันที่ 2 กันยายน 1965 นอร์แมน มัสคาเรลโล (Norman Muscarello) เด็กหนุ่มวัย 18 ปี เดินทางไปบ้านแฟนสาวในเมืองอเมสเบอรี่ รัฐแมสซาชูเซตส์ เขาเพลิดเพลินไปหน่อยจนเลยเวลาเที่ยงคืนทำให้ตกรถโดยสารเที่ยวสุดท้าย นอร์แมนพยายามโบกรถที่วิ่งผ่านมาเพื่อขอโดยสารกลับบ้านในเมืองเอ็กซเตอร์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ไกลนัก แต่ก็ไม่มีรถยนต์คันใดกล้าหยุดรับชายแปลกหน้ากลางถนนเปลี่ยวยามดึก นอร์แมนจึงต้องพึ่งลำแข้งตัวเอง เดินเท้าฝ่าความมืดตามลำพัง
แม้ว่าจะเป็นคืนเดือนมืด แต่ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งจนเห็นดาวนับล้านดวงพร่างพรายในท้องฟ้า นอร์แมนเดินมาตามถนนทางหลวงสาย 150 สองข้างทางเป็นทุ่งนา มีบ้านคนปลูกห่างกันเป็นระยะๆตามแบบฉบับของหมู่บ้านในชนบท
ประมาณเวลา 02.00 น. ของเช้าวันที่ 3 กันยายน นอร์แมนเดินอยู่ระหว่างบ้าน 2 หลังที่ปลูกห่างกันพอประมาณ ทันใดนั้นเขาก็เห็นแสงสว่างกะพริบอยู่บนท้องฟ้าทางทิศเหนือ มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วตรงมายังตำแหน่งที่นอร์แมนเดินอยู่
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมาก เพราะก่อนหน้านี้ท้องฟ้ายังปลอดโปร่งมีแต่เพียงดวงดาว เพียงไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ปรากฏกายขึ้นอย่างเงียบๆและเปล่งแสงสุกสว่าง ดูเหมือนว่ามันจะเคลื่อนตัวได้โดยปราศจากเครื่องยนต์เพราะไม่มีเสียงใดๆให้ ได้ยิน บรรยากาศรอบตัวยังคงเงียบสงัด
นอร์แมนแหงนหน้าขึ้นดู แสงสว่างเจิดจ้าทำให้เขาตาพร่ามัว แล้วจู่ๆมันก็หายลับไปอย่างรวดเร็วเหมือนที่ปรากฏกาย หลังจากที่เขาหายงงและปรับให้สายตาหายจากอาการพร่ามัวได้ เจ้าวัตถุประหลาดก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง นอร์แมนตกใจสุดขีด เขารีบหมอบราบลงกับพื้นและเงยหน้าขึ้นดูว่ามันคืออะไร
มันเป็นสิ่งบินลึกลับที่ไม่ใช่เครื่องบิน มีขนาดใหญ่กว่าบ้านทั้งหลัง เปล่งแสงสีแดงออกมาทั่วลำตัว และจู่ๆมันก็บินหายไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง นอร์แมนรีบลุกขึ้นยืนและออกวิ่งไปยังบ้านกลางทุ่งหลังที่อยู่ใกล้ที่สุด เขาเคาะประตูร้องขอความช่วยเหลือ แต่แน่ล่ะว่ายามดึกสงัดในชนบทเปลี่ยว เจ้าของบ้านย่อมไม่ยอมเปิดประตูต้อนรับคนแปลกหน้า

เรื่องปรกติของคืนนี้
นอร์แมนวิ่งกลับมาที่ถนน แต่คราวนี้เขาไม่เดินเลาะข้างทาง นอร์แมนเดินขวางกลางถนนจนกระทั่งมีรถยนต์แล่นผ่านมาทำให้คนขับรถจำใจจอดรับ ชายแปลกหน้ากลางดึก นอร์แมนขอให้คนขับรถพาเขาไปส่งยังสถานีตำรวจ
เจ้าหน้าที่เรจินัลด์ ทูแลนด์ (Reginald Toland) รับแจ้งเหตุโดยไม่แสดงอาการแปลกใจ แถมยังเล่าให้ฟังว่าเขาได้รับแจ้งเหตุเรื่องคล้ายๆกัน 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองเรย์มอนด์แจ้งตำรวจว่าขณะที่เธอขับรถอยู่บนทางหลวงสาย 101 มีวัตถุบินลึกลับขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือรถยนต์ของเธอก่อนจะบินหายไปอย่างรวด เร็ว
ผู้หญิงคนนั้นตกใจมาก เธอจึงจอดรถข้างทาง นั่งตัวสั่นงันงกจนกระทั่งรถตำรวจสายตรวจขับผ่านมาจึงจอดรถเข้าเทียบแล้วสอบ ถามเรื่องราว เธอเล่าให้ฟังว่ามีวัตถุบินได้ขนาดมหึมาเปล่งแสงสีแดงไล่ตามรถของเธอเป็น ระยะทาง 12 ไมล์ เมื่อเธอจอดรถวัตถุบินได้นั้นก็ลอยอยู่เหนือรถของเธอก่อนจะบินหายไป
ตำรวจสายตรวจยูจีน เบอร์ทรานด์ (Eugene Bertrand) ปลอบประโลมจนผู้หญิงคนนั้นตั้งสติหายหวาดกลัว สามารถขับรถต่อได้ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องราวที่เธอเล่าให้ฟังเพราะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคง เมายาหรืออะไรสักอย่าง
ต่อมาไม่นานนักก็มีชายคนหนึ่งโทรศัพท์มาแจ้งเหตุว่าพบวัตถุบินลึกลับขนาด ใหญ่เปล่งแสงสีแดงอยู่บนท้องฟ้า เรจินัลด์จึงวิทยุให้ตำรวจสายตรวจเดินทางไปยังจุดที่ชายคนนั้นอยู่ เมื่อตำรวจเดินทางไปถึงก็พบแต่ตู้โทรศัพท์สาธารณะว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ที่ นั่น จึงคิดว่ามีคนกุเรื่องขึ้นมาแหกตาตำรวจ

เจอตัวเป็นๆ
คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีคนแจ้งเหตุคล้ายคลึงกันถึง 3 ราย เรจินัลด์จึงบอกให้นอร์แมนพาตำรวจสายตรวจยูจีนไปตรวจที่เกิดเหตุ เมื่อทั้งคู่เดินทางไปถึงจุดที่นอร์แมนเห็นวัตถุบินลึกลับ มันมีแต่เพียงทุ่งนาโล่ง ยูจีนใช้ไฟฉายตำรวจสาดไปทั่วท้องนาแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดๆ
นอร์แมนและยูจีนลงจากรถเพื่อเดินไปยังทุ่งนา มันเป็นเวลาเดียวกับที่รถตำรวจสายตรวจอีกคันหนึ่งโฉบเข้ามาจอดใกล้ๆ ตำรวจสายตรวจเดวิด ฮันต์ (David Hunt) จากสถานีตำรวจเมืองนอร์ทแฮมตัน รัฐมิสซูรี ได้ยินเรื่องพิลึกกึกกือจากวิทยุตำรวจจึงตามมาดู
เดวิดแสดงตัวให้คนทั้งสองได้รู้ “ผมมาจากมิสซูรี จะมาดูพวกคุณเมายาอะไรกัน” กระแหนะกระแหนไม่ทันขาดคำ เดวิดก็ทำตาโตตะโกนร้อง “นรกอะไรวะนั่น” นอร์แมนและยูจีนแหงนหน้าขึ้นดู และทั้ง 3 คนก็ได้เห็นวัตถุทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางราว 30 เมตร เปล่งแสงสีแดงจ้าลอยอยู่ในท้องฟ้า
ยูจีนเอื้อมมือไปที่ซองปืนข้างเอวเตรียมพร้อมตามสัญชาตญาณตำรวจ วัตถุบินได้ลึกลับปรากฏกายให้เห็นราว 1 นาทีก่อนที่จะบินหายไปอย่างรวดเร็ว ยูจีนรีบเดินกลับมาที่รถ เขาวิทยุบอกเรจินัลด์ “โอ้พระเจ้า ผมเห็นมันกับตาตัวเอง”

ดิเอ็กซ์ไฟล์
ยูจีนขับรถมาส่งนอร์แมนที่บ้าน หลังจากที่ยูจีนและเดวิดเขียนรายงานพวกเขาก็ได้รับการติดต่อจากหนังสือพิมพ์ ท้องถิ่นเพื่อขอสัมภาษณ์ กลายเป็นข่าวใหญ่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
วันต่อมาเวลา 07.30 น. นายทหารพร้อมผู้ติดตามปรากฏตัวขึ้นที่บ้านนอร์แมน เขาแนะนำตัวว่าชื่อพันเอกคีโฮ (Kehoe) จากฐานทัพอากาศพีส (Pease) มันน่าแปลกที่จ่าอากาศผู้ติดตามมีกุญแจมือคล้องกับกระเป๋าเอกสารใบใหญ่ เหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งของมีค่ายิ่งยวด
พันเอกคีโฮแสดงอำนาจบาตรใหญ่ สั่งให้นอร์แมนหุบปาก ห้ามให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ห้ามเซ็นสัญญาบอกเล่าเรื่องราวกับทุกคน และถามนอร์แมนว่าไปขึ้นทะเบียนทหารเกณฑ์หรือยัง
นอร์แมนอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ เขามีหน้าที่จะต้องไปขึ้นทะเบียนเป็นทหารรับใช้ชาติ หากแต่ว่าเขายังมีเวลาจนถึงสิ้นเดือนกันยายนจึงรอว่าจะไปรายงานตัวในวันสุด ท้าย
“ถ้าแกขึ้นทะเบียนทหารแล้วละก็ ฉันจะเอาตัวแกไปฐานทัพเดี๋ยวนี้” พันเอกคีโฮแสดงอำนาจข่มขู่ จ่าทหารอากาศไขกุญแจมือ นำกระเป๋าเอกสารวางบนโต๊ะแล้วเปิดออก มารดาของนอร์แมนสงสัยว่ามีอะไรสำคัญนักหนาอยู่ในกระเป๋าจนต้องใช้กุญแจมือ คล้องเอาไว้ เธอจึงแกล้งทำเป็นว่าจะไปชงกาแฟมาเสิร์ฟโดยเดินอ้อมไปด้านหลังของจ่าทหาร อากาศ
พันเอกคีโฮรีบตวาดให้มารดาของนอร์แมนออกไปห่างๆ มารดาของนอร์แมนก็สวนกลับทันทีเหมือนกัน “นี่มันบ้านของฉัน โต๊ะที่วางกระเป๋าก็ของฉัน ถ้าคุณไม่พอใจก็ไสหัวออกไป” นอร์แมนได้ที พูดเสริม “ใช่เลยแม่ ถ้าพวกแกไม่ออกไปฉันจะจับแกโยนออกไปเอง”
ต่อมาภายหลังอีกหลายสิบปี นอร์แมนจึงรู้ว่าพันเอกคีโฮเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของโครงการสมุดปกน้ำเงิน (Project Blue Book) ซึ่งเป็นโครงการลับของกองทัพอากาศ มีหน้าที่สืบสวนเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งบินลึกลับ
ปัจจุบันตัวละครทุกคนเสียชีวิตหมดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ามืดวันที่ 3 กันยายน 1965 ในเมืองเอ็กซเตอร์ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่าวัตถุบินได้ลึกลับที่นอร์แมนและเจ้าหน้าที่ ตำรวจอีก 2 คนเห็นนั้นคืออะไร แต่อย่างน้อยมันก็ต้องมีความสำคัญมากๆจนกองทัพอากาศต้องส่งนายทหารมาข่มขู่ พยานไม่ให้ปริปากบอกใคร

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 328 วันที่ 17 - 23 กันยายน พ.ศ. 2554 หน้า 36 คอลัมน์ ร้ายสาระ โดย ศิลป์ อิศเรศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น