วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

Alien & Extraterrestrial Intelligence








1.ความหมายของ มนุษย์ต่างดาว ในทางวิชาการ ?


คำอธิบายในขณะนี้
--------------------

เป็นสิ่งที่ตอบได้แต่เข้าใจยาก เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจน ไม่มีตัวอย่างทางกาย
ภาพ ทำให้จินตนาการไป ในแนวที่คล้ายเรื่องราวในภาพยนต์ ยิ่งทำให้น้ำหนัก
ความน่าเชื่อถือน้อยลง สำหรับผู้ที่ไม่เชื่ออยู่แล้ว ในมุมกลับกันผู้ที่เชื่ออาจเห็น
สอดคล้องไปกับตัวละครในภาพยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เช่นกัน

ในเชิงวิทยาศาสตร์ Alien (ผู้ถือกำเนิดขึ้นจากโลกอื่น) หมายถึง ผู้หนึ่งผู้ใด สิ่ง
หนึ่งสิ่งใด ระบบชีวิตหนึ่งชีวิตใด ที่มิได้กำเนิดบนดาวเคราะห์โลก โดยถือว่าอาจ
มาจากที่ใดก็ได้ จากนอกโลกหรือในอวกาศ เป็นการก่อตัว หรือถือกำเนิดแตก
ต่างจากธรรมชาติบนโลกของเรา

ทั่วไปเรียกว่า มนุษย์ต่างดาวได้ ทั้งนี้มิได้เจาะจงในเรื่องระบบชีวิต ระดับความ
คิดหรือรูปแบบที่ชัดเจน เป็นการเรียกโดยรวมอาจเป็นอะไรก็ได้ (สัตว์ประหลาด
/ มนุษย์ประหลาด ฯลฯ) โดยไม่จำเป็นต้องมีความเป็นอารยะธรรมใดๆก็ได้

ต่างจากคำว่า สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล (Extraterrestrial Intelligence) เจาะ
จงเป็นสิ่งใดก็ตาม ต้องมีเชาว์ปัญญาไหวพริบ ไม่ด้อยไปกว่าระดับ ของมนุษย์

พื้นฐานไม่มีความโหดร้าย ที่อาจต่างไปจากมนุษย์ มีสติปัญญาไม่ด้อยไปกว่า
มนุษย์ ทั้งนี้มีความหลากหลายเผ่าพันธ์ วงศ์วานไม่เหมือนกัน อยู่กับลักษณะ
พิเศษของดาวเคราะห์ (หรือแหล่งอาศัย) สภาพแวดล้อมแห่งอารยะธรรมนั้นๆ
กระทั่งความต่างของมิติ (Extra-dimension) หรือความต่างจักรวาลจากสมมุติ
ฐาน เรื่องเครือข่าย (หลาย) จักรวาล (Multiverse)

อาจมีอารยะธรรมเข้มแข็งมาก หรือเข้มแข็งน้อยกว่าโลกได้ หรือ มีความสุดขั้ว
ต่อความก้าวหน้าของอารยะธรรมนั้น อย่างนึกไม่ถึง สิ่งทรงปัญญาแต่ละเผ่าพันธ์
มีคุณสมบัติเฉพาะ ในแต่ระบบของตน เช่น Genius class (กลุ่มที่มีรอบรู้เฉลียว
ฉลาดระดับอัฉริยะ) หรือ Member class (กลุ่มสมาชิกมีความรอบรู้เฉพาะด้าน)

 
1 ในเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ การค้นหาสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล
การแสดงตน อาจเพียงเป็นกลุ่มมวลพลังงานเป็นแสง อยู่ในสถานะ พลาสมา
(Plasma) และ ควาร์ก-กลูออน พลาสม่า (Quark-gluon plasma) หรือเฟอร์มิ-
โอนิค คอนเดนเซต (Fermionic condensate) และ โบสัน (boson) ฯลฯ โดย
ทั้งหมดอยู่ในสถานะควอนตัม (Quantum state) ศักยภาพมนุษย์อาจมองไม่เห็น
(Invisible universal)

หรือ บางกรณี อาจแสดงเป็นกลุ่มของสภาพระบบทางกายภาพ มองเห็นได้ด้วย
ตาเปล่า ซึ่งมีความสัมพันธ์ กับโครงสร้างทางเคมีและคุณสมบัติทางฟิสิกส์ แบบ
บนโลกก็ได้ ส่วนใหญ่มักมีความแปลกประหลาดจนมนุษย์ไม่เข้าใจ โดยภาพรวม
มีศักยภาพสูง เรื่องการเรียนรู้ มีความเข้าใจได้รวดเร็ว ทั้งนี้ขนาดรูปทรงสันฐาน
มิใช่เป็นประเด็นสำคัญ ระบบที่มีศักยภาพสูง แสดงออกได้โดยการแผ่รังสี หรือ
การแผ่คลื่นไฟฟ้า เป็นต้น

เหตุผลที่มาของ Extraterrestrial Intelligence เนื่องจาก นักวิทยาศาสตร์มีแนว
คิดหาทางใช้วิธี ติดต่อสื่อสารกับ อารยะธรรมต่างดาว (Searching for an ETI
Civilization)
โดยการส่งสัญญาน คลื่นวิทยุระยะไกล จากโลกออกไปยังอวกาศ
โดยมีความหวังว่าข้างนอกอันไกลโพ้น อาจจะมีอารยะธรรมอื่นรับทราบสัญญาน
และติดต่อกลับมายังโลกมนุษย์ ในสักวันหนึ่งข้างหน้า

ฉะนั้น ผู้ใดก็ตามในโลกอื่น ที่มีความสามารถเข้าใจ โต้ตอบสัญญานกลับมาได้
แสดงว่าสติปัญญาความสามารถ คงไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์โลก ถือว่าเป็นสิ่งทรง
ปัญญาได้ จะทำให้มนุษย์โลกประเมินค่า ความสามารถด้านอารยะธรรม ว่า
กำลังติดต่อสื่อสารกับใคร ในโลกอื่น

สังเกตในรายงานทางวิชาการ จะพบว่ามักใช้คำว่า Extraterrestrial Intelligence
มากกว่า ในข่าวสารสำหรับสาธารณะชนทั่วไปมักใช้คำว่า Alien มากกว่า สำหรับ
มนุษย์โลก จะใช้คำว่า Human 

คำตอบในขณะนี้
-----------------

ดังนั้นข้อสรุปในความหมายของ มนุษย์ต่างดาว ทางวิชาการ เป็นการแบ่งแยก
สิ่งที่อยู่ในโลกอื่น (Otherworlds) โดยใช้ระดับสติปัญญาของสิ่งๆนั้น ระบุเน้น
เพิ่มเติมเป็นสมมุติฐาน มากกว่าใช้โครงสร้างทางกายภาพ เนื่องจากวิทยาศาสตร์
ไม่สามารถทราบถึงเรื่องเผ่าพันธ์วงศ์วาน ที่แท้จริงชัดเจน ด้วยเพราะขณะยังไม่มี
หลักฐานใดๆในทางกายภาพ

*(ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ แสดงตัวเลขเปรียบเทียบ ระดับสติปัญญา-ความคิดของมนุษย์โลกนั้น มีประสิทธิภาพและความรวดเร็ว ในการประมวลผล เทียบเท่ากับ Super Computer ถึง 1,000 เท่า)  
2.มนุษย์ต่างดาว มีตัวตนจริงหรือไม่ ?
คำอธิบายในขณะนี้
--------------------

มีเหตุผลสำคัญ แสดงโอกาสความเป็นไปได้ 3 ประการคือ

ประการที่ 1
เหตุผลด้านกายภาพ เพราะจักรวาล มีขนาดใหญ่โต กว้างใหญ่ไพศาล (Scale
of the Universe)
เพื่อให้ความเข้าใจง่ายขึ้น เรื่องขนาดที่ยิ่งใหญ่ของจักรวาล
โดยให้จินตนาการว่า

ถ้าจักรวาลมีขนาดเท่าโลก ดังนั้นโลกก็จะเท่ากับก้อนกรวด 1 ก้อน ซึ่งบนโลก
มีก้อนกรวดอย่างนับไม่ถ้วนอภิมหาศาล เปรียบเท่ากับจำนวนมากมายของวัตถุ
หลายประเภทที่บรรจุอยู่ในจักรวาล เช่น ดาวประเภทต่างๆ ที่เรารู้จักและยังไม่
เคยรู้จักมาก่อน

ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า มนุษย์โลกคงมิได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เพียงลำพังใน
จักรวาล ด้วยจำนวนที่มากมายจนนับไม่ถ้วนของ ดาวประเภทต่างๆ ที่สามารถให้
กำเนิดศักยภาพรูปแบบต่างๆได้อย่างหลากหลาย จนนึกไม่ถึง ซึ่งอาจมีสิ่งอื่นหรือ
มีสิ่งที่คล้ายมนุษย์ ดำรงชีพอยู่อีกนับไม่ถ้วนเช่นกัน
เพียง 100,000 ปีแสง ระบบสุริยะเหลือขนาดจุดเล็กเพียงจุดเดียว ในทางช้างเผือก
ประการที่ 2
เหตุผลด้านการสำรวจทางชีววิทยา ต้องย่อมรับว่าเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ที่มีน้ำหนักเพียงพอ คือ เรื่องต้นกำเนิดแห่งชีวิต (Origin of Life)

ข้อสรุปสมมุติฐานต้นกำเนิดชีวิต จากอวกาศสรุปผลมีประเด็นน่าสนใจดังนี้

1.รากฐานแห่งชีวิตเบื้องต้น ก่อตัวจาก Genetic (การถ่ายทอดทางพันธุกรรม)
ซึ่งไม่ใช่จากบนโลกแต่จาก Grand cosmic (จำนวนมหาศาลของ อนุภาคขนาด
เล็กจากอวกาศ) มีอยู่ทั่วไปในจักรวาล

2.สามารถพบ Bacterial cells (เซลล์จุลชีพ) เกิดขึ้นใน Interstellar clouds
(เมฆหมอกอวกาศแหล่ง ก่อตัวของดาว) โดยพบเป็นหย่อมๆ ลอยล่องอยู่เป็น
ฉากด้านหลัง ของทางช้างเผือก (Milky Way)

3.Bacterial cells เมื่อรวมตัวกับ เมฆหมอกอวกาศ ยุบตัวทับถมก่อกำเนิดดาว
(Stars Birth) ดาวหาง (Comet) และดาวเคราะห์ (Planets)

4.Anaerobic bacteria (จุลชีพที่ไม่ต้องการ อากาศหายใจ) พบจำนวนมากใน
ของเหลวที่ร้อน เช่น ภายในองค์ประกอบของดาวหาง

5.ดาวหาง ที่มีอายุ 100 พันล้านปี (ก่อนกำเนิดระบบสุริยะ) เปรียบเหมือนเป็น
แหล่งเก็บวัตถุดิบ การผ่านเข้าออกจากระยะไกลเรื่อยมา เป็นการบรรทุกวัตถุ
ทางชีวภาพจากอวกาศ โปรยหล่นเป็น อุกกาบาต สะเก็ดดาวตก ฝุ่นธุลีอวกาศ
บนดาวเคราะห์ เช่น โลกอยู่ร่ำไป

ดังนั้นหากที่มา ของมนุษย์โลก มีส่วนมาจากที่อื่นอันไกลโพ้น เชื่อว่ามีเหตุผล
เพียงพอที่จะกล่าวว่า คงเกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน ไปทั่วจักรวาลได้เช่นกัน
Interstellar clouds (เมฆหมอกอวกาศแหล่ง ก่อตัวของดาว)
ประการ ที่ 3
เหตุผลด้านการสำรวจ จากแผนสำรวจต่างดาว (Amazing New Discovery)
เป็นความพยายามนับ 10 ปี ของ SETI Institute เพื่อศึกษาชีวิต ในจักรวาล
(Life in the Universe) และโครงการ สืบค้นสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล (Search
for Extraterrestrial Intelligence) โดยนักวิทยาศาสตร์จากหลายสาขา

การสืบค้นสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล เป็นการรวมกัน ด้วยการสำรวจ ในหลักทาง
วิทยาศาสตร์และด้านเทคโนโลยี หมายถึงการสืบค้นระยะไกลด้วยคลื่นวิทยุเพื่อ
หาความเป็นไปได้ของชีวิต โลกอื่น จากเครือข่ายบนพื้นโลก

เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายแทนที่ต้อง ส่งยานสำรวจออกไปและมีข้อจำกัดด้าน
เทคโนโลยีของการเดินทางระยะไกลที่ต้องใช้มนุษย์ เดินทางไปนับหมื่นปีซึ่ง
ยังไม่สามารถจะกระทำได้

มีข้อสรุป จากวิเคราะห์เชื่อว่า เป็นการตอบโต้ จากโลกอื่น (Other worlds)
เมื่อ 15 สิงหาคม ค.ศ.1977 เป็นครั้งเดียวที่ได้เกิดขึ้น เรียกว่า สัญญาน Wow
แม้ว่าปัจจุบันนี้ ยังไม่มีการพบเพิ่มเติม แต่อย่างน้อยเป็นสิ่งที่อ้างอิงได้ ในเชิง
วิทยาศาสตร์ ที่มิใช่เป็นเพียงคำบอกเล่าทั่วไป
บันทึกรหัสโต้ตอบ สัญญาน Wow
เหตุผลทั้งหลายกลายเป็นบทบาท ทำให้เรื่องต่างดาวเป็นที่สนใจ ต่อการสืบค้น
ของนักวิทยาศาสตร์ คิดอ่านหาหนทาง หาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ อย่างมั่นคงและ
ให้กระจ่างแจ้ง โดยจะสำรวจดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่น (Extra-solar Planets)
นับแสน จากจำนวนดาว (Star) ที่มีอยู่หลายพันล้านดวง ในแถบทางช้างเผือก
ด้วยเทคโนโลยีที่คิดค้นอย่างไม่ลดละ เพื่อหาคำตอบสิ่งที่สงสัย คือ ในจักรวาล
จะมีอารยะธรรมอื่นหรือไม่ และมนุษย์โลกนั้นมาจากที่ใดกันแน่

คำตอบในขณะนี้
-----------------

สำหรับ คำตอบทางวิทยาศาสตร์ เรื่องมนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ ขอแยกเป็น
2 หัวข้อ คือ

1.ยังไม่สามารถสรุปความได้ว่า สิ่งทรงปัญญา (ต่างดาว) มีตัวตนหรือไม่ ในวันนี้
คงพอบอกว่ามีแนวโน้มที่เป็นไปได้ และมากขึ้นตามลำดับ จากข้อสนับสนุนตาม
เหตุผลในหลักเกณฑ์ 3 ประการที่กล่าวข้างต้น

2.สำหรับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก (ต่างดาว) นั้นมีตัวตนแน่นอน ด้วยหลักฐานพบจุลชีพ
ขนาดเล็กในห้องปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์ จากอุกกาบาตดาวอังคาร (Mars)
และจากชิ้นส่วนตัวอย่าง ที่ได้จากดาวหาง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม แสดงความเห็นต่อการสำรวจต่างดาว
ว่า สิ่งทรงปัญญาในจักรวาลที่มีเทคโนโลยีสูง จะใช้ หุ่นยนต์ ประเภทรับรู้ความ
รู้สึกได้ (Sentient Robots) ทำงานแทนด้วยการสื่อสาร ส่งสัญญานในอวกาศ
ระยะไกล หากมนุษย์ตรวจพบสัญญานดังกล่าว อาจสามารถสื่อสารผ่านหุ่นยนต์
นั้นได้ ซึ่งมนุษย์อาจเผชิญกับ หุ่นยนต์ต่างดาวก่อน ก็อาจเป็นได้ 
3. มนุษย์ต่างดาว เดินทางโดย UFO มาเยือนโลก ?
คำอธิบายในขณะนี้
--------------------

การติดตามเรื่องข่าว มนุษย์ต่างดาวเยือนโลก ในทางกายภาพ มีมาตลอด 50 ปี
พบว่ามีทั้งภาพถ่าย และข้อมูลบุคคลจากการสัมภาษณ์ อ้างว่าได้พบปะกับ
มนุษย์ต่างดาวในหลายกรณี

ก่อนอื่นต้องตั้งคำถามกลับไปว่า มีเหตุผลอะไรที่มาเยือนโลก และมาด้วยวิธีใด
คำตอบโดยส่วนใหญ่ จากการกล่าวอ้างมักแสดงเหตุผลว่า ต้องการมาช่วยมนุษย์
ให้พ้นภัยพิบัติ และนำมนุษย์ไปเพื่อศึกษาระบบโครงสร้าง

คำกล่าวอ้างมักกล่าวในทำนองเดียวกัน คือ มนุษย์ต่างดาว เดินทางมาด้วย UFO
หรืิอ Unidentified flying object อันหมายถึง วัตถุบินได้ที่ไม่ปรากฎหลักฐานเห็น
ในแนววิถีของท้องฟ้า มีกลไกการเคลื่อนที่และเปล่งแสงออกมา แต่ไม่สามารถ
อธิบายตามหลักการ เหตุผลปกติได้

ข้อสงสัยขั้นแรก คือ หากต้องการมาช่วยมนุษย์โลกด้วยความเต็มใจแล้ว เหตุใด
จึงไม่เปิดเผยตัวตนให้ชัดเจน เพื่อความเป็นมิตรภาพ อันเป็นอารยะธรรมตาม
หลักมนุษย์โลก (ซึ่งต่างดาวที่มีภูมิปัญญาควรจะเข้าใจได้) และเหตุใดไม่ติดต่อ
กับผู้นำประเทศ หรือองค์การระดับนานาชาติ เช่น องค์การสหประชาชาติ อันเป็น
องค์การที่ยอมรับในด้านมนุษยธรรม (หรือต่างดาวไม่รู้จักองค์กรเหล่านี้)
แต่กลับไปติดต่อกลุ่มต่างๆ สารพัดกลุ่ม ที่ประชากรโลกไม่คุ้นเคย

ส่วนการนำมนุษย์ ขึ้นยานไปเพื่อศึกษาระบบร่างกายนั้น มักเป็นเพียงคำบอกเล่า
มีเพียงร่องรอยแผลที่อ้างว่าถูกผ่าตัด จึงเป็นเหตุที่ยังไม่น่าเชื่อถือเพียงพอจาก
ร่องรอยเช่นนั้นบนร่างกาย
ภาพถ่ายสภาพพื้นที่ บริเวณ ไซบีเรียเหนือ กรณี Tunguska เมื่อ ค.ศ. 1908
สำหรับการเดินทางมาด้วย UFO เป็นสิ่งที่คุ้นหู หลักฐานภาพถ่าย วีดีโอ มากมาย
ที่ภาพมักจะไม่ชัดเจน เลือนลาง อย่างน้อยในอดีตเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ก็มีคำกล่าว
อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก เป็นแนวคิดทฤษฎี ยานต่างดาว UFO จาก
ทังกัสก้า ปริศนาจากแดนไกล (The Tunguska Deep Impact)

นับป็นเวลานานในเรื่อง Tunguska event ถูกกล่าวขวัญ เป็นการระเบิดของยาน
อวกาศจากต่างดาว หรือยานรบสงครามจากต่างดาวขัดข้องจวนจะเกิดอันตราย
ต่อโลกจึงระเบิดตัวเอง ซึ่งมีผู้เชื่อลักษณะดังกล่าวเป็นจำนวนไม่น้อย

เป็นสมมุติฐาน เริ่มจากนวนิยายวิทยาศาสตร์ เขียนโดย Alexander Kazantsev
วิศกรชาวโซเวียต ในปี ค.ศ. 1946 บรรยายมโนภาพ เรื่อง Nuclear-powered
ของยานต่างดาว กลางอากาศเหนือทะเลสาบ โดยได้แรงบันดาลใจจากการทิ้ง
ระเบิดใน Hiroshima ในปี ค.ศ. 1945 หลังจากเขาได้มีโอกาสไปเห็นเองด้วย

ในปี ค.ศ. 2004 ได้มีกลุ่ม Tunguska Space Phenomenon Public State Fund (มูลนิธิปรากฎการณ์เหนือจริงจากอวกาศ) ให้ความเห็นว่าเป็นการอัปปางของยาน
ต่างดาว แต่ปรากฎการณ์ดังกล่าวไม่เคยมีหลักฐานให้พิสูจน์ด้านวิทยาศาสตร์ใดๆ

แต่มีข้อมูลรายงานว่าบริเวณTunguska เป็นขอบเขตพื้นที่ทดลอง ด้านอวกาศของ
รัสเชีย และเคยมีอุบัติเหตุในการทดลอง ในปี ค.ศ.1960 จากการดิ่งตกลงบริเวณ
นั้นโดยได้ ถูกรีบเก็บหลักฐานจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา

ท้ายที่สุด นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ มีความเห็นหนักแน่นว่าเป็น การระเบิดของ
Icy comet(ดาวหาง น้ำแข็ง) โดยระเหยออกเป็นไอจากภายในออกมาสู่นอกผิว
หรือ Small rocky asteroid (ดาวเคราะห์น้อยหินขนาดเล็ก) ผ่านเข้ามาในชั้น
บรรยากาศโลก และหลุดแตกออกเป็นชิ้นๆ กรณีหนึ่งกรณีใด
Catalina Sky Survey หอสังเกตการณ์ 1 ใน 9 แห่ง ของ Space guard Survey ที่มีอยู่ทั่วโลก
หลายครั้งในภาพเหล่านั้น ปราศจากร่องรอยของ UFO ที่เดินทางระยะไกลข้าม
จักรวาล หรือร่องรอยเผาไหม้จากความร้อนสูง ขณะเดินทางสู่ชั้นบรรยากาศโลก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นในทางกายภาพ ทำให้นึกไม่ออกว่าโครงสร้าง ของ UFO
ประดิษฐ์ขึ้นจากอะไรในจักรวาล (ซึ่งอาจไม่มีบนโลก)

หรือเพราะว่า UFO ไม่สามารถอธิบายตามหลักการ และเหตุผลปกติได้อยู่แล้ว
เลยจึงไม่ต้องอธิบาย ซึ่งละไว้เป็นที่เข้าใจกัน แต่สิ่งที่คล้ายกันคือ รูปทรงจานบิน
สีสรรและต้องมีแสงไฟ ทำให้ชวนขบคิดต่อไปว่า การสร้าง UFO คล้ายกันนั้นแท้
จริงมีเหตุผลอย่างไรก็แน่

การเดินทางระยะไกล นับร้อยนับพันปีแสง เป็นปัญหาที่มักไม่มีใครสงสัยว่าต้อง
ใช้เวลาเท่าใด สมมุติว่ามากจากระบบดาวที่อยู่ไกล 100 ปีแสง และ UFO นั้นมี
ความเร็วใกล้ความเร็วแสง (ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่มนุษย์ โลกเข้าใจ)

หมายความว่า ต้องเดินทางมายังโลก 100 ปี หากไป-กลับ ต้องใช้เวลา 200 ปี มนุษย์ต่างดาวตนนั้น ต้องมีอายุรวมแล้วเท่าใด และการเดินทางระยะไกลเช่นนั้น
ใช้อะไรเป็นเชื้อเพลิงในการเดินทาง มีวิธีนำร่องอย่างไรและดำรงระบบตน (ชีวิต)
ด้วยการบริโภคอะไร จึงจะเพียงพอตลอดการเดินทางทั้งไปและกลับ

ประเด็นสุดท้าย เป็นสิ่งที่น่ากังขา คือ วัตถุบินได้ใดๆก็ตาม ไม่ควรพ้นการตรวจจับ
ของ Space guard Survey (NASA) ที่มีหน้าที่ระวังภัยในอวกาศ โดยเฉพาะการ
ตรวจสอบเรื่องวัตถุใกล้โลก (Near-Earth objects) ที่อาจทำอันตรายต่อโลกได้

หากมองว่า NASA พยายามปกปิดข้อมูล ก็ยังมีหน่วยงานตรวจสอบวัตถุในอวกาศ
อีกหลายสถาบันทางอวกาศ และดาราศาสตร์ รวมทั้งหอเรดาห์จากสนามบินอีก
นับร้อยแห่งบนโลก ที่มีศักยภาพตรวจพบ UFO ได้ แต่กลับมิได้มีรายงานอย่าง
เป็นทางการในเรื่องนี้ เพราะแม้แต่นิวทริโน อนุภาคข้ามจักรวาล (Neutrino) เป็น
สิ่งที่มองไม่เห็น เครื่องมือที่มีเทคโนโลยีสูง สามารถตรวจจับได้

คำตอบในขณะนี้
-----------------

ดังนั้นข้อสรุปต่อหลักฐาน การมาเยือนโลกจากต่างดาว โดย UFO มี น้ำหนักน้อย
เกินไปในทางกายภาพ และยังไม่มีข้อสนับสนุนอื่นๆให้หนักแน่น ในเงื่อนไขทาง
วิทยาศาสตร์
 
4.มนุษย์ต่างดาว เดินทางผ่านมิติพิเศษ (Extra-dimension) ไปได้ทุกหนแห่ง ?
คำอธิบายในขณะนี้
--------------------

เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ด้วยเหตุผลว่า ในจักรวาลของเรา มนุษย์มีความสามารถ
รับรู้ได้ 4 มิติ (กว้าง x ยาว x สูง = 3 มิติ + เวลา = 4 มิติ) ทางทฤษฎี ได้พบว่า
กาล-อวกาศ อาจมีมากกว่า คือ เวลา 1 มิติและอวกาศอีก 10 มิติ รวมเท่ากับ
11 มิติ โดย 6 มิติ (ที่มากกว่า) เรียกว่า Extra-dimension (มิติพิเศษ)

รวมความแล้ว เป็นรากฐานการเกิดขึ้น เป็นทฤษฎี เครือข่าย (หลาย) จักรวาล
(Multiverse) ซึ่งอาจฟังดูยุ่งยากและซับซ้อน ทั้งนี้โดยมีสมมุติฐานมาจากด้าน
จักรวาลวิทยา ด้านฟิสิกส์ ร่วมทั้งด้านดาราศาสตร์ ด้านปรัชญา หรือแม้กระทั่ง
ความคิดจาก นวนิยายทางวิทยาศาสตร์ที่เพ้อฝัน เพื่ออธิบายถึง จักรวาลคู่ขนาน
(Parallel universes) จักรวาลควอมตัม (Quantum universes) หรือทะลุมิติ
(Interpenetrating dimensions) เป็นต้น

ตลอดเวลา 50 ปี นักวิทยาศาสตร์ พยายามค้นหา หลักฐานทางสมการด้านมิติ
ในที่สุดพบว่าเป็นไปได้แต่การทดลองในห้องปฎิบัติการยังไม่บรรลุผลสมบูรณ์

หากเป็นดังเช่นนั้น มนุษย์โลก ก็อาจใช้ประโยชน์จากการเดินทาง ข้ามมิติได้
อย่างเหลือเชื่อ ไปในที่ห่างไกลในเพียงวินาที เช่นดังในภาพยนต์ (แต่ไปที่
ไหนไปแล้วมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ กลับมาได้อย่างไร ยังไม่สามารถจิตนาการได้)
และการเปลี่ยนแปลงตน ในสภาวะต่างมิติ จะกระทำได้ด้วยแบบใด มีอันตราย
เพียงใด ทั้งหมดคงยังเป็นสมมุติฐาน

ถ้ามิติพิเศษมีจริง มนุษย์อาจมองไม่เห็น (Invisible universal) ยกเว้นว่ามีความ
ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาก จึงจะมีสามารถสืบค้นได้ แต่จะมีความยุ่งยากต่อ
ความเข้าใจ เพราะการปรากฎขึ้น จะอยู่บนเงื่อนไขด้านฟิสิกส์ที่ต่างจากบนโลก
เกือบสิ้นเชิง เช่น มีสิ่งที่มีความเร็วมากกว่าแสงนับร้อยเท่า,ระบบดำรงชีพไม่มี
เลือดเนื้อเช่นมนุษย์ แต่คงอยู่ได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าธรรมชาติ, ในอวกาศไม่เคย
มีที่สิ้นสุด, ความดำรงอยู่แบบกลับหัวกลับหาง, การเดินทางที่ไม่ต้องเคลื่อนไหว
นี้คือตัวอย่าง ที่เริ่มเข้าใจยากขึ้นแล้ว
มิติพิเศษ (Extra-dimension) ???
สำหรับข้อกังขา จากการกล่าวอ้างส่วนใหญ่ ในลักษณะที่มนุษย์ต่างดาว มีความ
ต้องการ มาช่วยโลกให้พ้นภัยพิบัติ หรือ ต้องการมาทำลายล้างโลก ทั้ง 2 กรณี
ยังไม่น่ารับฟังได้ เพราะถ้ามนุษย์ต่างดาว ที่มีความสามารถเดินทางข้ามมิติได้
ควรเป็นสิ่งทรงปัญญาที่มีภูมิปัญญาสูง ควรมีสามัญสำนึกไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์

กรณีที่ 1 การมาช่วยโลกให้พ้นภัยพิบัต
หากต้องการมาช่วยมนุษย์โลกด้วยความเต็มใจแล้ว เหตุใดจึงไม่เปิดเผยตัวตน
ให้ชัดเจน เพื่อความเป็นมิตรภาพ อันเป็นอารยะธรรมตามหลักมนุษย์โลก (ซึ่ง
ต่างดาวที่มีภูมิปัญญาควรจะเข้าใจได้) และเหตุใดไม่ติดต่อ กับผู้นำประเทศหรือ
องค์การระดับนานาชาติ เช่น องค์การสหประชาชาติ อันเป็น องค์การที่ยอมรับใน
ด้านมนุษยธรรม (หรือต่างดาวไม่รู้จักองค์กรเหล่านี้) แต่กลับไปติดต่อกลุ่มต่างๆ สารพัดกลุ่ม ที่ประชากรโลกไม่คุ้นเคย

กรณีที่ 2 ต้องการมาทำลายล้างโลก
ไม่มีโอกาสความเป็นไปได้เลย เพราะโลกไม่น่าจะมีสิ่งใด ที่จะเป็นประโยชน์ต่อ
อารยะธรรมที่มีความทรงปัญญาใดๆ และโลกเมื่อเทียบสัดส่วน ในจักรวาลแล้ว
(Scale of the Universe) แทบไม่มีความน่าสนใจ โลกเป็นเพียงก้อนกรวดเล็กๆ ก้อนหนึ่งในเท่านั้น ยังมีสิ่งอื่นๆในจักรวาล ที่มีค่ากว่าโลก หรือดาวเคราะห์อื่นๆ
ที่ยังมีแร่ธาตุ ทรัพยากรธรรมชาติ รอการเก็บเกี่ยว เป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน
โดยมิต้องเสียเวลามาทำลายล้างกัน

คำตอบในขณะนี้
-----------------

การกล่าวอ้าง มนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก ด้วยผ่านมิติพิเศษ เป็นทฤษฎีที่น่า
สนใจ แต่ห่างไกลความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากในขณะนี้ ทางวิทยาศาสตร์เพียง
คงแสดงความเห็นว่ามีความเป็นไปได้ ในเชิงทฤษฎี และยังคงไม่ทราบได้ว่า
การเดินทางผ่านมิติพิเศษ มีข้อจำกัดอย่างไร ไปได้ทุกหนแห่งหรือไม่

ทั้งนี้มิได้แสดงความเห็นด้วย ต่อแต่ละกรณีที่อธิบาย ของการมาเยือนโลกของ
มนุษย์ต่างดาว ตามที่มีการกล่าวอ้างในหลายครั้ง เพราะยังไม่มีความสมบูรณ์ใน
เงื่อนไขต่างๆอย่างประจักษ์แจ้ง ดังนั้นจึงยังไม่มีคำตอบสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้ี้
 
 
 
5.เรี่องมนุษย์ต่างดาว ถูกปกปิดมาโดยตลอด ?
 
 
คำอธิบายในขณะนี้
--------------------

NASA มักถูกกล่าวหาว่า มีการทดลองลับๆ ในหลายแห่ง โดยพื้นฐานความเข้าใจ
เรื่องนี้ต้องยอมรับว่า ผู้คนกว่าครึ่งโลกเชื่อไปแล้วว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริง

การมีข่าวปฎิเสธจาก NASA คงไม่สามารถลบความเชื่อสิ่งนี้ให้หายไปได้ กลับยิ่ง
เชื่อว่าปกปิดจริงๆ แต่ในความเป็นจริง NASA นั้นเป็นองค์กรหลักโดยร่วมมือกับ
หลายองค์กรในด้านอวกาศ ที่พยายามสืบค้นเรื่องมนุษย์ต่างดาว เช่นกัน

เมื่อราว 10 ปีที่แล้ว ในห้องปฎิบัติการ เครือข่ายของ NASA พบซากจุลชีพตัวเล็ก
(Alien) เท่านั้น นักวิทยาศาสตร์ดีใจตื่นเต้นไปทั้งองค์กร ต่อมาได้แสดงความเห็น
โดยเชื่อว่าดวงจันทร์ยูโรปา (Europa) มีระบบชีวิตของสัตว์ซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร
น้ำแข็ง ที่หนานับร้อยกิโลเมตร

นอกจากนั้น ยังพยายามหาวิธี สื่อสารกับอารยะธรรมอื่นอันไกลโพ้น โดยส่งยาน
สำรวจ Voyager ไปยังขอบนอกระบบสุริยะ ซึ่งมีความหวังว่า อาจมีอารยะธรรม
ต่างดาวที่ไหนสักแห่งพบเข้า เป็นภารกิจที่นำแผ่นเสียงทองคำ (Golden Record)
ขนาด 12 นิ้ว มีหัวเข็มอ่านติดไปด้วย ออกแบบให้มีรอบหมุน 3.6 วินาที/รอบขึ้น
ไปจนถึงระดับความเร็วเท่ากับการเดินทางของ Hydrogen atom สามารถจะเปิด
ด้วยระบบต่างๆทุกระบบที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน

บอกเล่าถึงความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์แผ่นนี้บรรจุภาพ เสียง ธรรมชาติบนโลก
115 รายการ เช่น เสียงลม เสียงนก เสียงดนตรี แต่ละวัฒนธรรมแต่ละยุค และ
บันทึกภาษาพูดของมนุษย์ 55 ภาษา พร้อมข้อความจากประธานาธิบดีอเมริกา
นอกจากนั้นมีข้อมูล ด้านวิศวกรรมการก่อสร้าง ข้อมูลด้านเครื่องจักรกลรูปแบบ
งานด้านสถาปัตยกรรม ฯลฯ
 
 
แผ่นเสียงทองคำ (Golden Record)
 
 
 
 
ภาพการทดลองของ Mars Institute ( 3 ภาพบน) ในโครงการ Mars on Earth (บนโลก)
เพื่อการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร ไม่เคยพบว่า มีเทคโนโลยีของ UFO มาเกี่ยวข้อง
 
  นั่นคือ เหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์ได้เริ่มต้นสู่การ สื่อสารกับ
สิ่งทรงปัญญาที่อาจมีในระยะไกลนอกระบบสุริยะ ด้วยการส่งข้อความ ไปกับ
ยานสำรวจ

เหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือน NASA พยายามหาระบบชีวิตในโลกอื่นอย่างเข้มข้น
ซึ่งถ้า NASA มีมนุษย์ต่างดาวถูกควบคุมตัวไว้ พร้อมยานจากต่างดาวตามคำ
กล่าวอ้างแล้ว คงไม่จำเป็นที่ต้องหาทางค้นหาเพิ่มเติม โลกอื่นอย่างมากมาย

ซึ่งเป้าหมายปัจจุบัน ต้องสืบค้นดาวเคราะห์อีกนับแสนดวง ในแถบทางช้างเผือก
มิเช่นนั้น NASA อาจหาวิธีการ ให้มนุษย์ต่างดาวที่กักตัวไว้ นำไปยังแหล่งหลบ
ซ่อนของโลกอื่น (Other worlds) ที่มนุษย์หาไม่พบ ให้ทราบประจักษ์แจ้งไป
เลยดีกว่าหรือไม่

อย่างน้อย การเก็บซาก UFO ไว้ ก็อาจนำมาเลียนแบบ ทางเทคโนโลยีการบิน
ข้ามอวกาศระยะไกลได้รวดเร็วขึ้น แต่ในความจริง ยานสำรวจใหม่ที่ออกแบบ
เพื่อนำมนุษย์ไปสู่ดาวอังคาร (Journey to the Mars) เท่าที่ทราบต้องใช้เวลา
ไป-กลับ มากกว่า 1 ปี โดยใช้พลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear Thermal Rocket)
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีความก้าวหน้า อีกระดับของมนุษย์โลกเท่านั้น แต่คงยังห่าง
ไกลกับเทคโนโลยีแบบ UFO ที่มีอยู่ในเรื่องเล่าขานทั่วไป

คำตอบในขณะนี้
-----------------

ดังนั้นการไล่เรียงแต่ละเหตุผล ทำให้มองเห็นภาพชัดขึ้นว่า ไม่มีประโยชน์อันใด
นักที่จะปกปิดเรื่องดังกล่าวแล้ว มิได้นำมาใช้ประโยชน์ ต่อความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยี ต่อการสำรวจอวกาศของมนุษย์โลก ในวันนี้แม้แต่น้อย การปกปิด
เรื่องมนุษย์ต่างดาว แม้จะเป็นสิ่งที่ถูกเพ็งเล็งจากผู้คนทั่วไป ว่าเป็นจริงแน่แท้
แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ กลับไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวของ UFO
6.รูปร่างสันฐาน มนุษย์ต่างดาว มีลักษณะเช่นใด ?
คำอธิบายในขณะนี้
--------------------

อดีตอาจต้องบอกว่าใช้จิตนาการ แต่ปัจจุบันเป็นสิ่งที่วิเคราะห์ได้จากขบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ ในทางทฤษฎี หากที่หนึ่งที่ใด บนโลกอื่น (ดาวเคราะห์หิน หรือ
ดาวบริวาร เช่น ดวงจันทร์ ) มีองค์ประกอบโมเลกุลของน้ำ อย่างเพียงพอ และ
โลกอื่นนั้นๆ มีระยะทางห่างจากดาวหลัก (Host star) อย่างเหมาะสม ราว 1 AU.
พร้อมด้วยขนาดดาวหลัก มีมวลใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ (Sun) ของเรา ก็จะมี
ความเป็นไปได้ ต่อการเอื้อให้เกิดระบบสิ่งมีชีวิตเช่นโลกได้ เรียกว่าเขตดำรงชีพ
(Habitability Zone)

แต่ในหลายกรณี ระบสุริยะอื่นนั้น มีความพิศดารกว่าที่คิดอีก เช่น ดาวหลักหรือ
ดวงอาทิตย์ บางระบบมีถึง 2-3 ดวง ในบางระบบบนดาวเคราะห์ถูกปกคลุมไป
ด้วยเมฆฝุ่นเม็ดทรายดำ หมอกโซเดียม และบางระบบ บนดาวเคราะห์ไม่มีเมฆ
ปกคลุมเลย เป็นต้น

ความแตกต่างเช่นนั้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ ตรวจจับค่าต่างๆทางเคมี ค่ารังสี
ค่าอุณหภูมิ แรงโน้มถ่วง ชั้นบรรยากาศ รวมทั้งปฎิกิริยาผลกระทบ ดาวเคราะห์
ข้างเคียง เป็นข้อมูลหลายร้อยรายการ และยังต้องเฝ้าดูพฤติกรรมวงโคจรอีกนับ
หลายปี เพื่อนำมาวิเคราะห์ ถึงความเป็นไปได้ทางชีววิทยาบนดาวเคราะห์นั้นๆ
เช่น การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง ทางชีวเคมี พันธ์ไม้จากต่างดาว (Plants on
Other Worlds)


ทางเทคนิคหากสามารถ นำตัวอย่างจริงมาวิเคราะห์บนโลกได้ จะมีความแม่นยำ
สำหรับความเป็นจริงในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังใช้วิธีตรวจสอบระยะไกล ซึ่งอาจมี
โอกาสพบความผันแปร ของข้อมูลที่ได้จากคลื่นวิทยุได้

อย่างไรก็ตามทั้งหมดนั้นเป็นเรื่อง ทางกายภาพ มนุษย์โลกสามารถรับรู้ได้ใน
แบบ 4 มิติ หากจะกล่าวเรื่องนี้แบบสุดขั้ว จะต้องพาดพิงไปสู่ เรื่อง มิติพิเศษ
(Extra-dimension) อีกกรณีหนึ่ง
สภาพแวดล้อมบนโลกอื่นทางกายภาพ จากการวิเคราะห์ทางชีวิทยา
สาเหตุสำคัญยังไม่พบ สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล (Extraterrestrial Intelligence)
มีเหตุผลเพราะ หลบซ่อนอยู่ในมิติที่ต่างกันหรือไม่ ทฤษฎีจักรวาลที่มองไม่เห็น
(Invisible universal) อาจเป็นเหตุผลหนึ่งก็ได้ เพราะคำว่ายังหาไม่พบ ไม่ใช่
แสดงว่าสิ่งนั้นไม่มี แต่เพราะอาจมองไม่เห็น จากศักยภาพของมนุษย์โลกเอง
เช่น นก Hummingbird สามารถเห็นคลื่นรังสีกลุ่ม Ultraviolet-A ซึ่งมนุษย์มอง
ไม่เห็น คลื่นสนามแม่เหล็ก สัญญานโทรศัพท์มือถือ ที่วิ่งวุ่นวายอยู่รอบตัวเรา
เราไม่เคยมองเห็นทั้งๆที่รู้ว่ามี เป็นต้น

ความสุดขั้วของศาสตร์เรื่องนี้ เช่นกรณีหลุมดำ (Black Hole) อดีตเราไม่เคย
ทราบไม่เคยเห็น ปัจจุบันทราบได้โดยวิธีตรวจวัดค่ารังสี บริเวณขอบหลุมดำจึง
สามารถวิเคราะห์ตำแหน่งหลุมดำ แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้เช่นเดิม ทั้งนี้
ต้องอาศัยเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีชั้นสูง

มีความเป็นไปได้มีบางบุคคล อาจมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เช่น รังสีจักรวาล
(Cosmic rays) แต่ความสำคัญคือ อาจสามารถเห็นความต่างมิติ อย่างไม่น่าเชื่อ
โดยเห็นแบบลืมตา มิได้จิตนาการ หรือใช้วิธีพิเศษใดๆ (หรือหลอกลวง)

ความต่างมิติที่เห็น คือช่องทางสามารถที่จะรับรู้ รูปร่างสันฐานของสิ่งทรงปัญญา
ได้ บางครั้งถึงขั้นสื่อสารกันได้ แต่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้ กับผู้คนทั่วไปกระทำยาก
เพราะจะไม่มีใครเชื่อเลย

เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับใครบางคน ที่มิได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือผู้มีภูมิความ
รู้ในศาสตร์เช่นนี้ ทำให้ไม่มีความน่าเชื่อถือ ประการสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง ผู้ที่มี
ความสามารถนั้น มีใช่ผู้วิเศษใดๆเลย แต่หากบางครั้งนำมาใช้เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่า
เป็นเช่นผู้วิเศษ จะมีความอันตรายต่อความเข้าใจอย่างยิ่ง

สิ่งทรงปัญญาอาจจะแสดงตน เพียงเป็นกลุ่มมวลพลังงานเป็นแสง อยู่ในสถานะ
พลาสมา (Plasma) และ ควาร์ก-กลูออน พลาสม่า (Quark-gluon plasma)
หรือเฟอร์มิ-โอนิค คอนเดนเซต (Fermionic condensate) และ โบสัน (boson)
ฯลฯ โดยทั้งหมดอยู่ในสถานะควอนตัม (Quantum state)

หรือ บางกรณี อาจแสดงเป็นกลุ่มของสภาพระบบทางกายภาพ มองเห็นได้ด้วย
ตาเปล่า ซึ่งมีความสัมพันธ์ กับโครงสร้างทางเคมีและคุณสมบัติทางฟิสิกส์ แบบ
บนโลกก็ได้ ส่วนใหญ่มักมีความแปลกประหลาด จนมนุษย์ไม่เข้าใจ ทั้งนี้ขนาด
รูปทรงสันฐานมิใช่เป็นประเด็นสำคัญ ระบบที่มีศักยภาพสูง แสดงออกโดยการ
แผ่รังสี หรือ การแผ่คลื่นไฟฟ้า ปกปิดโครงสร้างทางกายภาพ จนใครก็ตามที่พบ
เห็นไม่สามารถรับรู้ได้
สถานะควอนตัม (Quantum state)
คำตอบในขณะนี้
-----------------

ดังนั้นแน่นอนว่านักวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถวิเคราะห์ รูปร่างสันฐาน สิ่งต่างดาว
ประเภทสิ่งทรงปัญญาได้ในขณะนี้ หากปรากฎขึ้นให้เห็นได้ เชื่อว่าคงไม่เหมือน
สิ่งที่นึกฝันคล้ายกับ E.T.หรือตัวละครที่น่ากลัว น่าตกใจในภาพยนต์ที่เราเคยรู้จัก
แต่สามารถใช้คำว่า น่าอัศจรรย์และลึกล้ำได้

สำหรับรูปร่างสันฐาน สิ่งต่างดาวประเภท สัตว์มีปีกบินได้ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
หรือพืชกึ่งสัตว์ ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ พยายามวิเคราะห์จากสมมุติฐานของสภาพ
แวดล้อมทางเคมี บรรยากาศบนดาวเคราะห์นั้นๆได้ในระดัีบหนึ่ง แต่ทั้งหมดยังคงจะต้องรอคอยหลักฐานใหม่ๆต่อไป
 
 
7.มนุษย์ต่างดาว ทำนายอนาคตได้หรือ ?
 
  คำอธิบายในขณะนี้
--------------------

ต้องยอมรับว่า เหตุการณ์อนาคตเป็นปัจจัยสำคัญ สามารถสร้างให้เกิดความเชื่อ
ถือ ไม่ว่าจะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งใดก็ตามบนโลก ไม่ว่าจะเป็นการทำนายอนาคต
ของชีวิต กระทั่งทำนายในเรื่องภัยพิบัติต่างๆบนโลก ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ส่วนใหญ่
หากผลลัพธ์ออกมาถูกต้อง ความนิยมเพิ่มทวีคูณขึ้นทันที

ศาสตร์แห่งการนำนาย ทางวิทยาศาสตร์ก็มีเช่นกัน ทั้งนี้ใช้วิธีทางคณิตศาสตร์
และวิชาสถิติ ร่วมกับข้อมูลการสำรวจที่ละเอียดละออ โดยเฉพาะข้อมูลอดีตมี
มากเท่าใด การประมวลผลลัพธ์ก็ ทำให้มีคำตอบที่ใกล้เคียงมากเท่านั้น ทั้งหมด
นั้นคือ การประมวลผลจากแบบจำลองสถานการณ์ สำหรับเหตุการณ์ต่างๆนั่นเอง

เหตุการณ์ทางธรรมชาตินั้น เป็นสิ่งยากที่จะทำนายได้ถูกต้องและแม่นยำเพราะ
มีตัวแปรที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แต่ก็ไม่พ้นความ
พยายามทางเทคโนโลยี ที่กำลังก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ

เชื่อว่าสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล (Extraterrestrial Intelligence) สามารถทำนาย
อนาคตต่างๆ ได้โดยวิธีทางคณติศาสตร์ เชิงสถิติเช่นเดียวกับมนุษย์ หากมีความ
ก้าวหน้าสูง ส่งผลให้มีความถูกต้อง และแม่นยำสูงตามไปด้วย และมีความรวด
เร็วในการประมวลผล

แม้ว่าสิ่งทรงปัญญาจะมีอารยะธรรมสูงส่งเพียงใด จะไม่สามารถหลีกหนีกฎเกณฑ์
ธรรมชาติของจักรวาลได้ โดยเฉพาะ หลุมดำมหัตภัยแห่งจักรวาล (Black Hole)
เป็นสิ่งกังวล ยิ่งกว่าภัยพิบัติใดๆ เพราะมิอาจทำนายได้เลย

ประเด็นแห่งปัญหาคือ ความเข้าใจของผู้คนทั่วไป เชื่อว่า มนุษย์ต่างดาว มีความ
สามารถสูงส่ง อาจเป็นไปได้ในบางกรณี แต่คงมิใช่เป็นผู้วิเศษใดๆเลยแม้แต่น้อย
ความสามารถด้านปัญญาอาจมีความโดดเด่นบางเรื่อง แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องแบบครอบ
จักรวาล

ดังคำกล่าวอ้าง ตัวอย่างเช่น มนุษย์ต่างดาวบางกลุ่ม จะมาเตือนถึงภัยพิบัติของ
โลกต่างๆ แต่ปรากฎว่า UFO กลับตกลงบนโลก จึงมีความสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า
ทำไมจึงไม่สามารถทราบถึง ภัยพิบัติของตนเองว่าจะเกิดอันตราย แต่กลับทราบ
ภัยพิบัติอื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตน
 
 
เทคโนโลยีจะเป็นตัวชี้วัดคำทำนายในด้านต่างๆ ไม่ว่าบนโลกหรือต่างดาว
 
  คำตอบในขณะนี้
-----------------

ในหลายกรณีพบว่า มีวิธีการอ้างส่งข่าวสาร ผ่านบุคคลต่างๆ กระทั่งส่งข่าวสาร
ผ่านนักบวช ผ่านร่างทรง ทำให้ไม่มีหลักฐานชัดเจน ข่าวสารนั้นมักเลื่อนลอย
จากข้อมูลที่มักอธิบายผิดกฎเกณฑ์ อย่างไม่เข้าใจพื้นฐานธรรมชาติของสิ่งที่
เกี่ยวข้องนั้นๆ และวกวน สับสันเสมอ ทำให้สังเกตพบจุดด้อยแห่งความรู้จากคำ
อธิบายนั้นๆบ่อยครั้ง คล้ายกับเป็นการคิดขึ้นเอง จากบุคคลที่นำมาปะติดปะต่อ
เรื่องราวในหลายๆด้าน หรือการอ้างจากการใช้ภาพถ่าย ก็ใม่สามารถอธิบาย
ในแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ได้ถ่องแท้

ดังนั้นการอ้างอิงจาก คำทำนายของมนุษย์ต่างดาว เกี่ยวกับภัยพิบัติโลกจากคำ
กล่าวอ้างที่ผ่านมา ดูเหมือนจะไม่มีน้ำหนักความน่าเชื่อถือใดๆทางวิทยาศาสตร์
เลยแม้แต่น้อย

ที่มา : http://sunflowercosmos.org/alien_extraterrestrial_intelligence/alien_extraterrestrial_intelligence_main/alien_extraterrestrial_intelligence_index.html






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น