ฐานทัพนาซีอยู่ที่เเอนตาร์กติกาจริงหรือ??
โดย sujate wanchat
เรื่องราวลึกลับ
เกี่ยวกับนาซีในเเอนตาร์กติก้ามีความเกี่ยวข้องกับทะเลสาบวอสตอก (Vostok
Lake)
ซึ่งประวัติศาสตร์ได้จารึกว่าเหล่าพลพรรคนาซีเยอรมันได้ไปตั้งฐานทัพที่นั่น
ตั่งเเต่ในช่วงทศวรรษที่ 1930 เเล้ว
เเม้
ว่าเรื่องราวดังกล่าวหลายคนจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องเล่า
ในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยในเมืองไทยก็ดักดานไม่เห็นมีใครพูดถึง
เพราะอาจารย์ส่วนใหญ่ก็พวกไดโนเสาร์ทั้งนั้น
เเต่มีมีหลักฐานเเละทฤษฎีมากมายที่สามารถทำให้เชื่อได้ว่าเรื่องราวดังกล่าว
มีมูลความจริงอยู่มาก
เนื่อง
จากความมั่นคงทางการเงินเเละธุรกิจเป็นระยะเวลายาวนาน
ทำให้ผู้นำระดับสูงของเยอรมันในปี ค.ศ. 1944
เข้าควบคุมกิจกรรมการดำเนินงานของพรรคนาซีต่อในช่วงหลังสงคราม (post war)
Jim Keith ผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เขียนไว้ว่า
"...ใน
การดำเนินการวิจัยของพรรคนาซีในช่วงทศวรรษนี้
ผมพบว่าเเผนการของนาซีคอนข้างชัดเจน
ซึ่งไม่ได้ตายไปพร้อมกับสงครามดังที่หลายคนเข้าใจ ทั้งอุดมการณ์ (ideology)
ของนาซีเเละเทคโนโลยีดูเหมือนว่ายังคงเพรียบพร้อมเเละเจริญรุ่งเรืองขึ้น
เเละยังพบว่าหลักการรวมทั้งเทคโนโลยียังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อโลกในยุค
ปัจจุบัน"
ใน
ปีค.ศ. 1945 Ovis A. Schmidt ซึ่งมีตำเเหน่งเป็น U.S. Treasure
Department's direction of Foreign Fund Control
ได้ถูกนาซีเสนองานให้ทำงานหนึ่งที่มีชือว่า figth-capital program
ซึ่งเป็นโครงการเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรกลหนักที่จำเป็นสำหรับ
การสร้างหลักปักฐาน เช่นใช้ในการผลิตเหล็กกล้า
ถ่านหินเเละสารเคมีที่จำเป็นบางอย่าง
ซึ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพของคนกลุ่มเเรกที่เดินทางไปซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก
เเล้วจ
ะเป็นไปได้หรือไม่ที่นาซีไปตั้งฐานทัพที่นั่นเพื่อที่จะใช้ในการสร้าง
อากาศยานที่ล้ำสมัยที่เรียกว่า "UFO"
ดูผิวเผินเเล้วเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผลเเต่ก็มีความเป็นไปได้
อีก
ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าการที่ Martin Bormann
เเละผู้นำนาซีคนอื่นๆได้หนีไปอยู่ที่อเมริกาใต้
เเละอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่เเอนตาร์กติก้าซึ่งเป็นฐานทัพลับในการสร้าง UFO
เเสดงให้เห็ว่าเยอรมันมีความพยายาอย่างยิ่งที่จะควบคุมโลกทั้งใบเเม้กระทั่ง
จนถึงทุกวันนี้
ไม่
จำเป็นต้องสงสัยในเรื่องความมั่งคั่งทางการเงินของเครือขายธุรกิจของ
Bormann เนื่องจากเขาเป็นกุญเเจสำคัญในการสร้างฐานทัพนาซีในเเอนตาร์ติก้า
ซึ่งจริงๆเเล้วคนทั่วไปก็หาไม่พบหรอก เพราะมันอยู่ในในโพรง
โดยบริเวณที่รู้กันว่าเป็นที่อยู่ของนาซีในเเอนตาร์กติก้าคือบริเวณ
Antarctica's Queen Maude Land ซึ่งได้รับการตั้งชื่อใหม่เป็น Neuschwaben
โดยเยอรมันในปี ค.ศ. 1938
ในปี ค.ศ. 1943 มีรายงานที่ไม่ทราบเเหล่งที่มาอย่างเเน่ชัดที่เขียนโดย German Navy Grand Admire ชื่อ Kaarl Dontz เขียนว่า
"กอง
เรือดำน้ำเเห่งเยอรมันรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ถูกสร้างเพื่อฟือเรอร์
ในอีกฟากหนึ่งของโลกคือในบริเวณที่เรียกว่า Shangri-La
ซึ่งเป็นปราการที่ไม่สามารถเข้าถึงได้"
เเละมี
รายงานจาก U.S. admiral Richard Bryd
ในช่วงทีเขากับจากการเป็นคณะเดินทางสู่เเอนตาร์กติก้าในปี ค.ศ. 1947
ได้เขียนว่า
"มันเป็นความระทึกอย่างยิ่งสำหรับอเมริกาที่ได้ทำการต่อกรกับอากาศยานของ
ฝ่ายศัตรูที่มาจากบริเวณขั้วโลก ซึ่งยานของศัตรูมีความเร็วที่น่าทึ่งมาก
โดยสามารถบิจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึงของขอบฟ้าในช่วงพริบตา"
อีกความคิดหนึงที่ทำไมนาซีจึไปตั้งฐานทัพอยู่ที่นั่นถูกเสนอโดย R.A. Harbinson เขาเขียนว่า
"ที่
นันเป็นที่ลับหูลับตาคน
พวกเขาจะสามารถทำโครงการลับได้อยางสะดวกโดยไม่มีใครทราบการเคลื่อนไหวทาง
ด้านเทคโนโลยี อีกทั้งยังสามารถใช้ทาสได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วย"
เเต่ค
นส่วนใหญ่ไมเชื่อว่าพลพรรคนาซีของเราจะอยู่ที่นั่นไม่ได้
เพราะยังไม่มีการพบกระเเสน้ำอุ่นที่ขั้วโลกใต้
เเละไม่มีใครจะสามารถอยูรอดที่นั่นได้เกิน 50 ปีมานานเเล้ว
คนทั่วไปจึงบอกว่าถ้ามันไปอยู่จริงป่านนี้มันก็ได้เวลาตายเเล้วหล่ะ
หา
รู้ไม่ว่าที่ Newschwaben มีกระเเสน้ำอุ่นลึกลับที่มีอุณหภูมิ 60-70
องศาเซลเซียสจากความร้อนใต้พิภพไหลผ่าน
เเละสนามเเม่เหล็กที่ไม่ธรรมดาที่นั่นทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างฐานทัพ
อยู่ภายในถ้าหรือเจาะทำเป็นอุโมงค์เข้าไป
ข่าว
ลือเริ่มที่จะแพร่สะพัดออกไปขณะที่เยอรมันกำลังจะพ่ายสงคราม
บุคคลที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการทหารและนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกเลือกไปยัง
ดินแดนที่อยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน
ในขณะที่กองกำลังของฝ่ายพันธมิตรกำลังกวาดล้างฐานทัพนาซีทั่วทวีปยุโรป
พวกนาซีก็กำลังสร้างฐานทัพในทวีปแอนตาร์คติก้าอยู่เช่นกัน ณ
ที่แห่งนั้นนาซีได้พัฒนายานบินสมรรถนะสูงที่มีความล้ำหน้าอากาศยานทั่วไป
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งสิ่งหนึ่งก็คือคนเยอรมันกว่า 250,000
คนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่ได้อยู่ในบัญชีผู้เสียชีวิต
เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ Neu Schwabenland จะกลายเป็นที่มั่นอย่างถาวรของฐานทัพเยอรมันนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ Neu Schwabenland จะกลายเป็นที่มั่นอย่างถาวรของฐานทัพเยอรมันนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ทะเลสาบ น้ำอุ่นอุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส ที่มีทางออกสู่มหาสมุทรได้กลายเป็นสวรรค์สำหรับเรืออู (U-boats) เทือกเขาที่ปราศจากน้ำแข็ง 2 เทือกเขาใน Neu Schwabenland เป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลยสำหรับการก่อสร้างอุโมงค์ เราต้องไม่ลืมว่าเยอรมันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างระบบดำรงชีพใต้ดิน ระดับโลกเลยทีเดียว
ในช่วงสิ้นสุดสงครามโลก ครั้งที่ 2 อเมริกาได้มอบสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Ohrdruf ซึ่งเป็นความลับสุดยอดมีอายุกว่า 100 ปี ซึ่งข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าได้เคยมีการทำงานใต้ดินในแอนตาร์กติกก้า และ Ohrdruf คือที่ตั้งของฐานทัพที่ซ่อนอยู่ภายในแห่งสุดท้ายที่นั่น และได้ถูกซ่อนไว้เป็นอย่างดี ในวาระแห่งการรวมชาติระหว่างเยอรมันตะวันตกกับเยอรมันตะวันออกทำให้เอกสาร นี้ได้รับการเผยแพร่ต่อสาธารณะชนและถูกเก็บรักษาไว้ที่เทศบาล Arnstadt
จาก เอกสารดังกล่าวเป็นที่ชัดแจ้งว่าหน่วย Charite Anlarge ได้ทำงานในวิจัยอยู่ในบังเกอร์ใต้ดินที่มีพื้นที่ 70 x 20 ตารางเมตร ระหว่างที่ทดสอบเครื่องจักรมันจะปล่อยสนามพลังบางอย่างที่ทำให้อุปกรณ์อิ เล็คทรอนิคทุกชนิดหยุดทำงาน และไม่มีเครื่องจักรกลดีเซลอยู่ในละแวกนั้นเลยเป็นระยะ 8 ไมล์จากจุดนั้น จากด้วยเหตุผลดังกล่าว แม้ว่า Ohrdruf จะดำเนินการโดยหน่วย SS แต่มันไม่เคยถูกถ่ายภาพไว้ และไม่เคยถูกบอมบ์ จากเอกสาร USAF ในช่วงต้นของ ค.ศ. 1945 ได้ยืนยันการปรากฏของสนามพลังดังกล่าวเหนือบริเวณเขตแดนระหว่างแฟรงเฟิร์ต และไมน์ และในบริเวณอื่นๆโดยสนามพลังดังกล่าวได้รบกวนระบบการบินของเครื่องบินที่ บินอยู่เหนือบริเวณนั้นที่ความสูง 30,000 ฟุต
Ohrdruf ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่บนพื้นที่ของบริเวณที่เรียกว่า Neu Schwabenland ในช่วงระหว่าง 2 ปีสุดท้ายของสงครามโลกซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ยากนัก เนื่องจาก Charite Anlarge เป็นอารยธรรมของอาณาจักรไรช์ที่ 3 โดยฐานทัพนี้ไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้เนื่องจากการทำงานของสนามพลังดังกล่าว เหมาะสมหรับผู้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีเท่านั้น
เหตุการณ์ สำคัญได้เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1999 แต่มีเฉพาะผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่ให้ความสำคัญและสนใจ กล่าวคือคณะเดินทางวิจัยได้พบเชื้อไวรัสในทวีปแอนตาร์กติก้าที่ทั้งคนและ สัตว์ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ ทวีปแอนตาร์คติก้าเป็นทวีปที่อยู่ห่างไกลและไวรัสที่พบก็อยู่ลึกเข้าไปใน ทวีป ดังนั้นด้วยเหตุผลนี้ไวรัสจึงไม่น่าจะทำอันตรายให้กับส่วนที่เหลือของโลกได้ นักวิทยาศาสตร์หลายคนให้เหตุผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นว่านี่อาจเป็นผลกระทบมาจาก สภาวะโลกร้อน ซึ่งทำให้เกิดความหวาดกลัวต่อคนในโลกว่าไวรัสดังกล่าวอาจสร้างความหายนะแก่ โลกใบนี้
ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาวัยนิวยอร์กชื่อ Tom Starmrue ได้เสนอความคิดเห็นที่ดูเหมือนจะมองโลกในแง่ลบร่วมกับพลพรรคของเขาว่า
“เรา ไม่รู้ว่ามนุษย์ชาติจะเจออะไรจากขั้วโลกใต้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ จากผลกระทบของสภาวะโลกร้อน เชื้อไวรัสจะห่อหุ้มตัวเองด้วยชั้นของโปรตีนในสภาวะที่หนาวเย็น ไม่อำนวยต่อการแพร่พันธุ์ของมัน แต่ถ้าอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมสูงขึ้นจนถึงสภาวะที่พอเหมาะ มันจะเริ่มจำลองตัวเองเพื่อขยายพันธุ์”
นัก วิทยาศาสตร์อเมริกันที่ทำหน้าที่สำรวจและวิจัยเกี่ยวกับทวีปแอนตาร์กติก้า มีความวิตกกังวลสูงมากเกี่ยวกับเรื่องนี้พวกเขาได้ส่งคณะสำรวจไปที่ทวีปแอ นตาร์กติก้า เพื่อเจาะน้ำแข็งเพื่อทำการตรวจสอบค้นหาเชื้อไวรัสที่ไม่รู้จักเพื่อว่าจะ ได้ผลิตยาต้านพิษ ยาถอนพิษของไวรัสพวกนี้ได้ทันเวลา อะไรคือที่มาของเชื้อไวรัสพวกนี้ ที่นี้มีเพียงนกเพนกวินเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตรอดและอาศัยอยู่ได้ ไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ ผู้เชี่ยวชาญทุกคนงง ??? แต่ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่พอจะอธิบายได้
นัก วิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะมีความโน้มเอียงไปในแนวคิดที่ว่ารูปแบบเริ่มต้นของ ชีวิต (Prehistoric Form of Life) อาจรอดชีวิตในบริเวณที่อยูลึกเข้าไปในทวีปแอนตาร์คติก้า แต่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านกล่าวว่าอาจเป็นเพราะพวกนาซีแห่งไรช์ที่ 3 ได้นำเชื้อโรคที่เป็นความลับทางชีวภาพเข้ามาที่นี่เพื่อผลิตเป็นอาวุธชีวภาพ โดยทฤษฎีดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่พูดขึ้นมาลอยๆ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าในปี ค.ศ. 1983 นาซีได้ให้ความสนใจในทวีปแอนตาร์กติก้า ขึ้นมาอย่างทันที พวกเขาได้ดำเนินการก่อตั้งคณะเดินทางสำรวจสองชุดเข้าสู่ทวีปแอนตาร์กติก้าใน ช่วงปี ค.ศ. 1938-1939 ในขั้นแรกเครื่องบินแห่งไรช์ที่ 3 ได้บินวนรอบทวีปเพื่อถ่ายภาพเก็บข้อมูลรายละเอียดของพื้นที่ และทิ้งก้อนเหล็กที่สลักสัญลักษณ์ Sawastika ลงไปหลายพันก้อนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของครอบครองพื้นที่บริเวณที่มีก้อน เหล็กตกอยู่ โดยดินแดนที่อยู่ในการยึดครองของอาณาจักรไรช์ที่ 3 รู้จักกันในชื่อว่า Neu Schwabenland
ภายหลังการเดินทางกัปตัน Ritscher ได้รายงานต่อ Field-Marshal Gorging ว่า
“เครื่อง บินได้ทิ้งก้อนเหล็กเป็นจำนวนมาก ขณะนี้นี้เราได้ยึดครองพื้นที่ประมาณ 8,600,000 ตารางเมตรแล้ว และในพื้นที่ดังกล่าว 350,000 ตารางเมตรได้ถูกถ่ายรูปไว้เรียบร้อย”
ในปี ค.ศ. 1943 Grand Admiral Karl Donitz ได้ทิ้งข้อความว่า
“กอง เรือดำน้ำรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้สร้างปราการที่ไม่สามารถโจมตีได้ (unassailable frotress) สำหรับท่านผู้นำในอีกฟากหนึ่งของโลก”
จาก หลักฐานทั้งหมดจึงมีความเป็นไปได้สูงว่านาซีได้สร้างฐานทัพลับในทวีปแอนตา ร์กติก้า ในช่วงปี ค.ศ. 1938-1943 เรือดำน้ำเป็นสิ่งที่ถูกใช้มากที่สุดในการขนส่งสิ่งของที่จำเป็นและสำคัญต่อ งานและการดำรงชีพ จากที่ผู้เชี่ยวชาญแห่งไรช์ที่ 3 ได้เขียนไว้ในตอนสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าเรือดำน้ำถูกใช้ขนทอร์ปิโดที่ท่าเรือ Kiel โดยขนใส่ตู้คอนเทนเนอร์ร่วมกับสินค้าชนิดอื่นๆ และเรือยังถูกใช้ในการขนส่งผู้โดยสารซึ่งใบหน้าถูกปกปิดและอำพรางด้วยการทำ ศัลยกรรมแปลงโฉม Wilhelm Bernhard ได้เป็นผู้การควบคุมเรือดำน้ำลำหนึ่งชื่อ U-530 และออกจากท่าเรือ Kiel ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1952 เมื่อเรือดำน้ำเดินทางมาถึงฝั่งของแอนตาร์คติก้า สมาชิก 16 คนของเรือจากทั้งหมด ได้เจาะอุโมงค์สร้างถ้ำน้ำแข็งและได้บรรจุกล่องสินค้าเข้าไปในถ้ำ ซึ่งมีการอ้างว่ากล่องดังกล่าว บรรจุโบราณวัตถุของอาณาจักรไรช์ที่ 3 ซึ่งประกอบด้วยเอกสารของฮิตเลอร์และพลพรรคใกล้ชิดส่วนตัวของเขา โดยปฏิบัติการครั้งนี้รู้จักกันในชื่อว่า Valkyrie-2 เมื่อปฏิบัติการเสร็จสิ้นในช่วงวันที่ 10 กรกฎาคม 1945 เรือดำน้า U-530 ได้เข้าเทียบท่าในท่าเรือ Mar-Del-Plata ของอาเจนตินา มีการสัญนิษฐานว่าเรือดำน้ำอีกลำหนึ่งที่มาจากที่เดียวกันชื่อว่า U-977 ภายใต้การบังคับการของ Heinz Schaffer ได้นำฮิตเลอร์และ อีวา บราวน์ เข้าสู่ Neu Schwabenland ในเส้นทางเดียวกับ U-530 และเรือ U-977 ก็ได้เข้าเทียบท่าที่ท่าเรือ Mar-Del-Plata ในวันที่ 17 สิงหาคม 1945
เบอร์ลินใหม่ (Neuberlin)
ถ้า
คุณเป็นทหาร Wehrmacht ที่สถานีรถไฟที่ถูกบอมบ์ในเมือง Poltava
ประเทศยูเครนในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1942
คุณจะเห็นทหารหน่วยหนึ่งที่ดูเเปลกมากกำลังเดินเเถวมุ่งหน้าเพื่อไปรอรถไฟ
โดยสาร โดยหทารหน่วยนี้เป็นผู้หญิง พวกเธอทั้งหมดผมบลอนด์ มีนัยตาสีฟ้า
อายุอยู่ในช่วงระหว่าง 17 ถึง 24 ปี สูง หุ่นดี เซ็กซี่มีเสน่ห์ดึงดูด
พวกเธออยู่ในชุดยูนิฟอร์มสีฟ้า เเต่ละคนจะใส่หมวกทหารสไตล์อิตาเลียน
คุณอาจคิดว่าหน่วย SS ต้องการเพียงเเค่เรียกรวมพลทหารหญิงระดับไฮคลาส
(high-class) เเต่ความจริงที่ซ้อนเร้นอยู่มันมีอะไรกว่านั้นมาก
คุณจำเป็นต้องพิจารณาถึงฟือเรอเเห่งไรช์ที่ 3 ชื่อ Heinrich Himmler
ที่ได้ระดมความคิดครั้งสุดท้ายในโครงการ Siedlungsfrauen (Antarctic
Settlement Women or ASF)
เป็นโครงการจัดหาผู้หญิงพันธุ์ดีเพื่อไปอยู่ที่เเอนตาร์คติก้า
อาจเพื่อเอาไว้ทำเป็นเเม่พันธุ์ชั้นดี
เรื่อง
ราวได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1938 เมื่อเรือบรรทุกขนส่งขนาดใหญ่ชื่อ
Schwabenland ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรเเอตเเลนติกเพื่อเดินทางเข้าสู่ Queen
Maud's Land ใน เเอนตาร์คติก้า จากรายงานของนักจานบินวิทยาชาวรัสเซียชื่อ
Konstantin Ivanenko อ้างว่าเรือ Schwabenland
ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรภายใต้การบังคับการของ Albert Richter
ซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการทำงานในสภาวะอากาศที่หนาวเย็น
นักวิทยาศาสตร์ในเรือของ Richter ได้ใช้เรือใหญ่ลำนี้ในการสำรวจขั้วโลก
นักวิทยาศาสตร์เยอรมันได้พบว่ามีทะเลสาบที่ปราศจากน้ำเเข็งซึ่งถูกให้ความ
ร้อนโดยพลังความร้อนใต้พิภพ เเละสามารถที่จะใช้อยู่อาศัยได้
จึงเป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า Schwabenland
จะเป็นที่สร้างฐานทัพเเก่นาซีเพื่อการทำงานนับเเต่นี้เป็นต้นมา
ฐาน
ทัพของเยอรมันได้ถูกสร้างขึ้นที่ภูเขา Muhig-Hofmann
ซึ่งอยู่เข้าไปในเเผ่นดินห่างจากฝั่ง Princess Astrid เข้าไปไม่ไกล
โดยพื้นที่นี้ได้รับการตั้งชื่อใหม่ว่า Neuschwabenland (New Swabia)
เเละฐานทัพตรงนี้รู้จักกันดีในชื่อว่า สถานี 211
จาก
หนังเรื่อง Schindler's List
ทำให้ทุกคนคิดว่าการทำลายล้างยิวเป็นหนึ่งในหน้าที่หลักของนาซี
เเต่ในความเป็นจริง ฮิตเลอร์เเละ SS
ได้กระทำการโหดร้ายเฉพาะกับประชากรที่อยู่ในส่วนตะวันออกของอาณาจักร
เนื่องจากจำนวนประชากรที่มากเกินไป
จะส่งผลต่อเผ่าพันธุ์อารยันที่สมบูรณ์เเบบ
กล่าวคืออาจทำให้อารยันกลายพันธุ์ได้ จึงต้องกวาดล้าง
เเละเผ่าพันธุ์ยิวเป็นพวกชอบเอารัดเอาเปรียบ ก่อกวน
เเละสัดคลอนเสถียรภาพของเยอรมันอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เเละถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะทำให้อุดมการณ์ของนาซีไม่สำเร็จ
ฮิตเลอร์จึงตัดสินใจมาตรการขั้นเด็ดขาดต่อชาวยิวคือกวาดล้าง
การ
ดำเนินการอย่างเงียบเชียบค่อยเป็นค่อยไปนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วสำนักงานที่
น้อยคนนักจะรู้จัก ที่เรียกว่า Rasse und Siedlungshauptampt (German for
Race and Settlement Bureau) หรือ RuSHA
ในประเทศยูเครนประเทศเดียวได้มีการเกณฑ์ผู้หญิงกว่า 500,000
คนเพื่อบังคับให้ทำงานให้กับโรงงานทางด้านการทหารของนาซีเยอรมัน
เเละสำนักงาน RuSHA ยังทำหน้าที่คัดเลือกผู้หญิงพันธุ์ดีป้อนให้กับโครงการ
Antarctic Settlement Women, ASF ของฮีมเลอร์
ครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่ถูกเกณฑ์เป็นพวก Volkdeusche
ซึ่งมีเป็นสายพันธุ์เดียวกับเยอรมันที่บรรพบุรุษได้ไปตั้งรกรากอยู่ที่
ยูเครนในช่วงศตวรรษที่ 17 เเละ 18 ส่วนสายพันธุ์พื้นเมืองของยูเครนอื่นๆ
หน่วย RuSHA จะทำการอัพเกรด (Upgrade) เพื่อให้เป็นอารยันเต็มตัว (full
Aryans) ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Eindeutschchung (Germanization)
จาก
การกล่าวอ้างของ Ivanenko
มีเเนวความคิดที่จะเพิ่มจำนวนประชากรจากเเนวความคิด German-Slavonic
Antarctic Reich
มีการกล่าวว่าได้มีการส่งตัวผู้หญิงที่เป็นยูเครนเเท้ๆจำนวน 10,000
คนจากจำนวนครึ่งล้านไปยังฐานทัพเยอรมันในเเอนตาร์คติก้าในปี 1942
ซึ่งเป็นช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย Martin Bormann
โดยมีการกำหนดสัดส่วนคือผู้หญิงยูเครน 4 คน ต่อผู้ชายเยอรมัน 1 คน
ถ้า
เป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าฮีมเลอร์ได้ส่งทหารของหน่วย Waffen-SS 2,500
คน
ซึ่งคนกลุ่มนี้ได้ผ่านการทดสอบตัวเองด้วยการสู้รบกับรัสเซียในเเนวหน้าที่
สถานี 211 ที่ Neuschwabenland ใน เเอนตาร์คตติก้า ซึ่งเป็นที่มาของตำนาน
กองทหาร SS กองสุดท้าย (Last SS Battalion)
เเคมป์
สำหรับฝึกของหน่วย ASF ถูกตั้งอยู่ที่ Estonia บนคาบสมุทรใกล้กับ Ritna
บนเกาะ Hiiumaa ในทะเลบอลติก
มันประกอบด้วยโรงเรียนสอนการบ้านการเรือนเเละเป็นค่ายสำหรับฝึกทหารใหม่
เป็นสถานที่ที่เด็กผู้หญิงจะต้องได้เรียนบทเรียนต่างๆเกี่ยวกับความสวยความ
งาม การดูเเลบ้าน เเละการเอาตัวรอดในเเอนตาร์คติก้า
โดยฮีมเลอร์ได้เก็บรักษาค่ายดังกล่าวไว้เป็นความลับ
สำหรับคนที่เข้าไปอยู่ในเเคมป์เเล้วไม่มีความสุข
เเละคิดจะหลบหนีจะได้รับตั๋วรถไฟเที่ยวสุดท้าย
คือไปเที่ยวเดียวไม่ต้องกลับมาอีก...ไปที่ Auschwitz
เหตุ
ผลของฮีมเลอร์สำหรับการส่งผู้ตั้งรกรากจำนวนหลายพันคนเข้าสู่เเอนตาร์คติ
กาสามารถเข้าใจได้จากความเชื่อส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องลึกลับ
เนื่องจากเป็นผลจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เขาได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับยุค
ใหม่ (New Age)
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับดอกเตอร์ผู้ดูเหมือนจะมีเวทมนน์ชื่อ Fridrich
Wichtl เเละสมาชิกของเขาใน Artamen
ทำให้ฮีมเลอร์ได้กลายเป็นผู้มีความเชื่อในหลักการของฮินดูเกี่ยวกับเรื่อง
ยุคของโลก (World-Age) หรือกลียุค (Yuga)
เขาเชื่อว่ายุคปัจจุบันของโลกหรือที่เรียกว่า Kali Yoga
จะเขาสู่หายนะด้วยภายพิบัติครั้งใหญ่
เเละจะมีการกำเนิดโลกยุคใหม่ที่เรียกว่า Satya Yuga
การ
ส่งอาณานิคมนาซีไปสู่เเอนตาร์คติก้า
ฮีมเลอร์มีความมั่นใจว่ามนุษย์ที่เหลือที่เป็นอารยันเเท้
จะสามารถมีชีวิตรอดจากกลียุคที่กำลังจะมาถึงได้ด้วยระบบสังคมเเละวัฒนธรรม
เเห่งอารยัน
หลาย
คนเชื่อว่า อาณาจักรนาซีที่ Neuschwabenland
จะรอดพ้นไม่เพียงเเต่ในช่วงสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2
เเต่ยังคงรอดพ้นจากปฏิบัติการ High Jump ที่ใช้เรือรบกว่า 3,500 ลำ
เเละเครื่องบินจำนวนมากในการกวาดล้างกองกำลังนาซีในเเอนตาร์คติก้า
ใน
ปี ค.ศ. 2003 Ivanenko ได้เขียนไว้ว่า:
ประชากรนาซีในเเอนตาร์คติกาขณะนี้คาดว่าน่าจะมีเกินกว่า 2 ล้านคนเเล้ว
เเละหลายคนในประชากรจำนวนนั้นได้ทำศัลกรรมพลาสติกเพื่อที่จะให้สามารถ
เคลื่อนย้ายเข้าสู่ทวีปอเมริกาใต้ได้ง่ายขึ้นเเละช่วยให้สามารถติดต่อธุรกิจ
ในทวีปดังกล่าวได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
เขา
เรียกอาณาจักรที่นั่นว่าเเอนตาร์คติกไรช์
ซึ่งเป็นรัฐที่มีอำนาจทางด้านการทหารสูงที่สุดในโลก
เนื่องจากสามารถทำลายอเมริกาเวลาไหนก็ได้
เเละกี่ครั้งก็ได้ด้วยอำนาจของฐานทัพเรือดำน้ำ นิวเคลียร์มิสไซล์
เเละฐานทัพของนาซีจะปลอดภัยจากการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ของอเมริกาเนื่องจาก
ความหนาของโล่น้ำเเข็งที่หนากว่า 2 ไมล์
ยิ่ง
ไปกว่านั้นเขาอ้างว่าเมือง Neu Berlin
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณานิคมวางตัวอยู่ในช่องเเคบของอุโมงค์กลาเซีย
(glacial tunnels) ภายใต้เทือกเขาที่ไม่ทราบชื่อ
ซึ่งเมืองหลวงเเห่งนี้ได้รับความร้อนจากปากปล่องภูเขาไป
นักจานบินวิทยาได้สร้างความเชื่อมโยงเมือง Neu Berlin
กับเมืองก่อนประวัติศาสตร์ชื่อ Kadath
ซึ่งถูกสร้างโดยผู้ตั้งรกรากชาวเเอตเเลนติสเมื่อกว่า 100,000 ปีก่อน
เเละ
ยังคงมีนักวิจัยคนอื่นๆอ้างว่าซากของเมืองเเอนเเลนติสที่เเท้จริงได้ถูกพบ
เเละมีความเป็นไปได้ที่จะครอบครองภายใต้น้ำเเข็งเเห่งเเอนตาร์คติก
บางคนกล่าวว่าเเอตเเลนติสใน เเอนตาร์คติกามีที่ตั้งอยู่ใกล้กับหนึ่งใน 70
เเห่งของทะเลสาบน้ำอุ่นที่ได้ค้นพบที่ระยะกว่าหนึ่งไมล์ใต้เเผ่นเปลือกน้ำ
เเข็งเช่นเดียวกับทะเลสาบ Vostok
ที่อยู่ใกล้ฐานทัพของรัสเซียที่ไม่สามารถเข้าถึงได้
มี
การกล่าวอ้างอีกอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆเช่นกันเกี่ยวกับ Neu Berlin
ก็คือมีการกล่าวว่าที่นี่เป็นสถานีของมนุษย์ต่างดาวหลายเผ่าพันธุ์เช่น
Pleiadians, Zeta Reticulans, Reptoid, Men In Black, Aldebarani
เเละผูเยี่ยมเยียนจากดาวอื่นๆในการพักอาศัยบนโลก
พวกนาซียังคงทำงานเกี่ยวกับระบบการบินที่ลำสมัย
โดยบางพวกในจำนวนนั้นสามารถบินออกนอกชั้นบรรยากาศของโลกได้
นัก
วิจัยบางท่านเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่านาซีได้สร้างฐานทัพอยู่ที่ดวงจันทร์
เเละบนดาวอังคาร
เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจะสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวเมื่อตอนที่พวกเขา
ขับยานออกจากโลก?
ได้
มีการกล่าวอ้างถึงการจับ UFO
ที่ล้ำสมัยที่ประสบอุบัติเหตุเครื่องยนต์ขัดข้องเเละร่วงลงได้โดยนาซีฤดู
ร้อนปี 1936 ใน Schwarzwald
ซึ่งยานดังกล่าวขับเคลื่อนด้วยระบบขับดันเเอนติกราวิตี
พวกนาซีได้ความรู้ทางด้านวิศวกรรมจากการงัดเเงะ UFO ดังกล่าว
เเล้วเอามาสร้างเองเป็นของตนเอง
ซึ่งเรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกับการพบจานบินตกเเละถูกจับได้โดยอเมริกาที่
ใกล้กับ Roswell, New Mexico ในค.ศ. 1947
อเมริกาก็ได้ทำเช่นเดียวกับที่นาซีเยอรมันทำซึ่งนำไปสู่การค้นพบ
ทรานซิสเตอร์ ไฟเบอรออปติค (Fiber-obtics)
เเละเทคโนโลยีเเห่งความอัศจรรย์อีกหลายชนิด
Ivanenko
รายงานว่าการพูดถึงอาณาจักรเเอนตาร์คติคไรช์กลายเป็นเรื่องที่โด่งดังมากใน
รัสเซีย โปเเลนด์ ยูเครน เบลารุส เเละอีกหลายประเทศในยุโรปตะวันออก
เขาเขียนว่า
ใน
วันที่ 10 พฤษภาคม 2003 จากหนังสือพิมพ์ "Frunkfurt Allgemeine"
นักเขียนชาวโปเเลนด์ชื่อ A. Stagjuk
วิจารณ์การตัดสินใจของโปรเเลนด์ในการส่งกองกำลังไปสู่อิรักเพื่อร่วมกับกอง
กำลังพันธมิตร โดยเขาได้ทิ้งท้ายว่า
ต่อไปรัฐบาลของโปเเลนด์จะสร้างสนธิสัญญาร่วมกับเเอนตาร์คติก้าเเล้วประกา
ศสงครามกับอเมริกา
ทุก
วันนี้เรายังไม่รู้เเน่ชัดเกี่ยวกับฐานทัพนาซีในเเอนตาร์คติก้า
เเต่สักวันความจริงคงจะปรากฏให้เราได้ทราบกัน โปรดอดใจรอ
เเต่ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่???
อาณาจักรไรช์ที่ 3 ของฮิตเลอร์ เเละสงครามโลกครั้งที่ 2 ในข่าว (HitlerThird Reich and World War II in the news)
อเมริกา: ถิ่นกำเนิดของนาซี
(The USA: A Birthplace of Nazi Germany)
จาก Archive: 15 พฤศจิกายน 2005
ใน วันจันทร์ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้กล่าวเปิดงานอภิปรายในสัปดาห์เเห่งความ ทรงจำของการทำลายล้าง (Holocaust Remembrance Week) มันมีหัวเรื่องในการอภิปรายว่า "American Complacency and Holocaust" จริงๆเเล้วผมอยากให้หัวเรื่องเป็น "The USA: Birthplace of Genocide" มากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งผมพบว่า ในเรื่องของอุดมการณ์ที่ผิดเช่นอุดมการณ์เเห่งการทำลายล้าง การเเบ่งชนชาติเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นถือเป็นการเเบ่งชั้นวรรณะทางวิทยาศาสตร์ ผมยืนยันว่าฮิตเลอร์มองอเมริกาในฐานะต้นเเบบของ ของการออกเเผนการ อารยันชนชาติเเห่งความเป็นใหญ่ (Aryan Master Race Plan)-------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีที่สำหรับนาซีในทางการเเพทย์
(No place for Nazis in Medicine)
จาก New Scientist: 24 ตุลาคม 2005
เหยื่อ สงครามของนาซีผู้สละร่างกายเพื่อการทดลองในการวิจัยทางด้านการเเพทย์ เเละได้ถูกเขียนรายงานการทดลองอย่างช้า คำว่า Reiter's syndrome ได้ถูกใช้อย่างเเพร่หลายเพื่อใช้อธิบายความผิดปกติ โดยชื่อนี้เป็นชื่อของ Dr. Han Reiter ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของสำนักงานสุขภาพเเห่งไรช์ของฮิตเลอร์ (Hitler's Reich Health Office) เเละในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ออกเเบบให้มีการทดลองวัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ (Typhoid) ซึ่งทำให้มีคนตาย 250 คน เเละเขายังถูกพาดพิงถึงการทำให้คนทีได้รับความทุกข์ทรมาณจากโรคตายโดยไม่ เจ็บปวด เเละการบังคับทำหมัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
โครงการที่เป็นไฮไลท์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง: ค้นหานักวิทยาศาสตร์นาซี
(Program highlights search for Nazi scienctist during WWII)
จาก JTA: 10 ตุลาคม 2005
เเรง ผลักดันของโครงการนี้มาจากความหวาดกลัวอย่างสุดขีดว่านาซีจะพลิกกลับมาชนะ สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ในช่วงสุดท้ายด้วยอาวุธที่ร้ายกาจที่เรียกว่า last-minute super weapon เเละเป็นลางของการเริ่มต้นของสงครามเย็น (cold war) ที่เป็นการเเข่งขันระหว่างพวกอองโกอเมริกัน กับพวกโซเวียต ในการส่งทีมไล่ล่าไปตามช่องอุโมงค์ใต้ดินเเละเทือกเขาที่เป็นที่ซ่อน ตัวอย่างดีของนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิชาวเยอรมัน ดังที่ปรากฏในเอกสาร "secret of the dead: The hunt for Nazi Scientist" ซึ่งเป็นเอกสารหนึ่งที่มีความสำคัญในสงครามโลก
(The USA: A Birthplace of Nazi Germany)
จาก Archive: 15 พฤศจิกายน 2005
ใน วันจันทร์ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้กล่าวเปิดงานอภิปรายในสัปดาห์เเห่งความ ทรงจำของการทำลายล้าง (Holocaust Remembrance Week) มันมีหัวเรื่องในการอภิปรายว่า "American Complacency and Holocaust" จริงๆเเล้วผมอยากให้หัวเรื่องเป็น "The USA: Birthplace of Genocide" มากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งผมพบว่า ในเรื่องของอุดมการณ์ที่ผิดเช่นอุดมการณ์เเห่งการทำลายล้าง การเเบ่งชนชาติเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นถือเป็นการเเบ่งชั้นวรรณะทางวิทยาศาสตร์ ผมยืนยันว่าฮิตเลอร์มองอเมริกาในฐานะต้นเเบบของ ของการออกเเผนการ อารยันชนชาติเเห่งความเป็นใหญ่ (Aryan Master Race Plan)-------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีที่สำหรับนาซีในทางการเเพทย์
(No place for Nazis in Medicine)
จาก New Scientist: 24 ตุลาคม 2005
เหยื่อ สงครามของนาซีผู้สละร่างกายเพื่อการทดลองในการวิจัยทางด้านการเเพทย์ เเละได้ถูกเขียนรายงานการทดลองอย่างช้า คำว่า Reiter's syndrome ได้ถูกใช้อย่างเเพร่หลายเพื่อใช้อธิบายความผิดปกติ โดยชื่อนี้เป็นชื่อของ Dr. Han Reiter ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของสำนักงานสุขภาพเเห่งไรช์ของฮิตเลอร์ (Hitler's Reich Health Office) เเละในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ออกเเบบให้มีการทดลองวัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ (Typhoid) ซึ่งทำให้มีคนตาย 250 คน เเละเขายังถูกพาดพิงถึงการทำให้คนทีได้รับความทุกข์ทรมาณจากโรคตายโดยไม่ เจ็บปวด เเละการบังคับทำหมัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
โครงการที่เป็นไฮไลท์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง: ค้นหานักวิทยาศาสตร์นาซี
(Program highlights search for Nazi scienctist during WWII)
จาก JTA: 10 ตุลาคม 2005
เเรง ผลักดันของโครงการนี้มาจากความหวาดกลัวอย่างสุดขีดว่านาซีจะพลิกกลับมาชนะ สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ในช่วงสุดท้ายด้วยอาวุธที่ร้ายกาจที่เรียกว่า last-minute super weapon เเละเป็นลางของการเริ่มต้นของสงครามเย็น (cold war) ที่เป็นการเเข่งขันระหว่างพวกอองโกอเมริกัน กับพวกโซเวียต ในการส่งทีมไล่ล่าไปตามช่องอุโมงค์ใต้ดินเเละเทือกเขาที่เป็นที่ซ่อน ตัวอย่างดีของนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิชาวเยอรมัน ดังที่ปรากฏในเอกสาร "secret of the dead: The hunt for Nazi Scientist" ซึ่งเป็นเอกสารหนึ่งที่มีความสำคัญในสงครามโลก
(Hitler's debt work of American eugennicist)
จาก gardian: 26 กุมภาพันธ์ 2004
eugenicist = ผู้ศึกษาวิชาว่าด้วยการบำรุงพันธุ์มนุษย์
receologist = ผู้ศึกษาวิชาว่าด้วยการเเบ่งชั้นวรรณะ
Receologist ชาวอเมริกันมีความภาคภูมิใจมากที่ได้สร้างเเรงบันดาลใจให้กับการก่อตั้งรัฐ นาซี ซึ่งเป็นรัฐเเห่งชาติพันธุ์ที่เข้มงวด ในช่วงต้นของอาณาจักรไรช์ที่ 3 ฮิตเลอร์เเละนักรักษาสุขอนามัยเเห่งวรรณะของเขาได้ทำการร่างกฏหมาย ชาติพันธุ์อย่างละเอียดรอบคอบโดยได้รับการสนับสนุนจากนักชาติพันธุ์วิทยา ชาวอเมริกันจากนิวยอร์คจนถึงเเคลิฟอเนียร์ เเละนักชาติพันธุ์วิทยาก็ได้มีความกระตือรือล้นที่จะให้การช่วยเหลือ
ที่มา : http://sujatewanchat.blogspot.com/2009/10/1.html
http://sujatewanchat.blogspot.com/2009/10/3-2-hitlerthird-reich-and-world-war-ii.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น