วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

The Story of Vimanas

vimana_banner.gif


หลังจากห่างหายไปพักใหญ่ๆ ตอนนี้ก็กลับมาพร้อมข้อมูลใหม่ๆที่เพิ่งแกะมาได้ล่าสุดเกี่ยวกับร่องรอยของ อารยธรรมต่างดาว ที่ปรากฏอยู่ในยุคบรรพชนของมนุษยชาติ แต่คราวนี้มาแปลกหน่อยเพราะไม่ได้กล่าวถึงอเมริกาใต้ อียิปต์ อย่างที่เคยเป็น ท่านที่เห็นจั่วหัวเรื่องคงพอจะนึกออกแล้วล่ะครับ ว่านายโซนิคจะพาท่านไปเที่ยวที่ไหนกัน ใช่แล้วครับ เราจะย้อนยุคกันไปสู่สมัยแห่งมหากาพย์ของ อินเดีย เพราะมีนักคิดนักเขียนฝรั่งไม่น้อยเหมือนกัน ที่บังเอิญไปค้นเจอ"อะไร"บางอย่างที่น่าสนใจในมหากาพย์โบร่ำโบราณของอินเดีย เข้า อดใจรอซักครู่ครับ ผมจะค่อยๆเล่าให้ฟัง

vimanas-profile-a01.jpg


ก็เรียนกันมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นกันเกือบทุกคนนะครับ สำหรับมหากาพย์ของอินเดียเรื่องมหาภารตะ และรามายณะ หรือรามเกียรติ ผมจะไม่เล่าประวัติ หรือเนื้อเรื่องของมหากาพย์ทั้งสองนี้ล่ะนะครับ คิดว่าคงรู้กันดีอยู่ ปัญหามันมีอยู่ว่า ไอ้ที่เราเรียนๆหรืออ่านกันนี้ มันเป็นฉบับดัดแปลงครับ หมายถึงสำนวน เนื้อเรื่อง ต่างๆเพี้ยนจากต้นฉบับไปเยอะมาก (ทำนองเดียวกับไบเบิล) ส่วนหนึ่งอาจมาจากกาลเวลาที่ยาวนาน รวมถึงการเล่าสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน มีการดัดนั่น เสริมนี่เข้าไปจนเพี้ยนจากต้นฉบับเดิมมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากการแปลครับ การแปลจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่งเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะต้องคำนึงถึงภาษา ตลอดจนปัจจัยอื่นๆประกอบกันเพราะฉะนั้น ขอให้ทำความเข้าใจกันนิดว่า เอกสารทั้งหลายที่ผมอ้างอิงถึง เป็นเอกสาร Original ซึ่งขุดค้นพบโดยนักโบราณคดี และนักวิชาการเท่านั้น ถ้าคุณไปซื้อฉบับที่เป็นวรรณกรรมมาอ่านแล้วเนื้อหาไม่เหมือนกันจะมาโวยวายผม ไม่ได้นา

vimanas-profile-a02.jpg


เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเสียที นักวิชาการผู้สนใจเรื่องอารยธรรมโบราณทั้งหลายแหล่ มีอยู่ส่วนหนึ่งครับ ที่ปักใจเชื่อมั่นว่า ในอดีตโลกของเรา เคยถูกครอบครองโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกมาก่อน สำหรับท่านที่เข้ามาดูเว็บไซต์นี้บ่อยๆก็คงพอจะเข้าใจแนวคิดนี้ดี อินเดียเป็นหนึ่งในแหล่งอารยธรรมใหญ่ของโลก เคยรุ่งเรืองทั้งศาสตร์และศิลป์มาตั้งแต่อดีตกาล เรารู้จักกันในนามของอารยธรรมลุ่มน้ำ คงคา-สินธุ ครับ กลุ่มชนที่อาสัยในแถบนั้นสืบเชื้อสายมาจากชาวอินโด-อารยัน อันเป็นหนึ่งในเชื้อสายใหญ่ๆของโลก ชาวอินโดอารยันในแถบนี้มีความรู้ทางภาษามากครับ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปรัชญา วรรณกรรม จึงมีให้เห็นเกลื่อนไปหมด ทว่า มีวรรณกรรมอยู่หลายเรื่องที่เก่าแก่จนหาที่มาที่ไปไม่ได้ว่าเริ่มต้นมาจาก ไหน บางเรื่องเก่ากว่าต้นกำเนิดของผู้คนในแถบหิมาลายันเสียอีก มหาภารตะ คือหนึ่งในเรื่องราวเหล่านี้ครับ

จากต้นฉบับภาษาสันสกฤตโบราณที่ถูกค้นพบในอินเดียและปากีสถาน ทำให้นักโบราณคดีถึงกับอึ้งครับเมื่อพวกเขาแปลพบจารึกเหล่านี้ ร้อนถึงสภามหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยของกองทัพอินเดียต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการแปลข้อความ เหล่านี้ ต้นฉบับสันสกฤตของมหาภารตะถูกค้นพบนานมากแล้วครับ เพียงแต่แรกเริ่มเดิมที ต้นฉบับเหล่านี้ถูกมองเป็นเพียงนิทานเท่านั้น แปลไปแปลมามันไม่ยักกะใช่น่ะซีครับ เพราะเนื้อหาที่กล่าวถึงมันช่างล้ำยุคล้ำสมัยเป็นที่สุด ร้อนถึงหลายๆสถาบันที่เกี่ยวข้องในยุโรปและอเมริกาต้องมาประชุมเครียดกัน เพื่อถกเถียงปัญหาเกี่ยวกับต้นฉบับดังกล่าว ผลสรุปได้ ออกมาดังนี้ครับ กลุ่มแรกเห็นว่ามันเป็นเพียง"ตำนาน"เท่านั้น ก็แค่นิทานและจินตนาการของกวี ไม่เห็นมีอะไรซักหน่อย

vimanas-profile-a03.jpg


แต่อีกกลุ่มเค้าไม่คิดแบบนั้นน่ะซีครับ เค้าบอกว่านี่แหละคือหลักฐานแบบจะๆที่สามารถอ้างอิงได้ว่า ในอดีตมนุษย์เคยมีการติดต่อกับสิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก รวมถึงทำสงครามกันด้วยอากาศยานและเทคโนโลยีทางนิวเคลียร์มาแล้ว ว๊าว... เป็นไปได้ยังไงกัน?

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง นักโบราณคดีชาวจีนได้ค้นพบจารึกภาษาสันสกฤตในมณฑลลาซาของทิเบต ภาษาที่ใช้โบราณจนแปลลำบากมาก กลุ่มนักโบราณคดีได้ส่งจารึกชิ้นนี้ไปที่มหาวิทยาลัย Chandrigarh เพื่อขอความช่วยเหลือในการแปล ดร.Ruth Reyna หัวหน้าทีมแปลจารึกชิ้นนี้กล่าว่า เอกสารพวกนี้กล่าว ถึงวิธีการสร้างยานอวกาศครับ! เป็นยานที่ใช้โดยสารระหว่างดวงดาว มีการกล่าวถึงหลักการขับเคลื่อนของวิมานะ ด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า "laghima" (ลักษิมะ) ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่ ดร. Reyna กล่าวต่อไปว่า กลไกการขับเคลื่อนของตัวยานนั้น ตามจารึกเรียกว่า แอสตรา(Astras) สามารถที่จะนำมนุษย์ไปยังดาวดวงใดก็ได้ที่ต้องการ เหลือเชื่อดีมั๊ยล่ะครับ เอกสารโบราณของชาวภารตะเมื่อหลายพันปีก่อนเนี่ย


vimanas-profile-a04.jpg


นอกจากนี้ เนื้อหาในจารึกยังกล่าวถึง "อันติมะ" ยานยนตร์ที่ล่องหนได้ และ "การิมะ" อากาศยานขนาดใหญ่เท่าภูเขาขนาดย่อม เหมือนนิทานดีนะครับจารึกพวกนี้ แน่นอนว่าทีแรกทีมงานแปลไม่ได้ใส่ใจจารึกพวกนี้มากนัก จนกระทั่งกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศว่า จะมีการนำเอาเนื้อหาส่วนหนึ่งของจารึกนี้มาวิจัยในโครงการอวกาศของจีนด้วย นั่นแหละ ทั่วโลกจึงหันมาจับตา "นิทานโบราณ"พวกนี้อย่างจริงจัง

เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า จารึกเหล่านี้ขาดหายตกหล่นไปเป็นจำนวนมาก ถึงกระนั้น นักวิชาการรวมไปถึงนักโบราณคดีก็ได้อะไรไม่น้อยจากจารึกนี้ เชื่อไหมครับว่ามีการกล่าวถึงการเดินทางสู่ดวงจันทร์ในมหากาพย์ รามายณะ อากาศยานที่พวกเขาใช้โดยสารเรียกว่า วิมานะ หรือ แอสตรา ที่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง การทำสงครามอวกาศด้วยวิมานะด้วยครับ ระหว่างชาวอินเดียโบราณกับชาว Asvin (ขออ่านว่าอัศวินนะครับ) ด้วย ถ้าเรื่องในจารึกเป็นแค่นิทานหรือนิยาย ก็นับว่าเป็นนิยายวิทยศาสตร์เรื่องแรกของโลกที่กล่าวถึงการทำสงครามอวกาศ ก่อนหน้า Star Wars ของ จอร์จ ลูกัส เกือบหมื่นปีเชียวแหละคุณเอ๊ย

เพื่อเจาะลึกเรื่องวิมานะนี้ให้มากขึ้นอีก ผมขออนุญาตพาท่านย้อนยุคไปยังอาณาจักรโบราณ ซึ่งตามจารึกกล่าว่าเจริญรุ่งเรืองมาเมื่อ 15,000 ปีก่อนหน้านี้ อาณาจักรนี้ชื่อ Rama Empire ครับ ตั้งอยู่ทางเหนือของอินเดียและปากีสถาน นักโบราณคดียืนยันว่า นครเก๋ากึ๊กแห่งนี้ไม่ใช่มีแต่ในนิทานเท่านั้น หากแต่มีอยู่จริงทำนองเดียวกับทรอยและไมซีนี่ เพราะมีการขุดพบโบราณสถาน โบราณวัตถุ ตลอดไปจนจารึกอีกจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณที่ตั้งของนคร ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นทะเลทรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่องรอยของอาณาจักร Rama ยังหลงเหลืออยู่ในตำนานปัจจุบัน

หลายเรื่องเช่นนครทั้งเจ็ดอันกอปรขึ้นเป็นอาณาจักร Rama นี้เรารู้กันกันตามตำนานในชื่อของ "The Seven Rishi Cities." หรือ นครของกษัตริย์ลิจฉวีนั่นเอง

นครนี้มีคงความเจริญทางเทคโนโลยีไม่แพ้ปัจจุบันทีเดียว เพราะตามจารึกกล่าวถึงความเป็นอยู่ของพลเมืองไว้อย่างพิสดารมาก พวกเขาไปไหนมาไหนกันด้วยพาหนะที่เรียกว่า Vimanas หรือ วิมานครับ ลักษณะของมันประกอบด้วยดาดฟ้าสองชั้น ตัวยานมีลักษณะกลมเหมือนโดม มีรูระบายอากาศโดยรอบ โอ.. ศิวะเทพ! ทุกท่านคิดเหมือนผมไหมครับว่า ลักษระของเจ้าวิมานะเนี่ยช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ UFOs เสียจริงๆ ยังมีอีกนะครับ วิมานะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วยิ่งกว่าสายลม แถมยังมีเสียงเหมือนบรรเลงเครื่องดนตรีสี่ประเภทพร้อมกันอีก วิมานะมีอยู่หลายรุ่นหลายรูปแบบครับ ในจารึกยังมีคู่มือการขับวิมานะประเภทต่างๆ รวมถึงการหลักการสร้างและทำลายวิมานะของข้าศึก เดี๋ยวผมจะเอารายละเอียดให้ดูครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับ -วิมานะ ที่มีอยู่ในจารึก
    * ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก
    * กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว
    * วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู
    * การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้าม
    * การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู
    * กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน
    * การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆ


อ่านๆดูแล้วงงเป็นไก่ตาแตกเลยครับผม ท่านจะเชื่อหรือครับว่านี่คือจารึกโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ถ้ามันเป็นแค่นิทาน ก็นับเป็นนิทานที่เขียนได้เป็นตุเป็นตะดีมาก เพราะมีทั้งการจารกรรม การวินาศกรรม และการขับอากาศยานแบบครบถ้วนกระบวนการเหลือเกิน สำหรับใครที่สนใจเรื่องราวแบบเต็มๆของเรื่องนี้ รายละเอียดมีอยู่ในงานแปลจารึกที่ถ่ายทอดออกมาจากต้นฉบับสันสกฤตเป็นภาษาอัง กฤตครับ รู้สึกจะเป็น MAANIDASHAASTRA AERONAUTICS by Maharishi Bharadwaaja, translated into English and edited, printed and published by Mr. G. R.Josyer, Mysore, India, 1979 นี่แหละ หาอ่านกันตามสะดวกคร๊าบ

vimanas-profile-a05.jpg


ดร.Josyer สถาบันศึกษาภาษาสันสฤษนานาชาติกล่าวว่า จากลักษณะที่ปรากฏในจารึกโบราณหลายๆชิ้น เจ้าวิมานะนี้คงจะไม่ได้เป็นเพียงตำนานเสียแล้ว เขาให้ข้อสังเกตต่อไปว่า วิมานะสามารถขึ้นลงในแนวดิ่งและแล่นไปบนท้องฟ้าได้ด้วยความเร็วสูง หากเจ้าวิมานะไม่มีกลไกบางอย่างที่สามารถต้านทานแรงดึงดูดโลกแล้วล่ะก็ มันคงใช้หลักการขับเคลื่อนแบบเดียวกับเฮลิคอปเตอร์ในปัจจุบัน คือสามารถขึ้นลงตรงๆได้โดยไม่ต้องอาศัยสนามบิน

" วิมานะไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยกฤษฎาอภินิหาร แต่มันอาศัยเชื้อเพลิงเป็นตัวขับเคลื่อนครับ เชื้อเพลิงที่ว่าเป็นของเหลวสีเหลืองออกไปทางขาว บางที่ก็ใช้ปรอทเหลวเป็นเชื้อเพลิง รู้สึกว่าผู้จารึกจะสับสนในรายละเอียดของเชื้อเพลิงอยู่มาก มันเหมือนกับว่าเขาเขียนเอาจากการสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ หรือไม่ก้อ้างอิงเอามาจากตำราสมัยก่อนเสียมากกว่า" ดร. Josyer ทิ้งท้ายไว้แบบนี้ครับ

เป็นไปได้ไหมครับว่านั่นอาจเป็นเพราะวิมานะมีหลายรุ่น มีทั้งแบบใช้เชื้อเพลิงเจ็ทและใช้ปีกหมุนแบบเอลิคอปเตอร์ คำถามนี้คงไม่มีใครตอบได้ นอกเสียจากจะตามขึ้นไปถามคนจารึกบนสวรรค์...

จากส่วนหนึ่งของมาหกาพย์ มหาภารตะ มีวิมานะอยู่ประเภทหนึ่งครับมีลักษณะเป็นลูกกลมๆ ส่งเสียงดังปานฟ้าผ่า แถมยังวิ่งด้วยความเร็วสูงมาก ลักษณะเหมือน UFOs ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันไม่มีผิดครับ เมื่อเร็วๆนี้เอง มีการแถลงการจากนักโบราณคดีรัสเซียถึงการค้นพบเครื่องยนต์ปริศนา ที่ถ้ำเล็กๆในทะเลทรายโกบี เครื่องยนต์ที่ว่าทำจากแก้วและโลหะคาดว่าต้องเป็นชิ้นส่วนของยานพาหนะสัก อย่างในอดีต ในโคนซึ่งมีลักษณะคล้ายท่อไอเสียของเครื่องยนต์พบสารปรอทตกค้างอยู่เป็น จำนวนมาก เล่นเอานักโบราณคดีกลุ่มนั้นงงเป็นไก่ตาแตก เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครหนอ ที่มาทิ้งเครื่องยนต์อายุเกือบแปดพันปีเหล่านี้ไว้ในถ้ำเล็กๆ ในทะเลทรายที่ปราศจากผู้คนแบบนี้


vimanas-profile-a06.jpg


น่าเสียดายครับ ที่วิมานะก็เหมือนอากาศยานที่ใช้กันในปัจจุบัน คือเน้นงานสงครามเป็นหลัก ชาวภารตะโบราณเล่าขานถึงการขับเคี่ยวในเชิงยุทธ ระหว่างพวกเขาและคู่สงครามด้วยวิมานะอย่างน่าฟัง คู่สงครามของพวกเขาเป็นมหานครที่เจริญด้วยอายธรรมเสียยิ่งกว่าพวกเขาอีก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ Rama Empire ไกลโพ้นออกไปกลางมหาสมุทร ชาวภารตะดบราณเรียกอาณาจักรนั้นว่าอาณาจักรของพวก Asvin และเรียกวิมานะของฝ่ายนั้นว่า Vailixi ครับ

vimanas-profile-a07.jpg


มีอยู่บทหนึ่ง(ในหลายๆบท)ในมหภารตะที่โด่งดังมากครับ เพราะให้ภาพชัดเจนเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์มาก มีการใช้ขีปนาวุธที่ "ยาวราวเจ็ดชั่วตัวคน ขับเคลื่อนด้วยเปลวไฟในตัวเอง สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง" ถล่มกันจากวิมานะ มีอยู่บทหนึ่งกล่าวว่า อาวูธของฝ่ายข้าศึกช่างร้ายแรงราวกับรวมพลังจากทั่วสากลโลกมาไว้ในตัวเอง อานุภาพการทำลายเต็มไปด้วยไฟ ควัน และคลื่นความร้อนราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทีละสิบดวง อาวุธนี้สามารถแปรสภาพพื้นที่รอบบริเวณได้ในพริบตา มันเผาผลาญธัญญาหารจนเกรียมวายวอดไปทั้งท้องทุ่ง ผู้คนจะผมเผ้าขาวโพลนและหลุดร่วง นกบนท้องฟ้าจะเปื้อนฝุ่นละอองสีขี้เถ้า ตกลงมาตายนับพันตัว มิช้ามินาน อาหารและเสบียงที่มีจะเป็นพิษจนหมดสิ้น วิธีการหนีรอดจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ของทหารภารตะโบราณคือ ถอดเสื้อผ้าและชุดเกราะออก ลงไปชำระกายในน้ำครับ เพื่อมิให้ฝุ่นละอองนี้ติดตัว

จินตนาการหรือครับ? นี่เป็นเพียงจินตนาการหรือการถ่ายทอดภาพของสงครามนิวเคลียร์ให้ชนรุ่นหลัง ได้รับทราบ? โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นด้วยกับเจ้าของหนังสือเล่มที่ผมแกะมานี้มากเลย ระเบิดและฝุ่นกัมตภาพรังสี ผลที่เกิดกับร่างกายมนุษย์ การปนเปื้อนและตกค้างของฝุ่นนิวเคลียร์ ไม่มีอะไรจะต้องสงสัยอีกแล้วว่า เมื่อนานแสนนานมาแล้ว มนุษย์ได้ทำลายล้างกันด้วยอาวุธมหาประลัยชนิดนี้มาก่อนและบันทึกเรื่องราว เอาไว้เพื่อตักเตือนอนุชนรุ่นหลังถึงพิษภัยของมัน

ในเมืองโมเฮนโจดาโร อดีตชุมชนแสนโบราณบริเวณลุ่มน้ำสินธุ มีการพบว่าโครงกระดูกในสุสานจำนวนมากที่ปนเปื้อนกัมตภาพรังสีอยู่ รวมทั้งกำแพงเมือง และภาชนะบางชิ้นที่หลอมละลายจนกลายเป็นแก้ว เนื่องจากโดน "ความร้อนที่ไม่ทราบที่มา" หลอมละลายจนกลายเป็นแบบนี้

ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าวิมานะของชาวภารตะโบราณ เกี่ยวข้องอย่างไรกับ UFOs ที่พบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะตามจารึกแล้ว Rama Empire ล่มสลายไปหมดเนื่องจากสงครามครั้งใหญ่ครั้งนั้น ทว่านักวิชาการส่วนหนึ่งยังมีความหวังอยู่ เนื่องจากในจารึกมีการกล่าวถึงการเดินทางระหว่างดวงจันทร์กับพื้นพิภพด้วยวิ มานะ มีการรบกับระหว่างชาวภารตะกับชาว Asvin บนน่านฟ้าเหนือวงโคจรดวงจันทร์ ไม่แน่นะครับ ในหลืบใดหลืบหนึ่งของดวงจันทร์ อาจมีผู้รอดตายจากสงครามครั้งนั้นเหลืออยู่ก็ได้

 mahabarata.jpg


"มีลักษณะ 2 ชั้นประกบกันเป็นทรงกลมและยาวเป็นทรงกระบอก มีโดมอยู่ด้านบนพร้อมกับประตู บินได้ด้วยความเร็วของลม และส่งเสียงไพเราะยามบินอยู่บนท้องฟ้า" เป็นคำบรรยายถึงลักษณะของ "วิมานะ" หรือ "วิมาน" ของชาวอินเดียสมัยโบราณที่ได้บันทึกเอาไว้ ทั้งวิธีการบินและการควบคุม รวมไปถึงการสร้างวิมานะอีกด้วย ซึ่งวิมานะนั้นมีด้วยกันอยู่ 4 ชนิด คือ 1.Shakuna Vimana 2.Sundara Vimana 3.Rukma Vimana 4.Tripura Vimana (บางจารึกก็กล่าวว่ามันมีมากกว่านี้) ในแผ่นต้นฉบับของวิมานะยังประกอบไป ด้วยความลับในการสร้างยานบิน ซึ่งจะต้องไม่แข็งแรง ไม่แตกหัก ทนทานต่อไฟ และทำลายไม่ได้ และความลับการสร้างยานบินที่ล่องหนได้ การแอบฟังการสนทนากันของฝ่ายข้าศึก จับภาพของเครื่องบินข้าศึก การสอดแนมฝ่ายตรงข้าม การทำให้ข้าศึกสลบ และการทำลายยานบินของฝ่ายข้าศึก อื้ม ร้ายไม่เบาเชียวครับ

ในต้นฉบับภาษาสันสกฤตของเดิมนั้นก็ได้มีการกล่าวอ้างถึงพระเจ้า (Gods) ที่ทำการสู้รบกันบนท้องฟ้าด้วยวิมานะพร้อมกับอาวุธต่างๆ ที่มีอานุภาพร้ายแรง ดังเช่นในมหากาพย์รามายนะ (Ramayana) ได้กล่าวไว้ว่า

"The Puspaka car that resembles the sun and belongs to my brother was brought by the powerful Ravan; that aerial and excellent car going everwhere at will….that car resembling a bright clound in the sky……. And the King[Rama] got in and the excellent car at the command of the Raghira, rose up into the higher atmosphere"

อื้มมม ดูเอาเถอะครับว่าน่าแปลกและมหัศจรรย์ดีเหมือนกัน เอาละมาว่ากันต่อดีกว่า ในมหาภารตะ (Mahabharata) ของชาวอินเดียโบราณยังได้กล่าวชื่อคนที่เป็นเจ้าของวิมานะไว้ด้วย คือ Asura maya ที่มีวิมานะที่ความใหญ่โตวัดได้โดยรอบเท่ากับ 12 ศอก โห ใหญ่มากเลยเนาะ และมี 4 ล้ออีกต่างหาก ยังไม่พอครับยังมีจรวดมิซไซล์ที่(เค้า)เรียกว่า "Blazing Missile" ยัง…ยังครับยังมีอาวุธทำลายล้างที่เรียกว่า "Indra" กับ "Dart" อีกซะด้วย อาวุธเหล่านี้จะทำงานผ่านการควบคุมของสวิทซ์ที่เรียกว่า "Circular Reflector" ซึ่งเมื่อกดสวิทซ์ไปแล้ว ก็จะเกิดแท่งลำแสง (Shaft of light) โดยเล็งไปยังจุดหมายที่ต้องการทำลายจากนั้นก็……ตูม ครับ จะไปเหลืออะไรล่ะ เอ๊ รู้สึกคุ้นๆ มั๊ยเอ่ย ?!?! ใช่แล้วครับนี่มันแสงเลเซอร์ หรืออาวุธนิวเคลียร์ดีๆ นั่นเอง

มาดูข้อความที่เค้าบันทึกกันไว้อีกดีกว่าก็มีอยู่ตอนนึงครับ เค้าว่าเอาไว้อย่างนี้ "Krishna ได้ติดตามล่าข้าศึกที่ชื่อ Salva อยู่บนฟ้า และจู่ๆ วิมานะของข้าศึกก็ได้ล่องหนหายไป และในทันนั้นเอง Krishna ไม่รอช้าครับ เค้าจัดแจงยิงอาวุธพิฆาตออกไปทันที โดยจะอาวุธพิฆาตนี้จะทำการสังหารและทำลายเสียงใดก็ตาม ที่เล็ดลอดออกมานอกจากวิมานะของตัว Krishna เอง"
อาวุธต่างๆ ต่างก็ถูกพรรณนาเอาไว้อีกมากมายในมหาภารตะนี้แต่ ที่น่ากลัวที่สุดของอาวุธทั้งหมดนั้นก็เป็นอาวุธที่เอาไว้ใช้สู้กับพวก Vrishis ครับ เอาละมาดูกันดีกว่าว่าเค้าบรรยายเอาไว้ว่ายังไง

Gurkha ยามนั้นได้บินอยู่บนฟ้าอย่างรวดเร็วเหนือนครของพวก Vrishis และ Andhakas และได้ปล่อย "อาวุธ" ทรงพลังยิ่งที่ประจุด้วยพลังทั้งมวลของจักรวาลลง ไปยังนครของพวกนั้น เกิดเป็นควันและเปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นเป็นแนวตั้ง เกิดประกายแสงสว่างจ้าเฉกเช่นดวงอาทิตย์หมื่นดวง เป็นสารแห่งความตายที่มโหฬารยิ่งซึ่งทำให้นครทั้ง 3 ของ Vrishis และ Andhakas เหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน" ช่างเป็นอาวุธที่น่ากลัวจริงๆ เลย และยังพบอีกว่าลักษณะการต่อสู้ด้วยอาวุธชนิดนี้ไม่ใช่พบแต่เฉพาะชาวอินเดีย โบราณเท่านั้น ยังพบในอารยธรรมโบราณ อื่นๆ อีกด้วย ผลของอาวุธมหาประลัยที่ตามมาก็คือ ผู้คนล้มตายเพราะถูกเผาผลาญด้วยเพลิงบรรลัยกัลป์ ส่วนผู้ที่รอดตายก็จะมีอาการผมและเล็บหลุดร่วง เหมือนดังเช่นสงครามนิวเคลียร์ในสมัยนี้มิมีผิด. และในฉบับจารึกดั้งเดิมก็ได้กล่าวถึงการสร้างอาวุธชนิดนี้เอาไว้ด้วย พร้อมทั้งคู่มือและ วิธีการใช้อย่างละเอียดและกระชับ เอาละซิอะไรมันจะขนาดนั้น ชาวอินเดียโบราณนี่ไม่ธรรมดาเอาซะเลย มีเทคโนโลยีที่สูงถึงขนาดนี้ ว่ามั๊ยครับ :)

vimanas.jpg


จากต้นฉบับสันสกฤตของ Samarangana Sutradhara ยังได้จารึกไว้อีกว่า "วิมานะที่สร้างขึ้นนั้นจะมีความแข็งแกร่ง เบาเหมือนขนนกเวลาบิน และภายในมีเครื่องยนต์และอุปกรณ์ให้ความร้อนภายใต้ยาน โดยใช้หลักการขับเคลื่อนแบบลมหมุน ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางจนทำให้แรงดึงดูดถูกหักล้างไปเป็นศูนย์จนทำ ให้วิมานะนั้นลอยขึ้นมาได้ ก็เป็นหลักการคร่าวๆ ของ วิธี Anti-Gravitation" ซึ่งวิมานะนั้นก็จะสามารถลอยขึ้นลง เดินหน้าถอยหลังได้สะดวกดังใจของผู้ที่บังคับหรือควบคุมวิมานะอยู่ ใน Hakatha หรือ กฎหมายของชาวบาบิโลน (Laws of the Babylonians) ก็ได้มีบันทึกเกี่ยวกับความรู้และการบังคับยานพาหนะบางชนิดที่ลอยบนฟ้าได้ ซึ่งเค้าจารึกเอาไว้ว่าความรู้นี้เป็น "มรดกที่ตกทอดมาจากผู้ที่ลงมาจากท้องฟ้า " ?!?!?

จากการวิจัยและศึกษาของ D.hatcher Childress ที่ งานวิจัยของเค้าเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาดหรือ UFOs ซึ่งเค้ากล่าวสรุปเอาไว้ดังนี้ว่าอาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ต่างดาว , ความลับทางการทหาร , หรือจากชาวอินเดีบโบราณและชาวแอตแลนติส และได้กล่าวเอาไว้อีกว่า ต้นฉบับจารึกเหล่านี้น่าจะเป็นเรื่องราวที่ได้จารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์หรือเรื่องจริง และรายละเอียดของตัวอักษรหรือข้อความที่ได้จารึกเอาไว้นั้นน่ะไม่น่าจะผิด เพี้ยนไปมากนัก และเค้ายังกล่าวอีกว่า ยังมีจำนวนของต้นฉบับภาษาสันสฤตอีกมากที่ยังไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาษา อังกฤษ!!! เอาละซิครับ นี่ถ้าเกิดเค้าสามารถทำการแปลออกมาได้จนหมดแล้วละก็ :) เราก็คงจะได้รู้อะไรที่น่ามหัศจรรย์มากขึ้นกว่านี้ก็ได้

vimanaT.jpg


ทีนี้เรามาดูทางด้านกษัตริย์อินเดียพระองค์หนึ่งบ้างดีกว่าครับ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พระเจ้าอโศกมหาราช (Emperor Ashoka) นั่นเอง พระองค์ก็ทรงมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับวิมานะเหมือนกัน คือว่าพระเจ้าอโศกเนี่ยได้ก่อตั้ง Secret Society of Nine Unknown Men ขึ้นมาครับ ซึ่งพระเจ้าอโศกเนี่ย ก็ได้ดำเนินงานศึกษาเรื่องยานพาหนะเหล่านี้อย่างเป็นความลับกับนักวิทยา ศาสตร์ของพระองค์ เพราะกลัวว่าความรู้และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขนาดนั้นจะนำไปสู่สงครามได้ และนำความรู้ที่ได้บันทึกเก็บเป็นหนังสือเก้าเล่มที่ชื่อว่า The Nine Unknown Men โดยเนื้อหาในหนังสือเหล่านี้จะเกี่ยวกับ ความลับของแรงโน้มถ่วง The Secret of Gravitation และวิธีควบคุมแรงโน้มถ่วง Gravity Controll ตลอด ไปจนเรื่องราวของวิมานะ โดยตามจารึกแล้วหนังสือเหล่านี้อาจถูกซุกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในอินเดีย ถ้ำตามทะเลทราย อเมริกาเหนือ หรือบางทีอาจจะมีชาติมหาอำนาจค้นพบไปแล้วก็ได้ครับ ก็พอมีทางเป็นไปได้เหมือนกัน เอาละครับเรามาว่ากันต่อดีกว่าเรื่องพระเจ้าอโศก ก็ทรงทราบละครับว่าเจ้าเครื่องมือและ ยานพาหนะเหล่านี้ละ ที่เป็นเครื่องมือที่ใช้รบและทำลายล้างกันในยุคของอาณาจักรพระราม (Rama Empire) เมื่อหลายพันปีมาก่อนนี่แหละครับเป็นสาเหตุที่ทำให้พระเจ้าอโศกทรงเก็บวิทยา การเหล่านี้ไว้เป็นความลับ และนำไปซุกซ่อนเสียเพื่อที่จะไม่ให้ประวิติศาสตร์ซ้ำรอยนั่นเอง ซึ่งต่อมาจีนก็ได้ค้นพบนำจารึกเหล่านี้ไปทำการศึกษาและวิจัยอีกด้วยเหมือน กัน

มาว่ากันต่อถึงยุคของอาณาจักรของพระราม (Rama Empire) ซึ่งตามต้นฉบับภาษาสันสกฤตที่พบในทะเลทรายของประเทศปากีสถาน ทางเหนือและตะวันตกของอินเดียนั้นก็ระบุว่ามีอีกอาณาจักรหนึ่งที่มีความยิ่ง ใหญ่ไม่แพ้กัน ซ้ำยังมีเทคโนโลยีที่เจริญกว่าอินเดียโบราณเสียอีก อาณาจักรที่ว่านั้นคือชาวแอตแลนติส ?? (Atlantean) ซึ่งอาณาจักรนี้นั้นตั้งอยู่ที่ใจกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ปกครองโดยกษัตริย์ที่เรียกว่า Enlightened Priest-King ซึ่งภายหลังทั้งสองอาณาจักรก็ได้เกิดการสู้รบกันขึ้นนั่นเอง มาทางด้านเมืองทั้ง 7 ของอาณาจักรของพระราม (The Seven Greatest Capital Cities of Rama) หรือในภาษาฮินดูว่า The Seven Rishi Cities บรรดาประชาชนต่างก็มีวิมานะใช้กันครับ โดยที่ผู้ที่สร้างวิมานะนั้นก็ได้ทำคู่มือใช้งานไว้ให้พร้อมเสร็จสรรพ (แหม เหมือนรถยนต์สมัยนี้เลยเนาะ มี Manual แถมให้อีก อิอิ :P)

ซึ่งใน The Samara Sutradhra (อยากจะอ่านว่าสมร สูตรภัทร จัง อิอิ O_O)


ship_ancient_India.jpg


ผู้เขียนเค้าเชื่อครับว่ายานวิมานะเนี้ยมีอยู่จริงและพยายามค้นคว้าจากจารึก โบราณเกี่ยวกับโครงสร้าง (Construction) การนำวิมานะลอยขึ้น (Take off) การบินเป็นระยะทางไกลๆ เช่นการเดินทางข้ามเมืองหรือดวงดาว และการนำลงจอด (Landing) แม้แต่ศึกษาถึงเรื่องที่จะหลบเลี่ยงไม่ให้ชนกับบรรดานกทั้งหลายบนฟ้าว่าทำ ยังไง ต่อมาในปี ค.ศ.1875 ท่านนักปราชญ์ชาวอินเดียชื่อ Bharadvajy ไค้ค้นพบจารึกเก่าแก่ที่พบในโบถส์ของอินเดียและได้นำมาเขียนหนังสือซึ่ง เนื้อหากล่าวถึงการขับวิมานะเป็นระยะทางไกลๆ และข้อพึงระวังต่างๆ เช่น การป้องกันวิมานะจากพายุและสายฟ้า รวมไปถึงการเปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เป็นแหล่งพลังงานขับวิมานะซะอีก o_o อะไรจะล้ำหน้าขนาดน้านนนนพ่อคู้นนน !! ซึ่งหนังสือนั้นชื่อว่า Vaimanika Sastra มีด้วยกันทั้งหมด 8 บทพร้อมบรรยายรายละเอียดไว้อย่างดี เช่น วัสดุที่ใช้สร้างมี 16 ชนิด ทั้งยังอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องมือเบรคและยิงในเวลาเดียวกัน และอุปกรณ์ดูดซับความร้อนและแสง พร้อมทั้งเหตุผลต่างๆ ได้ถูกบรรยายทุกอย่างเอาไว้อย่างละเอียดครับ ซึ่งต่อมาก็ได้ถูกแปลไปเป็นภาษาอังกฤษที่เรียกว่า VYMAANIDASHAASTRA AERONAUTICS โดย Maharishi Bharaswaaja ในปี ค.ศ. 1979 นั่นเอง และทางด้านฮิตเลอร์ก็มีความสนใจในวิมานะเช่นกันครับ ในยุค 1930 กว่าๆ นั้นทางด้านนาซีก็ได้นำจารึกและความรู้จากบันทึกเหล่านี้ไปพัฒนาจนได้มาเป็น เครื่องยนต์ที่เรียกว่า V 8 Rocket "Buzz Bombs" นั่นเอง

vimaanika20shaastra.jpg

วิมานิกะ ศาสตรา อันลือลั่นครับ...


ในบทหนึ่งของมหาภารตะและรามายณะที่ชื่อ Dronaparva ได้ก็บรรยาลักษณะของวิมานะเอาไว้ว่ามีรูปร่างทรงกลมและมีความเร็วดุจดังลม ขับเคลื่อนโดยเชื้อเพลิงที่เป็นปรอท เคลื่อนที่ดุจ UFO ขึ้นลงได้ดังใจนึก และใน The Samar ที่เป็นอีกหนึ่งจารึกกล่าวว่า "เป็นเหล็กเนื้อเดียวกันอย่างดีและราบเรียบตลอดลำ" จากอีกหนึ่งบันทึกชื่อว่า Samaranganasutradhara ได้บรรยายถึงวิธีการสร้างวิมานะอีกด้วย ซึ่งทางด้านนักวิทยาศาสตร์ของรัสเซีย (โซเวียตในสมัยนั้น) ก็ได้ค้นพบ "บางสิ่ง" เหมือนกันครับในถ้ำของทะเลทรายโกบี เค้าเรียกว่า "Ageold Instruments used in navigating cosmic vehicles" เจ้าอุปกรณ์นี้มีลักษะเป็นแก้วหรือพอร์ซเลนครึ่งซีก (Porcelain = Ceramics ที่มีลักษณะขาวและแข็งแรงมาก) ตรงปลายเป็นทรงกรวยและมีปรอทอยู่ภายใน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์รัสเซียเค้าได้สันนิษฐานกันไว้ครับว่า มันอาจจะเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์นำร่องและนำทางของวิมานะก็เป็นได้ โอย มันเป็นอะไรที่งงมากครับสำหรับวิทยาการอินเดียสมัยก่อน ช่างล้ำหน้าเสียนี่ กระไร อย่ารอช้าครับมาดูกันต่อว่ายังมีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจของวิมานะอีกกันเลย ดีกว่าครับ

vimana20Rekonstruktion.jpg


ในจารึกของ Mohenjodaro ที่พบในปากีสถานนั้นก็กล่าวถึงการบินของวิมานะว่าบินกันไปตลอดทั่วเอเชีย แอตแลนติส หรืออเมริกาใต้ไปจนถึงเกาะอีสเตอร์ (Easter Island) ก็ยังปรากฎอยู่ว่ามีโดยจากจารึกของเกาะอีสเตอร์ที่เรียกว่า Rongo เค้าว่าเอาไว้ครับว่าเกาะอีสเตอร์เป็นท่าอากาศยานของอาณาจักรพระรามอีกด้วย ยัง……ยังไม่พอครับ ใน Mohenjodaro ได้บรรยายอีกว่า ณ โดมของวิมานะทางเดินผู้โดยสาร ก็มีเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้งกล่าวประกาศขึ้นมาว่า ATTENSION PLEASE !! เอ๊ย ม่ายช่าย อิอิ "rama flight number seven for Bali, Easter Island, Nazka, and Atlantis is now ready for boarding. Passengers please proceed to gate number….หรือ สายการบินพระรามเที่ยวที่หมายเลข 7 ที่จะไปบาหลี ? เกาะอีสเตอร์ นาซก้า และแอตแลนติส ตอนนี้พร้อมแล้วค่ะ เชิญท่านผู้โดยสารเดินไปที่ประตูได้เลยค่ะ" อารัยประมาณนี้อ่ะครับ :P ข้อความนี้เค้าแปลมาจาก Rongo จารึกที่พบบนเกาะอีสเตอร์ ดูเอาเถอะครับว่ามันช่างน่าอัศจรรย์ใจดีแท้ !!! ทางด้านทิเบตก็ไม่ธรรมดาครับมีจารึกกะเค้าอีกเหมือนกัน "Bhima flew along in his car, resplendent as the sun and loud as thunder….the flying chariot shone like a flame in the night sky of summer..it swept by like a comet..it was as if two sun were shining. Then the chariot rose up and all heaven brightened" ก็บรรยายถึงลักษณะของพาหนะบินได้ที่ส่องสว่างดุจดวงอาทิตย์และเสียงดังราวฟ้าผ่า บินดุจดั่งดาวหาง

ใน Mahavira of Bhavavhuti (มหาวีระของภวภูติ แหง อิอิ :P) ก็ยังมีจารึกกะเค้าอีกเหมือนกัน (อ่า เบื่อจารึกกันหรือยังอ่ะเนี้ย อิอิ :P~~) มีอายุราว 8,000 ปี หลังจากทำการแปลแล้วได้ความตามนี้ขะรับ เค้ากล่าวไว้ว่ามีการบรรทุกคนจำนวนนึงไปยังอโยธยาด้วยพาหนะที่บินได้ และบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยพาหนะเช่นนี้ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ กลางคืนสว่างดุจกลางวันด้วยแสงเหลืองนวลพราวท้องฟ้า เหมือนเป็นการอพยพผู้คนด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างนึง ทีนี้ลองมาดูกลอนฮินดูโบราณดูบ้าง (เค้าว่าเก่าแก่กว่าของอินเดียทั้งหมดซะอีก) ที่ชื่อว่า Vedas ที่บรรยายถึงวิมานะในรูปร่างต่างๆ กัน เช่น Ahnihotra Vimana มี เครื่องยนต์ 2 ตัว แต่ Elephant Vimana มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น (มีวิมานะช้างด้วยเรอะ โอ้ โนว์ !! -_- ) และวิมานะชนิดอื่นก็ตั้งตามชื่อสัตว์ต่างๆ กันไปเช่น วิมานะนกกระเต็น Kingfisher Vimana หรือ วิมานะนกช้อน Ibis Vimana อื้ม จากจารึกนี้วิมานะชื่อไม่เหมือนทางอินเดียเลย วิมานะจากจารึกของฮินดูน่าจะมีหลากหลายชนิดกว่า หรือมีหลายผู้ผลิตน้า แบบรถยนต์สมัยเนี้ยอ่ะ อิอิ :P


shakuna_Vimana.jpg


แต่ก็เป็นที่น่าเสียครับว่าท้ายที่สุดวิมานะก็ถูกนำมาใช้ในการสงคราม ชาว Atlantean หรือ Asvin ที่ชอบการศึกสงครามเป็นอย่างยิ่ง และความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่สูงเจริญกว่า มียานบินที่เรียกว่า Vailixi มี รูปร่างคล้ายซิการ์ สามารถที่จะแล่นไปยังใต้น้ำได้ดุจดังแล่นบนท้องฟ้า หรือแม้กระทั่งอวกาศ เข้าสู้รบกับทางด้านอินเดียโบราณที่มี Vimana เป็นอาวุธและมีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่ด้อยกว่า จะไปเหลืออะไรละครับแบบนี้ อ้อ จากบันทึกของ Eklal Kueshana ได้เขียนหนังสือเรื่อง The Ultimate Frontier ใน ปี 1966 มีตอนนึงกล่าวว่า Vailixi ถูกสร้างและพัฒนาเมื่อ 20,000 ปีมาแล้วในแอตแลนติส โดยลักษณะหน้าตัดเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูพร้อมด้วยเครื่องยนต์ 3 ตัวข้างใต้ พวกเขาได้ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าอุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้มถ่วงเป็นตัวขับโดยมี แรงม้าประมาณ 80,000 แรงม้า" ครับไม่ผิดหรอก 80,000 นั่นละ มหาศาลมาก ในมหาภารตะและรามายณะก็กล่าวถึงสงครามระหว่างพระรามและแอตแลนติส โดยใช้อาวุธเข้าทำลายล้างกันเมื่อประมาณ 10,000 - 12,000 ปีก่อนเอาไว้ด้วย ก็เป็นที่แน่นอนละครับว่างสงครามที่เกิดขึ้นนั้นหนักหนาสาหัสมาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธมหาประลัยทำลายล้างด้วยกันทั้งสองฝ่าย จนกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ บางจารึกก็กล่าวว่าสมรภูมิรบบางทีก็เป็นบนดวงจันทร์ !!! เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่มีสาเหตุมาจากอาวุธนิวเคลียร์ แต่ภายหลังก็จบลงด้วยความพินาศของทั้งสองฝ่าย

ต่อมานักโบราณคดีได้พบกับโครงกระดูกมากมายนอนเรียงรายอยู่ตามถนน บ้างก็กุมมือกันไว้เหมือนกับว่าโดนหายนะมาเยือนโดยฉับพลันหรือไม่ก็รู้ว่า หนีไม่พ้น ทั้งยังพบรังสีมากมายในโครงกระดูกนี้ และสถานที่รอบๆ กำแพงเมืองหินหลอมเป็นเนื้อเดียวกันดั่งโดนความร้อนที่สูงมากอย่างนั้นละ ไม่ใช่พบแต่ในอินเดียเท่านั้น ไอร์แลนด์ สก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส ตุรกี ก็ยังพบปรากฏการณ์ที่ว่านี้อีกด้วย ไม่เท่านั้นน่ะซิครับ เค้ายังพบอีกว่าผังเมืองที่ว่าได้ถูกวางเอาไว้อย่างดี ระบบประปาก็ดีเหมือนดังที่ใช้กันในปัจจับนในอินเดียและปากีสถาน และเค้ายังสำรวจต่อไปอีกและพบเศษแก้วจับตัวกันเป็นก้อนดำๆ ซึ่งจากการนำไปวิเคราะห์ก็พบว่ามันเป็นเศษหม้อดินเหนียวที่ถูกความร้อนสูง เผาจนกลายเป็นลักษณะดังกล่าว ซึ่งที่แอตแลนสิสจมลงและการหายไปของอาณาจักรพระรามของอินเดียโบราณก็เพราะ สงครามครั้งนี้นั่นเอง จากนั้นโลกก็กลับกลายมาเป็นยุคหินอีกครั้งนึง และประวัติศาสตร์โฉมใหม่ของมนุษย์ชาติก็เกิดขึ้นมาอีกราว 2,000-3,000 ปีต่อมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวของวิมานะจะหายไปเสียหมด ก็ยังปรากฎอยู่ในหน้าประวัติของพระเจ้าอโศกดังที่กล่าวไปแล้วตอนต้น มีเรื่องราวแถมตอนท้ายอีกหน่อยครับเกี่ยวพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ กรีฑาไพร่พลไปเข้ายังอินเดียเมื่อ 2,000 ปีล่วงมาแล้ว ก็เจอเข้า "flying saucer" มาลอยอยู่เหนือกองทัพ แต่เจ้าสิ่งนั้นก็มิได้ปล่อยลำแสงหรืออาวุธอันใดออกมาทำร้ายยังกองทัพของพระ เจ้าอเล็กซานเดอร์แต่อย่างใด และเป็นคาดกันว่า Vimana หรือ Vailixi อาจจะถูกซุกซ่อนอยู่ตามถ้ำในทิเบตหรือเอเชียตอนกลาง และทางตะวันตกของจีนก็เป็นได้

vimana-the-game.jpg


เป็นเกมส์ด้วยนะครับ เล่นกันยังเอ่ย?


นอกจากนั้นจากบนจารึกใบปาล์มยังแสดงถึงโลหะผสมที่ไม่ทราบชนิดซึ่งบ้างก็ จารึก เรื่องราวและรายละเอียดของดวงดาวต่างๆ แสง สี ความร้อนและสนามแม่เหล็ก วิธีสร้างเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สามารถดูดแสงสุริยะแล้วนำมาวิเคราะห์และ แปลงเป็นพลังงาน และยังรวมไปถึงการขนส่งผู้คนที่อยู่ห่างไกลและข้อความด้วยเคเบิล และยังผลิตเครื่องมือหรือเครื่องจักรที่สามารถส่งผู้คนไปยังดวงดาวต่างๆ ได้

ก็เป็นที่น่าเสียว่าปัจจุบันวิทยาการต่างๆ เหล่านี้แทบจะไม่หลงเหลือมายังยุคปัจจุบันเท่าไหร่ จะมีก็เพียงแต่จารึกโบราณที่บ่งบอกความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของ อารยธรรมสมัยก่อน แล้วก็ล่มสลายลงไป แล้วเราละจะเดินตามรอยเหล่าบรรพบุรุษของหรือไม่ อันนี้ก็สุดที่จะหยั่งรู้ได้ครับ สำหรับอนาคตในวันข้างหน้า


 ที่มา : http://www.mythland.org/v3/thread-74-1-1.html
 http://www.mythland.org/v3/thread-75-1-1.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น