วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

พระเจ้าจากอวกาศ

ในบรรดานักเขียนฝรั่งเจ้าของทฤษฎีพิลึกพิลั่น ที่เรารู้จักกัน ในนามของทฤษฎี พระเจ้าจากอวกาศนี้ เห็นจะไม่มีใครโด่งดังเกิน Erich Von Daniken ไปได้ครับ ดานิเก้น เริ่มสั่งสมชื่อเสียงโดยการเขียนหนังสือเรื่อง Chariots of the Gods ซึ่งขายดิบขายดีกว่า 40 ล้านเล่มทั่วโลก ทฤษฎีของเขามีอยู่ว่า โลกของเรา ได้รับการมาเยี่ยมเยือน จากอาคันตุกะต่างพิภพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่มนุษย์เรา ได้เริ่มสั่งสมอารยธรรม และก่อร่างสร้างสังคมขึ้นมานั้น สิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกจำนวนไม่น้อย ได้คอยหนุนอยู่เบื้องหลังวิวัฒนาการของมนุษย์ ระยะเวลาที่ว่า ก็ประมาณ 40,000 กว่าปีลงมานี่แหละครับ

ข้อเสนอของดานิเก้นใช่จะเหลวไหลไปซะหมด เขาชี้ให้เห็นอย่างน่าฟังว่า ระหว่างที่สิ่งทรงภูมิปัญญาเหล่านั้นมาเยือน พวกเขาได้สร้างมหาปิระมิด สร้างสนามบินและถนนสำหรับคมนาคมเล็กๆในเปรู (อ่านรายละเอียดในเรื่องอารยธรรมอินคานะ ครับ) แม้กระทั่งการเข้ามา "จัดการ" กับวิวัฒนาการบางส่วนของมนุษย์วานร เพื่อให้กลายเป็นโมเดิร์น แมน หรือ Homo sapiens อย่างที่พวกเราเป็นๆกันอยู่

ดานิเก้นยังแจงต่อไปว่า ตำนาน และจารึกในบรรดาชนชาติที่เจริญแล้วในอดีต ล้วนกล่าวถึงพระเจ้าที่ทรงพาหนะบินไปมาในอากาศ ตำนานที่เขาอ้างมา ล้วนกล่าวถึงยานพาหนะเหล่านั้นแบบค่อนข้างมีหลักการ ไม่ได้อิงไปทางอภินิหารแบบลอยๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ ในมหากาพย์เรื่องมหารภารตะของอินเดีย มีการกล่าวถึงอากาศยานของเหล่าเทพ ชื่อเรียกของมันคือวิมานะครับ เจ้า "วิมานะ" นี้สามารถขับเคลื่อนไปมาในอากาศ โดยอาศัยโครงสร้างที่ทำจากโลหะผสมเบาบาง ขับเคลื่อนได้ด้วยพลังงานความร้อน ดูเอาเถิดครับ บันทึกของชาวภารตะเมื่อหลายพันปีก่อน ช่างดูทันสมัยเสียจริงๆ





ทฤษฎีของดานิเก้นยังอ้างถึงมหาปิระมิดแห่งอียิปต์ เขากล่าวว่า ชาวไอยคุปต์โบราณ ไม่มีทางสร้างปิระมิดได้หากปราศจากเทคโนโลยีจากต่างดาวเข้ามาช่วย รายละเอียดเหล่านี้ยังครอบคลุมถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างจักรวาล - เลขฐานสิบ - และโครงสร้างของมหาปิระมิด รวมทั้งลายเส้น และสนามบินของอารยธรรมนาซก้าใน เปรู ลายเส้นเหล่านี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากทางอากาศเท่านั้น ชาวนาซก้าโบราณจะทำไปทำไมล่ะครับ ในเมื่อหลายพันปีที่แล้ว พวกเขาไม่มีเครื่องบินใช้กันสักหน่อย

นอกจากดานิเก้น ยังมีนักเขียนอีกหลายคนที่เชื่อในแนวเดียวกับเขาครับ บางคนเจาะเข้าไปในคัมภีร์โบราณ เช่น ไบเบิล พระเวทย์ ตลอดจนจารึกดินเหนียวของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย รายละเอียดที่ได้มา ส่วนหนึ่งเกิดจากการตีความ เนื่องจากภาษาและศัพท์ที่ใช้โบราณเอามากๆ จะเรียกว่าสำนวนหนักไปทางลิเกก็ไม่ผิดนัก แต่ก็ได้เรื่องครับ มีรายละเอียดน่าตกใจมากมายซ่อนอยู่ในข้อมูลของบรรพชนเรา น่าเสียดาย ที่สำเนาฉบับหลังเกิดการเสริมแต่งเข้าไปมาก บางทีก็เกิดการคลาดเคลื่อนกันขึ้นเนื่องจากการแปล ก็ชาวตะวันตกนี่แหละครับตัวดี เนื้อหาจากภาษา ฮิตไทต์ ฮีบรูว์ สุเมเรียน และ คอปติค โดนแปลเพี้ยนๆไปเกือบหมด มีการเสริมแต่งอภินิหารทำนองว่าใส่สีใส่ไข่เข้าไป ทำให้ข้อเท็จจริงที่น่าจะได้ตกหล่นไปไม่น้อย (หากมีเวลาจะเอามาเล่าให้ฟังครับ)

ถึงอย่างนั้นข้อมูลที่ได้จากการถอดรหัสก็ยังคงความอภินิหารอยู่ แต่เป็นอภินิหารของ "พระเจ้า" จากอวกาศครับ มีทั้งการผ่าตัด การทำโคลนนิ่ง และดัดแปลง DNA ของมนุษย์ นักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยก็แย้งว่า เรื่องพวกนี้มันแค่ตำนาน แถมยังตีความมาจากภาษาโบราณอีก จะเอาอะไรมาอ้างอิงได้?



ค๊าบๆ ครับ… ถ้านักวิชาการฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยว่าอย่างนั้น มันก็มีเหตุผลของเขา แต่ลองดูนี่สิครับ ดูความรู้ทางดาราศาสตร์ของคนโบราณ ดูว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงรู้ว่าดาวเคราห์ในระบบสุริยะมี สิบดวง ทำไมชาวซากอนในอาฟริการู้จักดาวซิริอุสที่ห่างออกไปไม่รู้กี่ปีแสง แถมยังคำนวณวงโคจรของมันได้อีกแน่ะ เอาอีกซักนิดมั๊ยครับ ไอ้โครงสร้างเรื่องอะตอมที่เราเรียนมาในวิชาเคมีน่ะ สำนักตักศิลาในอินเดียเค้าศึกษากันมานับพันๆปีแล้ว แถมวาดโครงสร้างอะตอมออกมาถูกอีกแน่ะ (ทีแรกนักโบราณคดี นึกว่าเป็นภาพดาราจักรในความเชื่อทางศาสนาครับ พอพิจารณาดีๆถึงกับร้อง- จ๊าก - เพราะมีนิวเคลียส โปรตอน อิเล็คตรอน และ อนุภาคอื่นๆอีกครบครัน) ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของคนโบราณเหล่านี้ ไม่ทำให้เราๆท่านๆสงสัยกันหรือครับ ว่าออกจะเกินเหตุไปสักหน่อย อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่มี ดันรู้ดีไปซะหมด แปลกดีไหมล่ะ?

สรุปว่า ด้วยคุณูปการทั้งปวง ที่ผู้มาเยือนจากอวกาศมีให้ชาวพื้นเมือง จึงทำให้พวกเขาเกิดศรัทธา และยกย่องอาคันตุกะเหล่านั้นเป็นพระเจ้าไป

ดานิเก้นได้ใช้เวลาส่วนหนึ่ง ไปสำรวจดินแดนในทวีปอเมริกาใต้ และที่นั่น เขาได้พบกับขุมทรัพย์มหาศาลที่เรียกกันว่า "ขุมทองของพระเจ้า" เข้าเต็มเปาเลยครับ

ที่สาธารณรัฐเอควาดอร์ เขาพบนักวิชาการคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ค้นพบอุโมงค์ใต้ดิน ขุดเจาะอย่างดีเยี่ยมเป็นทางลึกทอดลงไปใต้ภูเขา นำไปสู่สมบัติมีค่า ซึ่งชาวพื้นเมืองโบราณซุกซ่อนเอาไว้ สมบัตินั้นล้วนเต็มไปด้วยทอง ซึ่งกองอยู่ก้นลึกสุดของอุโมงค์ รอคอยให้นักโบราณคดี และนักวิชาการผู้มีความสามารถ ไปขุดเอามาจากใต้ภูเขา ทว่า สิ่งที่ดานิเก้นแปลกใจอย่างยิ่ง หาใช่สมบัติโบราณของพระเจ้าที่กองจมอยู่ หากแต่เป็นฝีมือการขุดเจาะอุโมงค์ของคนโบราณต่างหากครับ

อุโมงค์ลึกลับนี้อยู่ในจังหวัดโมโรน่า-ซานติดา-โก ของเอควาดอร์ เป็นที่อยู่ของชาวอินเดียนแดงดุร้ายสอง - สามเผ่า ซึ่งอาสัยอยู่บริเวณที่เป็นปากทางเข้า ตัวอุโมงค์อยู่ลึกจากพื้นดินถึง 250 ฟุต ต้องใต่เชือกลงไปอย่างทุลักทุเล เมื่อถึงพื้นอุโมงค์ สิ่งที่อยู่รอบด้านทำให้ดานิเก้นถึงกับอ้าปากเลยครับ ดานิเก้นเล่าประสบการณ์เรื่องนี้ ไว้ในหนังสือชื่อ "ทองของพระเจ้า" ว่า กำแพงทุกด้านเรียบเกลี้ยง แถมยังถูกขัดเกลาไว้อย่างดีด้วยกรรมวิธีทางวิศวกรรม ที่ปัจจุบันเราใช้ในการสร้างทางรถใต้ดินตามเมืองใหญ่ๆของโลก เพดานถ้ำก็เรียบสนิท บางแห่งเป็นมันเลื่อมเหมือนถูกเคลือบไว้อย่างดี นึกแล้วก็ตลก ที่จะได้เห็นนักโบราณคดีอ้อมแอ้มบอกว่า ลักษณะการขุดอุโมงค์โบราณนี้ คนโบราณขุดได้โดยใช้เครื่องมือเพียงขวานแบบโบราณเท่านั้น เพราะจากที่เห็น น่าจะเป็นอุโมงค์ที่วิศวกรในศตวรรษที่ 20 ใช้เทคนิคทางวิศวกรรมขุดขึ้นมาด้วยความยากลำบากมากกว่า แต่ความจริงนั้น อุโมงค์นี้ เกิดขึ้นมากี่พันปีแล้วก็ยากจะบอกได้







เป็นที่น่าเสียดายว่า เพราะปัญหาทางการเมือง ทำให้รัฐบาลเอควาดอร์ ไม่ได้สนใจอุโมงค์นี้อย่างจริงจัง จึงทำให้อุโมงค์มหัศจรรย์นี้ถูกทอดทิ้งอยู่อย่างนั้น โดยปราศจากความเหลียวแลจากนักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์อย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีใครตอบได้ว่า มนุษย์โบราณในดินแดนอเมริกาใต้แถบนี้ขุดอุโมงค์ขึ้นมาทำไม และที่สำคัญ พวกเขาใช้เครื่องไม้เครื่องมืออะไรขุดเจาะ ถึงได้อุโมงค์ลักษณะทันสมัยขนาดนั้น ยังไม่เท่านั้นสิครับ สิ่งที่ดานิเก้นและเพื่อนชาวอเมริกาใต้ได้พบจากอุโมงค์นี้ ยังมีมหัศจรรย์หนักขึ้นไปอีก แถมยังยืนยันทฤษฎีที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนด้วย

ผู้ค้นพบอุโมงค์เป็นคนแรก ได้พบเครื่องรางหินสลักเล็กๆชิ้นหนึ่ง ดูจากอายุหินพบว่า หินนี้มีอายุเก่าแก่รุ่นราวคราวเดียวกับตัวอุโมงค์ คืออยู่ในยุคเลโอธิลิคตอนกลาง ก็ 9,000 - 4,000 BC น่ะแหละครับ บนเครื่องรางสลักเป็นรูปมนุษย์อย่างหยาบๆ ในมือหนึ่งถือพระอาทิตย์ และอีกมือหนึ่งถือพระจันทร์ ซึ่งพอจะเดาความหมายได้ว่า มนุษย์นั้นคงเป็นพระเจ้าแห่งจักรวาล อะไรก็น่าประหลาดใจเท่ามนุษย์นั้นยืนอยู่บนลูกโลกครับ อ๋อ… ใช่ ไม่ผิดหรอกครับ ยืนอยู่บนลูกโลก!!!

เป็นไงครับ พอจะมองความแปลกประหลาดออกกันบ้างไหม? มนุษย์ในยุคพาเลโอลิธิคอันเก๋ากึ๊ก รู้ได้อย่างไรว่าโลกกลม แถมยังมีเส้นรุ้งเส้นแวงเสียด้วยนะ เหอะ เหอะ ทั้งที่ในสมัยศตวรรษที่ 15 คนทั่วไปยังพากันเชื่ออยู่เลยว่าโลกแบนเหมือนกล้วยปิ้ง ในผนังของถ้ำนี้มีรูปเขียนอยู่มากมาย มีอยู่รูปนึงครับที่ประหลาดออกสักหน่อย เป็นรูปวาดของไดโนเสาร์แฮะ ฝีมือในการวาดค่อนข้างประณีตกว่าภาพอื่นๆภายในถ้ำ ไดโนเสาร์เนี่ย แม้แต่เด็กอนุบาลก็ยังรู้ดีว่า มันสูญพันธ์ไปจากโลกนี้เมื่อล้านกว่าปีก่อน ที่เรามาศึกษากันเรื่องนี้อย่างจริงจังก็แค่ไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง แล้วมนุษย์ถ้ำโบราณพวกนี้ ทำไมจึงรู้จักและวาดไดโนเสาร์ออกมาได้ล่ะครับ? หรือว่าเห็นซากกระดูกแล้ววาดออกมา ผมว่าไม่มีทางหรอก






ที่เอควาดอร์นี้เอง ที่ดานิเก้นได้พบทองของพระเจ้าอีกแห่งหนึ่งในพิพิธภัณฑ์เครสบี้ ซึ่งอยู่ในวัด มาเรียอ๊อกซิเลยเดอรอแห่งเมืองคูเอนซ่า บาทหลวงเครสบี้แห่งวัดนี้ได้อวดเครื่องทองโบราณ ซึ่งท่านได้ค้นพบในอุโมงค์หลายๆแห่งของอเมริกาใต้ เช่น แผ่นทองสลักเป็นสัญลักษณ์ของสุริยจักรวาล แผ่นทองแดงสลักรูปพระเจ้าแห่งดวงดาว โดยพระเจ้าในรูปมีนิ้วมือสี่นิ้ว ตรงกับตำนานอินคาโบราณ ที่ว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเทวีออริยาน่า เทวีจากดวงดาวอันแสนไกล นางมีนิ้วมือเพียงสี่นิ้วเหมือนกันครับ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ชาวอินคาโบราณและชาวเอควาดอร์ในขณะนั้น ต่างก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน และพระเจ้านั้นมาจากอวกาศครับ สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าทองจากพิพิธภัณฑ์นี้ คือเศษหินสลักอักขระโบราณที่ยังไม่มีใครอ่านออก เพราะตัวอักษรดูแปลกประหลาดไม่มีเค้าว่า จะถอดแบบมาจาก - หรือ - พัฒนาไปเป็นตัวอักษรของชนชาติใดในโลกเลย นักภาษาศาสตร์และนักนิรุกติศาสตร์ที่ได้ดูต่างก็ส่ายหัวดิกครับ ไม่มีใครอ่านออกซักคน จะเป็นไปได้ไหมครับว่านี่เป็นภาษาต่างดาวของชนชาวโลกอื่น ที่จารึกบอกเรื่องราวอะไรบางอย่างเอาไว้ คงต้องรอจนกว่าจะมีใครอ่านอักขระนี้ออกแหละครับ เรื่องราวจึงจะคลี่คลายออกมาได้

โรแบร์ต ชาร์รูซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งพยายามจะพิสูจน์ว่า โลกนี้เคยได้รับการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตต่างพิภพมาแล้ว โดยเฉพาะบริเวณของอาณาจักรอินคา ดูจะมีประจักษ์พยานเก่าแก่อยู่มาก ล้วนแต่เป็นเครื่องทองที่ทำด้วยฝีมือประณีตงดงาม ดูรุปนี้สิครับ ท่านคิดว่าเป็นรูปอะไร รูปนี้เป็นรูปที่ค้นพบตั้งแต่สมัยก่อนอารยธรรมอินคาเสียอีก นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เป็นรูปนกบ้าง ผีเสื้อบ้าง ปลาบ้าง จนกระทั่งในยุคหลังนี้เอง ที่นักโบราณคดีบางท่านได้เสนอว่า มันน่าจะเป็นรูปเครื่องบินเจ็ท เพราะองค์ประกอบและโครงสร้างของมัน คือเครื่องบินปีกสามเหลี่ยมดีๆนี่เอง แต่ในเมื่ออายุของมันมีตั้งหลายพันปีมาแล้ว จะให้เข้าใจว่าอย่างไรเล่าตรับ นอกเสียจากว่า ผู้สร้างรูปในสมัยนั้นต้องเคยเห็นเครื่องบิน หรืออากาศยานที่คล้ายกันนี้ จึงสามารถจำลองแบบออกมาได้อย่างเนียบเนียนและเหมือนเด๊ะ…

หลักฐานที่มีอีกอย่างหนึ่งก็คือมัมมี่ครับ นอกจากอียิปต์แล้ว อินคาก็เป็นอีกชนชาติหนึ่งเหมือนกัน ที่นิยมนำศพคนตายมาทำเป็นมัมมี่เก็บเอาไว้ในสุสาน มัมมี่ของอินคามีสภาพดีไม่แพ้มัมมี่อียิปต์เลยครับ แถมยังเป็นมัมมี่น้ำแข็งเสียด้วย (เป็นข่าวเกรียวกราวกันเมื่อไม่นานมานี้ครับ สำหรับการทำ Cold Sleep ไสตล์อินคา ว่างๆจะแกะมาให้อ่านกัน) มัมมี่หลายตัวมีสภาพดีหลงเหลือมาให้นักวิชาการสมัยใหม่ศึกษากัน วึ่งยิ่งศึกษาก็ยิ่งสงสัย ว่าทำไมการแพทย์ของชาวอินคาจึงสูงส่งถึงขนาดนี้

ก็ในบรรดามัมมี่ที่นำมาศึกษากันน่ะ มีอยู่สองซากครับที่ใส่ฟันปลอม ใส่ฟันปลอม? วิชาทันตกรรมของชาวอินคาโบราณก้าวหน้าจนถึงขนาดใส่ฟันปลอมให้คนไข้ได้เหรอ ครับ?

กำแพงเมืองของชาวอินคาก็เช่นกัน มันช่างใหญ่โตมโหฬารเกินไป เหลือเชื่อว่ามนุษย์โบราณ จะมีเรี่ยวแรงยกหินก้อนใหญ่ๆขึ้นสร้างได้ถึงเพียงนี้ แถมสถานที่ก็ตั้งอยู่บนภูเขาสูงชัน ชาวอินคาแบกก้อนหินขึ้นไปสร้างได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีร่องรอยว่า หินเหล่านั้นสกัดมาจากภูเขาในบริเวณใกล้เคียง เท่านั้นยังไม่พอ ตามกำแพงยังมีตัวอย่างมนุษย์เผ่าพันธ์ต่างๆของโลก เช่น หน้ามนุษย์คอเคเซี่ยน นิโกร และเซมิติคส์ ประดับอยู่ตามกำแพงอย่างครบครัน คนโบราณอย่างอินคาทราบได้อย่างไรครับ ว่ามนุษย์จำแนกออกเป็นเผ่าพันธ์ต่างๆ และมีลักษณะหน้าตาดังที่สลักอยู่ในกำแพง



มาถึงตรงนี้ชักจะเชื่อตามตำนานของชาวอินคาแล้วว่า พระเจ้าของพวกเขา เสด็จลงมาจากดาวอันไกลโพ้น และสั่งสอนศิลปวิทยาการแก่ชาวอินคา พูดถึงเรื่องตำนานแล้วท่านสังเกตไหมครับว่า ตำนานการกำเนิดของชนชาติใหญ่ๆในโลกจะคล้ายๆกันทั้งสิ้น คือมีการกล่าวถึงพระเจ้าผู้ "ทรงพาหนะ" มาจากดวงดาว ทรงสร้างเผ่าพันธ์มนุษย์ สั่งสอนศิลปวิทยาการ ปกครองมนุษย์อยู่ชั่วระยะหนึ่ง และสัญญาว่าสักวัน พระเจ้าจะ"กลับมา"เยี่ยมเยือนมนุษย์อีก ตัวอย่างง่ายๆเช่นพระเจ้าของชาวยิว ออริยาน่าของอินคา คุคูลกันของมายา โอสิริสของอียิปต์ แม้แต่เทวะของพราหมณ์ก็ยังจัดอยู่ในข่ายเดียวกันเลยครับ

พูดถึงตำนานโบราณแล้ว ไม่มีอะไรจะน่าทึ่งไปกว่าตำนานของชนชาติสุเมเรี่ยนโบราณ เพราะแม้แต่คัมภีร์ไบเบิลก็ยังได้เค้าโครงมาจากสุเมเรียนไม่น้อย เพราะโมเสสเคยอยู่ในราชสำนักอียิปต์มาก่อน อย่างน้อยๆเขาก็ต้องเคยศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ซึ่งเจริญควบคู่กับอียิปต์มาบ้างแหละครับ

ผ่านจากอเมริกาใต้และตะวันออกกลางมาแล้ว เดี๋ยวตอนหน้าผมจะพาท่านแวะไปที่แอฟริกา ดูว่าที่นั่นมีร่องรอยของอารยธรรมโบราณ รวมทั้งตำนานจากต่างดาวอยู่บ้างหรือเปล่า คอยติดตามกันนะครับ


เอาล่ะครับ มาต่อกันเสียทีสำหรับเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศ สำหรับท่านที่เพิ่งติดตามเรื่องนี้ อาจจะรู้สึกว่ายกเอาแต่เรื่องเก่าโบร่ำโบราณขึ้นมาเล่า ความมันส์มันอยู่ตรงความโบราณนี่แหละครับ เพราะยิ่งเก่าเท่าไหร่ เราก็ยิ่งแน่ใจได้ว่า มนุษย์โลกเรา เคยติดต่อพบปะกับมนุษย์ต่างดาวจากโพ้นอวกาศมานานแสนนานแล้ว ในภาคที่สองของซีรี่ส์พระเจ้าจากอวกาศ ผมขออนุญาตพาทุกท่านหลบจากมายา - อินคา ในอเมริกาใต้ ไปสู่ความร้อนระอุของทะเลทรายในแอฟริกา คนพื้นเมืองโบราณของที่นี่เป็นเพียงกลุ่มชนเล็กๆ ยังชีพด้วยการหาของป่าล่าสัตว์ ไม่ได้มีอาณาจักรใหญ่โตเหลือเชื่ออย่างชาวอินคา กระนั้น หลักฐานที่จะนำมาเล่าให้ท่านฟังในวันนี้ ก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีครับ ว่าชาวแอฟริกันก็เคยติดต่อกับพระเจ้าจากอวกาศมาก่อนเช่นกัน เอาล่ะครับทาครีมกันแดด แล้วก็โดดเกาะท้ายรถนายโซนิคไปแอฟริกากันเลย






ในประเทศมาลี แอฟริกาตะวันตก มีชนเผ่าโบราณกลุ่มเล็กๆที่ชื่อว่าชาวโดกอน เผ่านี้ก็เหมือนพวกปิ๊กมี่ครับ ทำมาหากินแบบยังชีพ ไม่ได้มีอะไรวิลิศมาหราแม้แต่น้อย เรื่องน่าอัศจรรย์ใจของชาวโดกอนก็คือ พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์เป็นเยี่ยมมากครับ พวกเขาศึกษาดาราศาสตร์มานานมากกว่า 5000 ปีแล้ว มีตำนานโบราณ บทหนึ่งของชาวโดกอนที่กล่าวถึงดาวซีริอุสครับ ตำนานที่เก่าแก่นับพันๆปีนี้สร้างความฉงนฉงายแก่นักดาราศาสตร์ไม่น้อยเลยที เดียว ตำนานกล่าวถึงดาวฝาแฝดของดาวซีริอุสซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าของมนุษย์ (แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไร ประหลาดไหม) ดาวดวงนี้โคจรเป็นวงรีรอบดาวซีริอุสที่เรารู้จักกันดี วงโคจรรอบหนึ่งกินเวลา 50 ปีของโลกมนุษย์ แน่ะ รู้ถึงขนาดนั้นเชียว คนป่าพวกนี้…

ตำนานนี้คงจะวนเวียนเล่าขานกันเฉพาะในหมู่ชนเผ่าโดกอน หากไม่เพราะนักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสสองคน คือ Marcel Griaule และ Germain Dieterlen ได้ จดบันทึกเรื่องราวจากนักบวชชาวโดกอน แล้วนำมาเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบในปี 1930 มาถึงตรงนี้ท่านคงจะรึกสึกทึ่งเล็กๆกับความรู้ของคนป่าพวกนี้แล้วสินะครับ ก็จะไม่ให้ทึ่งได้อย่างไรล่ะเออ ในเมื่อพวกเขารู้จักดาวดวงนี้มานับพันๆปี ทั้งที่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เลย แถมดาวดวงนี้ยังมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอีก ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เรียกดาวดวงนั้นว่า ดาวซีริอุส B ครับ เพิ่งมารู้จักและถ่ายรูปมันได้เมื่อมีการประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ขนาดยักษ์ใน ปี 1970 นี้เอง ล้าหลังคนป่าในแอฟริกาตั้งห้าพันกว่าปีแน่ะ

ดาวดวงที่ว่านี้ ตำนานของชาวโดกอนกล่าวว่า มีมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยครับ เผ่าพันธ์ของพวกนี้เรียกตามภาษาโดกอนว่า นอมโมส( Nommos ) มีลักษณะคล้ายมนุษย์ปลา รูปร่างอัปลักษณ์เป็นที่หนึ่ง และดูเหมือนว่า ในตำนานของชนเผ่าโบราณที่เจริญมาในเวลาไล่เลี่ยกันก็กล่าวถึงมนุษย์เผ่า พันธ์นี้เอาไว้ด้วย เช่น บาบิโลเนี่ยน อัลคาเดีย รวมถึงตำนานของชนชาติสุเมเรียน แม้แต่ในอียิปต์ก็เช่นกัน มหาเทวีไอซิสของอียิปต์ ในบางครั้งจะถูกกล่าวแทนด้วยนามของนางเงือกแห่งลุ่มน้ำไนล์ จากรายละเอียดที่นักโบราณคดีศึกษามา ไอซิสก็มีความสัมพันธ์บางอย่างกับกลุ่มดาวบนท้องฟ้า โดยเฉพาะดาวซิริอุสครับ

ทว่า รายละเอียดที่ทำให้นักวิชาการตาโตมันอยู่ตรงนี้เองครับ ชาวโดกอนเล่าว่า นอมโมสหรือมนุษย์ปลาพวกนี้ อาศัยกระจัดกระจายอยู่ตามดาวบริวารต่างๆที่โคจรรอบดาวซิริอุส พวกเขามายังโลกด้วย "หีบ" ที่หมุนวนอย่างรวดเร็วในอากาศ ยามใดที่ลงพื้นจะทำให้เกิดกระแสลมปั่นป่วนรวมทั้งเสียงอื้ออึง พวกเขานี้เองที่สอนให้ชาวโดกอนรู้จักพื้นฐานทางดาราศาสตร์ และสั่งให้นักบวชจดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับดาวซีริอุส B เอาไว้

ไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อแหละนะครับ เพราะตำรับตำราโบราณของชาวโดกอนบันทึกรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับระบบสุริยะของเราไว้หลายอย่าง รายละเอียดเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ชาวนอมโมสถ่ายทอดให้พระชาวโดกอนฟังทั้งสิ้น เช่นว่า ดาวพฤหัสมีบริวารเป็นดวงจันทร์อยู่ 4 ดวง และถัดจากดาวพฤหัสมีดาวมหัสจรรย์ที่แวดล้อมไปด้วยวงแหวนหลายชั้น นั่นคือดาวเสาร์ เห็นหรือยังล่ะครับ ตำนานโบราณอายุห้าพันกว่าปีนี้มีความไม่ธรรมดาแฝงอยู่ในตัวของมันเอง หันมาดูมนุษย์ยุคใหม่อย่างพวกเราสิครับ เราเพิ่งรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้หลังจากที่กาลิเลโอประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง ห่างชั้นกันเห็นๆ (แซวเล่นน่ะครับ อย่างเพิ่งค้อนกันเลย)



เรื่องของชาวโดกอนโด่งดังเอามากๆเมื่อ Robert K.G. Temple นำไปเขียนหนังสือชื่อ The Sirius Mistery แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์หย่ายหลายท่านออกมาแย้งว่า ข้อมูลพวกนี้ อาจจะมาจากนักดาราศาสตร์ชาวตะวันตกก็ได้ ที่เข้าไปพูดคุยกับนักบวชชาวโดกอน แล้วนักบวชเหล่านั้นก็เอามาผสมในตำนานของพวกเขาเสียเลย แหม… ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่นะครับเหตุผลนี้

ก็ดาวซีริอุส B น่ะค้นพบกันด้วยกล้องโทรทัศน์เมื่อปี 1862 แต่ชาวโดกอนมีพิธีเฉลิมฉลอง ว่าด้วยการแสดงความยินดีที่ดาวซีริอุส A และ B โคจรครบหนึ่งรอบมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 แล้ว นานนมกว่าชาวยุโรปจะค้นพบตั้ง 400 กว่าปี หรือจะบอกว่าเป็นนักดาราศาสตร์ชาวยุโรปไปสนทนากับพวกเขามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 มันฟังไม่ขึ้นใช่มั๊ยล่ะครับท่านทั้งหลาย



แต่ก็ใช่ว่าข้อโต้แย้งของนักวิทยาศาสตร์จะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว ในเมื่อชาวโดกอนอ้างว่า วงโคจรของดาวซีริอุส B คือ 50 ปี แล้วทำไมงานฉลองการโคจรครบรอบของพวกเขาจึงจัดขึ้นทุกๆ 60 ปี แปลกเหมือนกันใช่ไหมครับ ข้อนี้นักบวชโดกอนก็ได้แต่อ้ำๆอึ้ง แล้วบอกว่า มันเป็นธรรมเนียมที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พวกเขามีหน้าที่ปฏิบัติตาม ไม่ได้มีหน้าที่สงสัย ว่าเข้าไปนั่นเลย…

สาเหตุสำคัญที่ทำให้พบดาวซีริอุส B ก็คือ นักวิทยาศาสตร์รู้สึกแปลกใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวซีริอุส A คือมันโคจรรอบอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น พวกเขาจึงตั้งข้อสังเกตุว่า มันต้องมีดาวแคระสีขาว หรือไม่ก็แบล็คโฮลอยู่บริเวณนั้น (อ่านรายละเอียดได้จากเรื่องแบล็คโฮลครับ) จากการค้นหาเป็นการใหญ่ทำให้มีการค้นพบดาวซีริอุส B ซึ่งเป็นดาวแคระสีขาวขึ้นมา

ไคลแม็กซ์ของเรื่องมันอยู่ตรงนี้เองครับ ตามตำนานของชาวโดกอน ยังมีดาวซีริอุสอีกหนึ่งดวง ที่เรารู้จักกันในนามของซีริอุส C ซึ่งดาวดวงนี้เองที่เป็นดาวฤกษ์ที่ดาวบริวารอันเป็นบ้านเกิดของมนุษย์ปลา ทั้งหลายอาศัยอยู่ ใช่ครับ… ในตอนแรกไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้ จนกระทั่ง Daniel Benest และทีมงาน ผู้เสนอทฤษฎีที่ว่า ดาวซิริอุสเป็นดาวแฝดสามดวง ได้ทำการค้นคว้าดาวดวงที่เหลือในกลุ่มดาวสุนัขใหญ่และสุนัขเล็ก ในที่สุดพวกเขาก็พบมันจนได้ ดาวซีริอุส C ตามตำนานของชาวโดกอน มันเป็นดาวแคระสีแดงครับท่าน มีมวลแค่ 0.5 เท่าของดาวซีริอุส B การค้นพบครั้งนี้เอง ที่ทำให้คนที่ไม่เชื่อเรื่องตำนานมนุษย์ปลาจากดาวซีริอุสเริ่มมั่นใจขึ้นมา บ้างว่า ตำนานของพวกเขา คงไม่ใช่แค่นิทานเหลวไหลอีกต่อไป

ถึงดูเหมือนว่า เราจะพบบ้านเกิดของมนุษย์ปลานอมโมสแล้วก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ก็ยังสรุปไม่ได้อยู่ดีว่า จะมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่ เพราะอย่างน้อยตอนนี้ สภาพของระบบดาวในกลุ่มดาวของซีริอุส ไม่ได้ส่อแววเลยว่า จะมีอะไรเป็นปัจจัยเอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้

สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เป็นปริศนาที่ตีไม่แตกอีกตามเคย… เฮ้อ
ปัจจุบันเหลือชาวโดกอนอยู่น้อยครับ อาศัย กระจัดกระจายอยู่แถบเทือกเขา ฮอมบูรี ในประเทศมาลี ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะการรู้จักดาวซิรีอุส B ซึ่งเป็นดาวแคระสีขาวก่อนหน้าวงการวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนับพันๆปี ดาวซิรีอุส B ในภาษาโดกอนเรียกว่า Po Tolo ครับ

คำว่า Tolo หมายถึงดวงดาว ส่วนคำว่า Po หมายถึงเมล็ดพันธ์เล็กๆ ตรงกับลักษณะที่เป็นดาวแคระสีขาวของซิรีอุส B ไหมล่ะครับ?

และตำนานตรงนี้ของชาวโดกอนก็มิได้เป็นเพียงตำนานอีกต่อไป เพราะปัจจุบันวงการดาราศาสตร์ยอมรับแล้วว่าดาวซิรีอุส B มีจริง




นอกจากดาวซิรีอุส B แล้วยังมีดาวอีกดวงนะครับ ที่ชาวโดกอนระบุถึงในระบบของดาวซิรีอุส ดาวดวงนี้เรียกตามภาษาโดกอนว่า Emme Ya ซึ่งในวงโคจรของดาว Emme Ya นี้เองที่ชาวโดกอนยืนยันว่า มีดาวบริวารดวงหนึ่งโคจรรอบอยู่ และที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้าของพวกเขาครับ ปัจจุบันวงการดาราศาสตร์ยังไม่มีการยืนยันตำแหน่งของ Emme Ya ครับ และเรื่องแปลกที่ผมเคยเล่าไปในตอนที่แล้วก็คือ นักดาราศาสตร์ เพิ่งค้นพบดาวดวงอื่นๆในระบบซิรีอุสในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถถ่ายรูปของมันได้จนกระทั่งช่วงปี 1970 นั่นแหละจึงประสบความสำเร็จ นับว่าตำนานที่ยืนยาวมาหลายพันของชนเผ่าโดกอนนี้เป็นข้อเท็จจริงทางวิทยา ศาสตร์ที่น่าทึ่งมากครับ ข้อเท็จจริงอื่นๆก็คือ พวกเขารู้มานานนมว่าดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ แถมมีปฏิทินใช้ตั้งสี่แบบ คือ สำหรับ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวซิรีอุส และ ปฏิทินสำหรับใช้บนดาวศุกร์ แปลกดีไหมล่ะครับ?

ตำนานของโดกอนยังมีรายละเอียดน่าสนใจอยู่อีก โดยเฉพาะเรื่องของ Nommos ซึ่งผมเคยเล่าไปแล้วบางส่วน Nommos เป็นสิ่งมีชีวิตที่เดินทางมาจาก Emme Ya ครับ ชาวโดกอนว่าเอาไว้อย่างนั้น ลักษณะของ Nommos ออกจะแตกต่างไปจากพระเจ้าที่เสด็จลงมาจากฟากฟ้าของคนโบราณชาติอื่นอยู่นิด หน่อย เรามาดูลักษณะของ Nommos กันหน่อยดีไหมครับ ตัดตอนมาจากหนังสือของฝรั่งเขาน่ะครับ ใครอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติมก็เมล์มาทีหลังนะครับ


  • พวก Nommos อาศัยอยู่ในน้ำ
  • พวกเขาลงจากห้วงอวกาศเพื่อเยือนโลกเมื่อนานมาแล้ว ด้วยเรือที่บินบนฟ้าได้ เรือนี้ลงบนพื้นดินด้วยขาตั้งสามขา (a space ship with 3 triangular legs landed)
  • ลักษณะทางกายภาพของ Nommos ดูคล้ายมนุษย์
  • พวกเขาลงมายังโลกเพื่อหาแหล่งน้ำ และพัฒนาแหล่งน้ำ
  • พวกเขาดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ มากกว่าสะเทินน้ำสะเทินบก
  • Nommos สามารถเดิน อาศัย ตลอดจนพูดคุยอยู่บนบกได้เหมือนปกติ ทว่า ดูเหมือนพวกเขาจะชอบอาสัยอยู่ในน้ำมากกว่า
  • Nommos ก็เหมือนพระเจ้าของชนเผ่าอื่นๆ คือสัญญาว่าจะกลับมายังโลกนี้เมื่อเวลาอันสมควรมาถึง


เป็นบันทึกหรือตำนานที่กล่าวถึงสิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกที่ตรง และละเอียดชัดเจนกว่าชาติไหนๆมากครับ แทบไม่มีลักษณะของตำนาน หรือ นิทานปนอยู่เลย ชวนให้อดคล้อยตามไม่ได้นะครับ ว่า ในวงโคจรของระบบดาวซิรีอุส นอกจากดาวที่แสนสุกสว่างสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างดาวซิรีอุส A ดาวแคระสีขาวที่เพิ่งถูกค้นพบในปี 1978 อย่างซิรีอุส B รวมไปถึงดาวที่นักดาราศาสตร์ปัจจุบันยังไม่ค้นพบอย่างดาว Emme Ya ของชาว Nommos นั้น ในอดีตเคยมีอารยธรรมเกิดขึ้นมาแล้ว และหนึ่งในอารยธรรมนั้นได้มาเยือนโลกเราเมื่ออดีตกาลที่ผ่านมา

มีหลักฐานมากมายที่ชวนให้เชื่อว่าพระเจ้าของชาวโดกอนแห่งแอฟริกา ได้ปรากฏกายให้ชาติอื่น ที่เจริญซึ่งอารยธรรมในอดีตได้เห็นมาแล้ว สังเกตจากรูปวาด รูปสลักของคนโบราณ ที่กล่าวถึงพระเจ้าผู้มีเท้าเหมือนมนุษย์ แต่มีลักษณะและเครื่องทรงคล้ายเกล็ดปลา บางที ชาวโดกอนอาจเป็นมนุษย์ชุดสุดท้ายของโลกก็ได้ครับ ที่มีโอกาสติดต่อกับสิ่งมีชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่เคยลงมาเยือนโลกในยุคสมัยของรุ่งอรุณแห่งอารยธรรม ทว่า การตามรอยของนักโบราณคดี ก็ทำให้ได้ร่องรอยของพระเจ้า หรือ Nommos ของชาวโดกอนได้จากชนชาติอื่นไม่น้อย เช่น ในอารยธรรมโบราณของ บาบิโลเนีย อียิปต์ หรือแม้แต่กรีก

ภาพของเทพเจ้าในชุดเกล็ดปลากับสิ่งที่เรียกว่า เสาแห่งแสงสว่าง ตามตำนานกล่าวว่า เสาต้นนี้มีความสามารถที่จะเคลื่อนย้ายดวงวิญญาณ จากมิติหนึ่งไปยังอีกมิติหนึ่งได้ เสาแห่งแสงสว่างยังสามารถที่จะเจาะหลุมในห้วงอวกาศ เพื่อสร้าง "ทางเดิน" หรือ "ประตู" จากที่ๆไกลแสนไกลมายังโลกมนุษย์ได้ในพริบตา

ฟังดูเหมือนภาพยนตร์เรื่อง Wormholes หรือ Stargates มากกว่าตำนานทางศาสนาของคนโบราณ จริงไหมครับ? แล้วจะมีใครว่าอะไรไหม หากผมตั้งสมมุติฐานว่า The Pillar Of Light อาจจะเป็นเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร ซึ่งสามารถย้ายวัตถุใดๆจากระบบดาวซิรีอุสมายังโลกได้ในเวลาไม่นานนัก




ส่วนสัญญลักษณ์ดาวหกเหลี่ยมเนี่ย คิดว่าคงคุ้นเคยกันดีในนามของดาวแห่งดาวิด หรือสัญญลักษณ์แห่งโซโลมอนของชาวฮีบรูว์โบราณ ส่วนในเอเชีย ดินแดนของชาวภารตะโบราณ เรียกสัญลักษณ์แห่งพระวิษณุครับ ในปางที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉา

นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของเทพเจ้าโบราณของบางชนชาติ ซึ่งนักโบราณคดีตีความแล้ว สรุปออกมาว่าน่าจะเป็นเทพองค์เดียวกัน เช่น "The Repulsive Ones" มนุษย์มัจฉาผู้ซึ่งชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณกล่าว่า เป็นผู้ให้กำเนิดวัฒนธรรมของพวกเขา เทพผู้มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาเทพเจ้าเหล่านี้ คือ อวนเนสครับ (OANNES or OE) ตามตำนานบอกว่า กำเนิดออกมาจากไข่ศักดิ์สิทธิ สำหรับชาวสุเมเรี่ยนก็มี Enki หรือ Ea ครับเป็นเทพที่อาศัยอยู่ในปราสาทใต้ทะเลที่เรียกว่าแอพซู Enki ยังเป็นผู้สร้างมนุษย์คนแรกของโลกคือ Adam อีกด้วย

อยู่ใกล้ๆกับสุเมเรียนครับ ชนเผ่าโบราณที่มีที่มาดำมืดอีกเผ่าหนึ่ง ชาวฟิลิสไตน์ พวกเขาก็มีเทพเจ้าชื่อ Dagon และ Atagis เช่นกัน เทพทั้งสองมีร่างเป็นมนุษย์ มีครีบและหางเหมือนปลา อีกองค์หนึ่งเป็นของกรีซโบราณ เทพโปรเมเทอุสผู้สามารถเปลี่ยนร่างเป็นปลาได้ อาศัยอยู่ในถ้ำครับ แหล่งพลังงานของโปรเทอุสคือแสงจากกลุ่มดาวสุนัขใหญ่ ที่นับดาวซิรีอุสรวมอยู่ด้วย

แถมท้ายอีกนิดนึงสำหรับเรื่องของชาวโดกอน ความรู้ทางดาราศาสตร์ของพวกเขาตกทอดกันมาแบบปากต่อปาก และสืบทอดมาเฉพาะเหล่านักบวช พวกเขาก็เหมือนคนป่าคนดอยทั่วไป คือไม่ยอมไว้ใจใครง่ายๆ โดยเฉพาะพวกคนขาว ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เรื่องของพวกเขาจะเป็นแค่เรื่องแต่ง หรือนิทาน เพราะตกทอดกันมานับเป็นพันๆปีแล้ว ก่อนหน้าที่นักดาราศาสตร์จะค้นพบดาวซิรีอุสเป็นไหนๆ

ก็คงจะพอแค่นี้ก่อนสำหรับเรื่องของชาวโดกอน อันดับต่อไปเราจะเหินฟ้าจากแอฟริกาสู่เอเชียไมเนอร์กันบ้าง ที่นั่นมีหลักฐานของพระเจ้าจากอวกาศเยอะแยะไปหมดครับ ผมจะทยอยนำมาลงเรื่อยๆ (ถ้ายังไม่เอียนกันเสียก่อนนา...)


เป็นทั้งจินตนาการ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มานานแสนนานแล้ว ว่าในห้วงอวกาศอัน ไพศาลนอกโลกของเราออกไปนั้น น่าจะมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอื่นอาศัยอยู่ ประกอบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งสหรัฐอเมริกาและรัสเซียต่างก็สร้างยานอวกาศที่สามารถเดินทาง ออกไปสำรวจนอกโลกได้ โดยใช้เวลาในการพัฒนาความรู้ทางด้านการบินเพียง 75 ปีเท่านั้น กล่าวคือ เครื่องบินลำแรกของโลกที่บินได้จริงๆ ถูกคิดค้นได้โดยพี่น้องตระกูลไรท์ เมื่อปี พ.ศ. 2446 แค่เวลาไม่ทันข้ามศตวรรษ มนุษย์ก็ สามารถส่งยานอวกาศออกไปสำรวจนอกโลกได้ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงพากันคาดคิดว่า ขอเพียงมนุษย์จากโลกอื่น มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากกว่าโลกเราเพียง 100 กว่าปีเท่านั้น พวกเขาก็ย่อมสามารถที่จะ เดินทางไปในอวกาศได้กว้างไกลกว่าพวกเรามาก และบางที บางทีนะครับ ในอดีต พวกเขาอาจจะเคยมาเยือนโลกบ้างแล้วก็ได้




ด้วยความคิดเช่นนี้เอง นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีบางกลุ่ม จึงทำการศึกษา สำรวจ ทบทวนประวัติศาสตร์ พงศาวดาร บันทึก จดหมายเหตุ และโบราณสถาน-วัตถุต่างๆ โดยมรการตีความเสียใหม่อย่างถี่ถ้วน เนื่องจากถ้อยคำซึ่งคนโบราณบันทึกไว้ ข้อความส่วนใหญ่จะกำกวม เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และอุปมาโวหาร อีกทั้งบางสิ่งไม่ใช่ของที่คนโบราณรู้จัก จึงไม่สามารถใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องถนัดชัดเจน

ตัวอย่างที่ว่า ก็ได้แก่ การเรียกยานบินบางชนิดว่ารถทรง ราชรถของเทพ หรือมังกร เป็นต้น ซึ่งเมื่อผ่านการเปรียบเทียบ ตีความ และใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้าไปวิเคราะห์ นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ จึงพากันลงความเห็นเป็นเสียงเดียวว่า โลกเรานี้ น่าจะมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนตั้งแต่ครั้งโบราณกาลแล้วแหละ

ต่อจากนี้ไป จะเป็นหลักฐานบางอย่าง ซึ่งนักวิชาการบางท่าน ได้ค้นพบจากแหล่งหลายๆแหล่ง ซึ่งชวนให้เราคิดคล้อยตามไปไม่น้อยว่า ในอดีต เคยมีมนุษย์ต่างดาวจากโลกอื่น มาเยือนโลกราหูของเรา ได้ทำการสั่งสอน ถ่ายทอดศิลปวิทยาการให้แก่คนโบราณ จนกระทั่งมนุษย์ต่างดาวพวกนั้น ๔ฃถูกยกย่องให้เป็นพระเจ้าไป เลย จริงๆแล้วส่วนที่จำนำมาเล่านี้ เป็นสรุปอย่างย่นย่อนะครับ รายละเอียดจริงๆนั้น ผมแยกแยะเล่าไปเป็นเรื่องๆแล้ว แต่เห็นว่า น่าจะนำมาสรุปอีกทีให้เป็นเรื่องเดียว ลองมาดูกันนะครับว่า มีเรื่องราวน่าสนใจอะไรบ้าง

และอะไรอยู่เบื้องหลังอารยธรรมที่ก้าวหน้าจนเกินยุคเหล่านี้ ?


อารยธรรมของชาวสุเมเรี่ยน (SUMERIANS)

เมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวสุเมเรี่ยนอันเป็นชนชาติโบราณ ที่อาศัยอยู่บริเวณดินแดนเมโสโปเตเมียในตะวันออกใกล้ ได้บันทึกความรุ่งเรืองของพวกตนให้อนุชนรุ่นหลังได้ประจักษ์ โดยผ่านตัวอักษรที่เราเรียกกันว่า อักษรคิวนิฟอร์ม หรือ อักษรรูปลิ่ม แต่จนบัดนี้ นอกจากข้อสัณนิษฐานทางประวัติศาสตร์บางประการ นักวิชาการ ก็ยังไม่ทราบเลยว่าจู่ๆชนเผ่านี้โผล่มาจากไหน เรารู้แต่ว่า อารยธรรมสุเมเรี่ยนขั้นสูงโผล่ขึ้นมาบนโลกนี้แบบปุบปับ ชาวสุเมเรี่ยนจะแสวงหาพระเจ้าของพวกตนบนยอดเขาเสมอ และถ้าบริเวณใดไม่มีภูเขา ชาวสุเมเรี่ยนก็จะสร้างภูเขาเทียมขึ้นมา ดูราวกับไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขาก็ต้องได้ใกล้ชิดท้องฟ้า เพื่อติดต่อกับอะไรบางอย่างอยู่เสมอ

นอกจากนี้ ความรู้ทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรี่ยน ก็จัดอยู่ในขั้นสูงมากจนไม่น่าเชื่อ และด้วยการพัฒนาหอดูดาว ทำให้พวกเขาสามารถคำนวณเวลาในการหมุนของดวงจันทร์ได้ ซึ่งผิดจากการคำนวณของนักดาราศาสตร์ปัจจุบัน ซึ่งใช้วิทยาศาสตร์ทันสมัยเข้าช่วยเพียง 0.4 วินาทีเท่านั้น มหัศจรรย์ดีไหมครับ?

นอกจากนี้ บนเทือกเขาคูยุนจิค (Kuyunjik) ได้มีผู้พบหลักฐานทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมีตัวเลขเป็นผลลัพท์ทางการคำนวณถึง 15 หลัก ซึ่งแม้แต่ชาวกรีกโบราณที่ว่าปราดเปรื่อง ก็ยังคำนวณกันได้เพียง 10 หลักเท่านั้น ชาวสุเมเรี่ยนเค้าคำนวณหาอะไรกันครับ มันเป็นจำนวณของอะไรกันแน่ ทำไมมีตัวเลขตามหลังตั้ง 15 หลักแบบนี้ มันมากมายมหาศาลพอที่จะเรียกได้ว่า จำนวนไม่สิ้นสุดเชียวนะนั่น





ลองมาดูพระเจ้าของชาวสุเมเรี่ยนกันบ้างดีกว่า พระเจ้าของพวกเขาไม่ได้มีรูปร่างเป็นมนุษย์อย่างพระเจ้าของชาวกรีก ส่วนใหญ่จะเป็นสัญลักษณ์ซึ่งมันจะเกี่ยวพันกับดวงดาวอยู่เสมอ ดาวบางดวงมีดาวเล็กๆที่มีลักษณะเป็นดาวบริวารล้อมรอบ ที่แหล่งขุดค้นทางโบราณสถานบางแห่ง มีนักโบราณคดีขุดค้นพบภาพเขียนของคนมีรูปดาวอยู่บนศีรษะ บางภาพเป็นคนขี่ลูกบอล(ซึ่งน่าจะเป็นดาวเคราะห์ แล้วคนโบราณอย่างชาวสุเมเรี่ยน ดันรู้อีกนะครับว่าดาวเคราะห์กลม ไม่ได้แบนอย่างที่ชาวยุโรปสมัยก่อนเชื่อกัน)ที่ติดปีก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนพบภาพที่มีลักษณะเหมือนโครงสร้างของอะตอม แถมมีการส่งรังสีอีกต่างหาก เอากะพ่อสิครับ




เรื่องราวของชาวสุเมเรี่ยนยังมีมากกว่านั้น จากหลักฐานบ่งบอกได้ชัดเจนเลยครับว่า คนลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรติส โบราณรู้เรื่องดีเกี่ยวกับดาว 12 ดวงในระบบสุริยะจักรวาล พวกเขาสามารถบอกรายละเอียดเกี่ยวกับขนาด ส่วนประกอบ และตำแหน่งของดวงดาวแต่ละดวงได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่ดาวเนปจูนและดาวพูลโตที่เพิ่งถูกค้นพบไม่ถึง 100 ปี แต่ชาวสุเมเรี่ยนได้พบมันก่อนชาวเราเสียตั้งหลายพันปี ในบันทึกยังบอกถึงดวงดาวที่เทพเจ้าของเขามาด้วย นักดาราศาสตร์เชื่อว่าคงจะเป็นกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius) จะเห็นได้ชัดทางซีกโลกใต้ ชาวสุเมเรี่ยนเรียกดาวดวงนี้ว่า "มาร์คุด" ซึ่งหมายถึงพระเจ้านั่นเอง ......




ไม่เพียงแต่มนุษย์ต่างดาวจะมาให้แต่ความรู้อย่างเดียวเท่านั้น ในบางครั้งยังพาชาวโลกออกไปทัศนศึกษานอกโลกด้วย ดังเรื่องที่เกินขึ้นกับกษัตริย์อีธาร (อิลิยาห์) ซึ่งมีเทพเจ้าเป็นเพศชายร่างสูง ผมบลอนด์ ในชุดสีขาวพาพระองค์ขึ้นยานบินล้ำสมัย ซึ่งพาหนะสวรรค์ลำนี้ร่อนจอดลงตรงด้านหลังพระราชวัง ตัวยานได้พาพระองค์พร้อมเทพเจ้าท่องผ่านดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวศุกร์และดาวอื่น ๆ ในห้วงอวกาศอย่างมากมาย กษัตริย์อีธาร ทรงประทับใจมากที่ได้เห็นโลกทั้งโลก ทั้งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ หมู่เกาะต่าง ๆ และเทือกเขาที่เรียงลายสลับซับซ้อน ซึ่งพระองค์บอกว่าเหมือนก้อนขนมปังในตระกร้า


ยังมีเรื่องราวอันเต็มไปด้วยปริศนามากมายของชนเผ่านี้ ให้พวกเราคนรุ่นหลังได้ขบคิดกันเล่นๆ รายละเอียดมีอยู่ใน การค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรี่ยน นะครับ ละเอียดยิบเลย สนใจก็ลองเข้าอ่านดูได้ที่ลิงค์นี้ครับ




ชนเผ่ามายา (MAYAS)
ชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล นับเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความก้าวหน้าล้ำยุคจนนักวิชาการต่างๆ พากันส่ายหน้าปวดหัวด้วยความแปลกใจเป็นอันมาก กล่าวคือ ชาวมายามีความเป็นเลิศทางด้านการคำนวณและดาราศาสตร์ สิ่งที่ชาวมายาคิดค้นได้ก็คือ ปฏิทินและการคำนวณบางประการที่ไม่น่าเชื่อว่า ชนเผ่าโบราณอันลึกลับนี้ จะสามารถทำได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สมัยใหม่อย่าพวกเราเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย ปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี (สงสัยไหมครับว่าทำไมถึงนานขนาดนั้น) และวงโคจรที่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด จะจบลงในวันที่ 24 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2554 (ซึ่งตามความเชื่อของชาวมายาก็คือ พระเจ้า ของพวกเขาจะเสด็จกลับลงมายังโลกนี้อีกครั้ง

ชาวมายาดูจะมีความผูกพันคุ้นเคยกับดาวศุกร์เป็นพิเศษ พวกเขาสามารถคำนวณว่า ปีบนดาวศุกร์มีจำนวณ 584 วัน และวันของโลกเรามี 365.2420 วัน ซึ่งตามการคำนวณในปัจจุบันปรากฏว่า มี 365.2422 วัน นับว่าคลาดเคลื่อนน้อยจนแทบไม่น่าเชื่อ

ในเมือง Chichen มีผู้พบหอดูดาวที่ชาวมายาได้สร้างขึ้น นอกจากนี้ชาวมายายังได้คำนวณปฏิทิน ซึ่งสามารถใช้ต่อเนื่องไปในเวลาข้างหน้าถึง 64 ล้านปี สำหรับเรื่องของวงโคจร การหมุนรอบตัวเอง วันเวลา และแรงกระทำจากดาวศุกร์นั้น นักวิชาการยอมรับว่าเหลือเชื่อมากสำหรับชนเผ่าโบราณพวกนี้ ค่าที่ได้จากการคำนวณน่าจะมาจากอุปกรณ์คำนวณอิเล็คทรอนิคส์ ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานปรากฏแต่อย่างใดว่า ชาวมายาสามารถประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาได้

ดังที่กล่าวไปในหน้าที่แล้วว่า ชาวมายามักจะเกี่ยวพันกับดาวศุกร์อยู่เสมอๆ ลองมาดูสูตรคำนวณดาวศุกร์ของชาวมายาสิครับ ว่าสลับซับซ้อนมากขนาดไหน ดาวซอลคิน (ชื่อเรียกดวงจันทร์ของชาวมายา) มี 260 วัน โลกมี 365 วัน ดาวศุกร์มี 584 วัน สามารถจะหารด้วย 73 ได้ 5 ครั้ง ดังนั้นสูตรดังกล่าวจึงเป็นดังนี้


(ดวงจันทร์) 20 X 13 = 260 x 2 x 73 = 37,960

(ดวงอาทิตย์) 8 x 13 = 104 x 5 x 73 = 37,960

(ดาวศุกร์) 5 x 13 = 65 x 8 x 73 = 37,960


ดังนั้นดาวทั้งสาม เมื่อคำนวณแล้วจึงได้ผลเป็น 37,960 วัน ซึ่งตำนานของชาวมายากล่าวไว้ว่า จะครบรอบวันซึ่งพระเจ้าจากห้วงเวหาของพวกเขา กลับมาประทับยังตำหนักใหญ่



ผมเคยกล่าวไว้หลายครั้งมาแล้วว่า ตำนานของชนโบราณ ซึ่งมีอารยธรรมล้ำยุคเหล่านี้ ล้วนมีความตรงกันอย่างน่าประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น สุเมเรี่ยน อัสซีเรี่ยน บาบิโลน หรือ อียิปต์ ต่างก็มีเนื้อหาที่มีลักษณะตรงกันว่า พระเจ้าได้เสด็จลงมาบนโลก จากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น ทรงสั่งสอนศิลปวิทยาการ ทรงเสด็จไปได้ทุกแห่งหนด้วยราชรถเพลิงอันร้อนแรง ทรงมรอาวุธที่มีอานุภาพเหมือนไฟล้างแผ่นดิน และทรงสัญญาเอาไว้ตรงกันซะด้วยสิครับว่า พระเจ้าเหล่านี้ จะทรงกลับมายังโลกในวันใดวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา

สิ่งที่น่านำมากล่าวก็คือ ชาวมายารู้จักสร้างถนนหนทางอย่างดี ประมาณว่า โยธาสมัยนี้ก็ยังต้องทึ่ง แต่น่าประหลาดมากครับ เพราะวัฒนธรรมของชาวมายา ไม่ปรากฏว่าพวกเขารู้จักใช้ล้อเลื่อน หรือ ยานพาหนะที่มีล้อมาก่อน จะมีก็แต่สัตว์พื้นเมืองที่คล้ายกับล่อ แล้วทำไมชาวมายาต้องสร้างถนนใหญ่โตขนาดนั้นด้วยเล่าครับ ในเมื่อสร้างไปพวกเค้าก็ไม่เคยที่จะได้ใช้มันเลย

ปิระมิดของชาวมายาแห่งหนึ่งชื่อ เอล คัสติลโล ที่เมือง Chichen เม็กซิโก สถานที่นี้ได้ถูกสร้างขึ้นตามปฏิทินของชาวมายา แต่ละด้านของปิระมิดมีบันได 91 ขั้น รวมกันได้ 364 และถ้าจะนับฐานบนด้วยอีกอันหนึ่ง ก็จะได้ 365 ขั้น ตรงกับวันบนโลกอย่างน่าประหลาด




ถนนที่ชาวโบราณสร้างขึ้นโดยที่เหล่าผู้สร้างเองนั้น ไม่รู้จักแม้แต่จะใช้ล้อเลื่อน พวกเขาสร้างขึ้นมาทำไมกันครับ มีบันทึกของชาวมายายกล่าวไว้ว่า พวกเขาสร้างขึ้นตามประสงค์ของพระเจ้าด้วย มีภาพวาดภาพหนึ่งในเมืองโคปัน ซึ่งเป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงเอามากๆของชนเผ่ามายา เพราะภาพดังกล่าวมีลักษณะคล้ายมนุษย์อวกาศกำลังบังคับยานอวกาศอยู่ มีอุปกรณ์หน้าปัท คันบังคับครบกัน นักวิชาการหลายคนพิจารณาแล้วก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันครับว่า เป็นรูปของนักบินในพาหนะประเภทยานซักอย่าง...

 อารยธรรมของชาวอินคา (INCAS)

เคยนำเสนอไปแล้วนะครับ ในตอนอาณาจักรสุริยเทพ อารยธรรมอินคาถือเป็นอีกอารยธรรมหนึ่ง ซึ่งมีความก้าวหน้าแบบผิดปกติถ้าเทียบกับอารยธรรมอื่นในสมัยเดียวกัน อารยธรรมนี้เกิดขึ้นราวๆ 2500 ปีก่อนคริสตกาลในบริเวณที่เป็นทวีปอเมริกาใต้ ชาวอินคามีความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมสมัยใหม่จนเหลือเชื่อ มีระบบการปกครอง การทหาร ที่ก้าวหน้าเป็นปึกแผ่น เป็นพวกที่รู้จักใช้เครื่องมืออันทำมาจากทองสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง รู้จักสร้างท่อระบายน้ำ รางส่งน้ำแบบดีเยี่ยม มีการสร้างถนนอย่างเป็นระบบ มีปราสาทราชวังและป้อมปราการ ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ มันผิดปกติเอามากๆ เมื่อนักโบราณคดีได้สำรวจอย่างถี่ถ้วน เพราะมันขัดกับความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวอินคาเสียเหลือเกิน

แต่เช่นเดียวกับชาวมายาครับ ชาวอินคาไม่เคยใช้ล้อเลื่อนหรือพาหนะที่มีล้อ ตสมหลักฐานที่พบคือ ชาวอินคาใช้กำลังคนล้วนๆนี่แหละครับ ในการลากหรือยกวัตถุต่างๆ ซึ่งทำให้นักวิชาการแปลกใจมาก ว่าชนชาติที่เจริญด้วยอารยธรรมขนาดนี้ ทำไมเรื่องง่ายๆอย่างล้อและเพลาจึงไม่มีใช้กัน และที่แปลกกว่านั้น ชาวอินคาไม่มีตัวอักษรในการเขียนหนังสือเลยครับ เท่าที่พบก็มีแต่ใช้เส้นลวดที่มีขีดหรือจุด เอาไว้เป็นเครื่องมือช่วยจำ และส่วนมาก จะใช้บันทึกสถิติต่างๆที่ใช้ในราชการเท่านั้น

ชาวอินคานับถือกษัตริย์เป็นเทพสมมุติ พวกเขาเชื่อกันว่า พระองค์เสด็จลงมาจากดวงอาทิตย์ และชาวอินคาถือเป็นบุตรหลานแห่งสุริยเทพ บนยอดวิหารที่ชาวอินคาสร้างขึ้น นักโบราณคดีได้พบรูปปั้นของเทพเจ้าผู้สร้างโลก ซึ่งแต่งกายเป็นมนุษย์ธรรมดา มีนามว่า "วีราโคชา" (VIRAQOCHA) ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแห่งจักรวาลทั้งมวล พระองค์เป็นผู้สนใจในกิจกรรมต่างๆของมนุษย์เป็นที่สุดด้วย






สิ่งที่นักวิชาการเชื่อว่าชาวอินคาได้สร้างขึ้น และสามารถนำไปโยงกับการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวได้ชัดเจนที่สุด เป็นถนน หรือ เส้น หรืออะไรบางอย่าง ที่ถูกสร้างมาตัดกันอย่างสลับซับซ้อน บนที่ราบนาซก้า (NAZCA) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศเปรู ถนนเหล่านี้บางสายขนานกันอย่างดีเยี่ยม บางสายไปจบลงกลางสนามเหมือนรันเวย์ของสนามบิน ซึ่งรอยเหล่านี้ ถ้ามองจากพื้นดินแล้ว ก็จะไม่อาจสังเกตสัญลักษณ์บางอย่างได้เลย แต่ถ้าบังเอิญขึ้นไปมองดูจากท้องฟ้าแล้ว ก็จะเห็นสัญลักษณ์ทางเรขาคณิตเหล่านั้นได้อย่างถนัดชัดเจน ชาวอินคาทำสัญลักษณ์นี้ ให้ใครมองลงมาดูจากบนฟ้าหรือครับ? ในเมื่อหลายพันปีก่อน ยังไม่มีเครื่องบินหรืออากาศยานใดๆใช้กันเลย...

บุคคลกลุ่มแรกที่สังเกตเห็นรูปบนที่ราบนาซก้าเป็นนักบิน ซึ่งบินผ่านแถวนั้นพอดีครับ พวกเขานึกประหลาดใจมาก เพราะสัญลักษณ์ที่เห็นมันใหญ่โตเหลือเกิน รอยเหล่านี้เป็นรูปเส้นตรงก็มี วงกลม รวมทั้งเส้นตรงที่ยาวออกไปเป็นไมล์ๆ บางทีก็เป็นรูปที่คล้ายสัตว์ต่างๆ อาทิ เช่น ปลาวาฬ นก และแมงมุม รวมทั้งรูปร่างมนุษย์สวมหมวกคลุม ภาพที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวประมาณ 300 หลา ซึ่งไม่อาจมองเห็นเป็นภาพได้อย่างเด็ดขาด หากไม่มองจากบนอากาศลงมาครับ






อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ ดร. มาเรีย ริชเช่ ซึ่งทำการศึกษาร่องรอยบนที่ราบนาซก้านี้อย่างละเอียด ได้ให้ความเห็นว่า มันเป็นรอยที่เก่าแก่กว่าอารยธรรมอินคาเสียอีก และสร้างขึ้นโดยชนชาติใดก็ไม่ปรากฏเสียด้วย ชาวอินคาเองจะรู้ว่ามีร่องรอยนี้อยู่หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่มองลงมาจากอากาศที่สูงมากๆแล้ว ก็จะไม่ทราบว่า รอยเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ที่ดูประหลาดเหลือเกิน

รอยเหล่านี้สร้างขึ้น โดยใช้หินที่เคลื่อนเอามาจากทะเลทรายในบริเวณใกล้ๆ ดังนั้นมันจึงไม่สึกหรอหรือถูกทำลาย และรอยเหล่านี้ถ้าไม่มองจากอากาศหรือเครื่องบินแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเห็นได้เลย บางทีนะครับ ชาวอินคาอาจจะไม่รู้ความลับเรื่องนี้ก็เป็นได้ เพราะชาวอินคาได้สร้างถนนตัดเข้าไปกลางรอยนี้ เหมือนกับไม่รู้การมีอยู่ของมัน นักวิชาการบางท่านคาดว่า รอยเหล่านี้อาจเป็นสนามบินโบราณก็ได้ ซึ่งจะเป็นสนามบินของใครก็ไม่มีคนทราบ ที่แน่ๆ เพื่อให้เป็นที่สังเกตจากนักบินผู้บังคับยาน ให้สามารถเห็นบริเวณลงจอดได้แต่ไกล จึงจำต้องทำรูปให้มีขนาดใหญ่โตอย่างที่เห็น

ท้ายที่สุด ตำนานทางศาสนาที่น่าสนใจ เกี่ยวกับชนเผ่าปริศนา ซึ่งครอบครองอารยธรรมและดินแดน ก่อนหน้าที่ชาวอินคาจะเข้ามา มีบางส่วนกล่าวไว้ว่า ดาวต่างๆบนฟากฟ้า ล้วนมีผู้คนอาศัยอยู่ พระเจ้าของพวกเขาคือหนึ่งในกลุ่มที่อยู่บนดาวเหล่านั้น และสักวันพระเจ้าจะกลับมาหาพวกเขา จากกลุ่มดาวซึ่งปัจจุบัน เรารู้จักกันในนามของ กลุ่มดาวพลิเดส (PLEIDES)ครับ




ความน่าสนใจบางประการ กับอารยธรรมของอียิปต์

มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า สมัยที่ประธานาธิบดี กาเมล อับเดล นัซเซอร์ ยังดำรงตำแหน่งอยู่นั้น เขาได้มีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายรูปแกะสลักสูง 80 ฟุต ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลทราย ใกล้ๆกับปิระมิดแบบขั้น ไปไว้ในสวนสาธารณะที่กรุงไคโร รูปแกะสลักดังกล่าวได้ตั้งอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลานานนับหลายศตวรรษแล้ว รัฐบาลอียิปต์ได้ระดมกำลัง ทั้งคนงานและวิศวกร ที่มีอุปกรณ์สมัยใหม่อย่างครบถ้วน เรียกว่าระดมความรู้ทางวิศวกรรมศาสตร์ทั้งหมดเท่าที่มี แต่ความพยายามทั้งหลายก็ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่สามารถจะเคลื่อนย้ายรูปปั้นดังกล่าวได้ ทำให้บรรดานักวิชาการด้านไอยคุปต์วิทยา พากันแปลกใจอย่างมากว่า ชาวอียิปต์โบราณ นำรูปสลักดังกล่าว ไปตั้งไว้ในพื้นที่นั้นได้อย่างไร ทั้งที่อุปกรณ์และความรู้ของพวกเขา อยู่ห่างจากเราในยุคศตวรรษที่ 20 อย่างไม่เห็นฝุ่น

ชาวอียิปต์โบราณ สร้างปิระมิดไว้ในประเทศอียิปต์ประมาณ 90 แห่ง ซึ่งตามบทเรียนประวัติศาสตร์เท่าที่พวกเราเรียนมานั้น บอกกับเราไว้ว่า ฟาโรห์ของอียิปต์ได้ใช้แรงงานทาสในการสร้างปิระมิดเหล่านี้ และเชื่อว่าบรรดาปิระมิด สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สำหรับเก็บพระศพของฟาโรห์ในราชวงศ์ต่างๆ โดยเฉพาะมหาปิระมิดแห่งกิซ่า ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเจ็ดมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ แต่จากหลักฐานที่ปรากฏ มหาปิระมิด หาได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อกิจกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด จึงทำให้นักโบราณคดีพากันสงสัยว่า พวกเขาสร้างมหาปิระมิดที่กิซ่าขึ้นมา เพื่อกิจการอันใดกันแน่?

หินก้อนใหญ่ๆ ที่ใช้สร้างปิระมิดและมหาวิหารที่อยู่ในแถบนั้น น่าจะนำมาจากเหมืองหินที่อยู่ไกลออกไปเป็นร้อยๆไมล์ และนักโบราณคดีได้ตั้งทฤษฎีว่า ชาวอียิปต์โบราณได้สกัดหินเหล่านี้ และลำเลียงมันล่องแพลงมาตามแม่น้ำไนล์ เมื่อถึงฝั่ง จึงใช้รอกหรือเลื่อนไม้ ลำเลียงมายังบริเวณที่ก่อสร้าง ซึ่งถ้ามองตามทฤษฎีนี้แล้ว ชาวอียิปต์โบราณจะต้องสร้างแพที่มีขนาดใหญ่โตมาก เนื่องจากก้อนหินเหล่านี้ ส่วนมากจะหนักตั้งแต่ 5-10 ตัน และที่น่าประหลาดใจก็คือ นักโบราณคดีไม่เคยพบหลักฐาน เกี่ยวกับแพหรือพาหนะอื่นใดที่คล้ายกัน ปรากฏอยู่ในย่านโบราณสถานดังกล่าวของอียิปต์เลยแม้แต่สักกระผีกชิ้น

จากการบันทึกว่าด้วยการสร้างปิระมิด กล่าวถึงการใช้แรงงานทาสนับแสนคน ซึ่งเป็นไปได้ยากเพราะงานนี้เป็นงานที่สลับซับซ้อนและวุ่นวาย ทั้งในด้านการเลี้ยงดูและด้านการบริหาร ซึ่งวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ได้ลองคำนวณดู และพบว่า หากจะต้องใช้แรงงานทาส และทำงานไปตามบันทึกดังกล่าวแล้ว การสร้างมหาปิระมิดที่เมืองกิซ่า จะต้องใช้เวลาก่อสร้างถึง 600 ปีเทียวครับ

ชาวอียิปต์โบราณต่างไปจากชาวอินคาที่ไม่มีตัวอักษรใช้ พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ชอบบันทึกเรื่องราวต่างๆเอาไว้ ชนิดว่าแม้เรื่องราวเล็กๆก็ยังมีปรากฏอยู่ในแผ่นกระดาษปาปิรัส แต่เชื่อไหมครับว่า ไม่มีใครพบเอกสารเกี่ยวกับ วิธีการสร้างมหาปิระมิดอย่างแท้จริงเลย หินที่นำมาสร้างมหาปิระมิดก็ถูกตัดและนำมาเรียงไว้เป็นอย่างดี ชนิดที่ว่า แม้แต่กระดาษแผ่นบางๆที่สุด ก็ไม่สามารถสอดเข้าไปได้ ดังนั้น บรรดาผู้ออกแบบและคนงานก่อสร้างปิระมิด จะต้องเป็นผู้มีความรู้และความชำนาญเอามากๆ

นักดาราฟิสิกข์ชื่อ ดร. มอริส เค เจสซุป (Morris K. Jesup) ได้ให้ความเห็นว่า ก้อนหินขนาดมหึมาดังกล่าวควรจะถูกยกมาทางอากาศ โดยยานอวกาศชนิดหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ายานเหล่านั้น อาจเป็นยานกลุ่มเดียวกับที่เทพเจ้าของชาวอียิปต์โบราณโดยสารมา ดังที่ปรากฏอยู่ในตำนานของพวกเขาก็เป็นได้ ข้อสมมุติของเจสซุปนี้ สามารถจะตอบข้อสงสัยของนักโบราณคดี และบรรดาวิศวกรเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายหิน และการเรียงหินให้เข้าไปเป็นระเบียบได้

ความลึกลับในปิระมิด ทำให้นักวิทยาศาสตร์พากันสนใจมาก ในปี พ.ศ.2512 นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน นำทีมโดย ดร. ลุยส์ ดับเบิลยู อัลวาเรซ ได้เดินทางไปอียิปต์และได้นำอุปกรณ์ตรวจสอบรังสีคอสมิค ไปสำรวจมหาปิระมิดที่กิซ่า ทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้น่าสนใจมากครับ

กล่าวคือ รังสีคอสมิค สามารถที่จะเจาะทะลุหรือผ่านวัตถุได้ทุกชนิด เมื่อนำเครื่องมือที่ใช้รังสีดังกล่าวเข้ามาช่วยสำรวจ รังสีจะเจาะเข้าไปในห้องต่างๆของมหาปิระมิด แล้วเครื่องมือก็จะรายงานความลึกลับและโครงสร้างต่างๆของมหาปิระมิดออกมาได้ ซึ่งหลังจากพยายามกันแทบเจียนบ้านับเป็นเดือนๆ ดร.อัลวาเรซได้ออกมาแถลงข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2513 ว่า เครื่องมืออันทันสมัยของเขา ไม่สามารถจะพบสิ่งลึกลับในมหาปิระมิดได้ ราวกับว่า ภายในมหาปิระมิดนั้นมีพลังลึกลับบางอย่างสถิตอย่ จนเครื่องมืออันทันสมัยของเขา ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ... น่าเศร้าเหมือนกันนะครับท่านด็อก..
 ยิ่งศึกษาลงลึกไปในรายละเอียด นักวิชาการก็ยิ่งขมวดคิ้วกับปริศนาที่ซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะความเกี่ยวพันของมหาปิระมิดและเลขฐานสิบ เป็นต้นว่า หากคูณความสูงของมหาปิระมิดด้วยเลขจำนวนพันล้าน จะได้ตัวเลขซึ่งเป็นระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ (98,000,000 ไมล์) นอกจากนี้เส้นแวง(Meridian)ที่ตัดผ่านปิระมิด ยังเป็นเส้นที่แบ่งโลกออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน และหากเอาเนื้อที่ของบริเวณฐานมหาปิระมิด หารด้วยสองเท่าของความสูง จะได้เลขที่มีค่าเท่ากับพาย คือ 3.14159

สิ่งที่นักวิชาการสงสัยกันอีกก็คือ นอกจากศูนย์กลางของเมืองใหญ่ๆบางเมืองแล้ว ชาวอียิปต์โบราณส่วนใหญ่ ก็อาศัยอยู่ในกระท่อมทำด้วยโคลน และมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ความรู้ชั้นสูงก็หาได้ยาก แต่เหตุใดเล่า พวกเขาจึงสามารถสร้างปิระมิดอันมโหฬาร ซึ่งต้องอาศัยความรู้ด้านเรขาคณิต และวิศวกรรมชั้นสูงได้ นอกจากนั้น ในวิหารบางแห่งยังมีผู้พบแบตเตอร์ไฟฟ้าโบราณด้วย (เคยเล่าไปแล้วนะครับ ในเรื่องของแบตเตอร์รี่โบราณนี้) พวกเขามีความรู้เหล่านี้ได้อย่างไรกัน?





นักวิชาการบางคนพากันคิดว่า ชาวอียิปต์อาจมีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมาช้านานแล้ว และความรู้ทั้งหลายที่พวกเขาสร้างขึ้น ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากมนุษย์ต่างดาว ที่พวกเขายกย่องให้เป็นพระเจ้านั่นแหละครับ มีจดหมายเหตุที่บันทึกโดยอาลักษณ์ในสมัยของฟาโรห์ ธุทโมซิส(Thuthmosis) ที่3 (1504 - 1450 B.C.) ซึ่งนักวิชาการชื่อ บอริส เดอ รัชเชอร์วิทซ์ แปลเอาไว้ เรื่องของการที่ฟาโรห์กับผู้ติดตามเผชิญกับ UFO โดยมีใจความดังนี้

สิ่งที่ข้าพระองค์เห็นมา มันเป็นลูกไฟรูปวงแหวนขนาดใหญ่ ร่อนไปมาอยู่กลางท้องฟ้า แสงที่มันเปล่งออกมาช่างร้อนแรงดุจเพลิง สุริยันก็ไม่ปาน ยามที่มันบินวกวนรอบตัวเมืองนั้นยังปรากฎกลุ่มหมอกควันที่พวยพุ่งจากตัวมัน ด้วยพะยะคะ" ชายอียิปต์โบราณกราบ ทูลต่อฟาโรห์ธุธโมซิสที่ 3 (Thuthmosis 3) ในเหตุการณ์ที่ตัวเองประสบมาเมื่อราวประมาณ 1,500 - 1,450 ปีก่อนคริสต์กาล ชายอียิปต์อีกคนที่คุกเข่าอยู่ใกล้กันกล่าวเสริมต่อว่า "ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงพะยะค่ะ ผู้คนทั้งเมืองล้วนเป็นพยานได้ เพราะประจักษ์แก่สายตาพวกเขาเหล่านั้นทั่วกัน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายพะยะค่ะ" ชาย 2 คนยืนยันถึงเหตุการณ์ที่ เพิ่งพบผ่านมา ราวกับปาฏิหาริย์พร้อมประกอบท่าทางให้ดูสมจริง แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความเคารพต่อองค์ราชา ฟาโรห์ธุธโมซิสที่ 3 ประทับนั่งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางข้าราชบริพาร พระองค์ทรงครุ่นคิด หวั่นพระทัยไปจนถึงความมั่นคงของราชบัลลังก์


จอมราชันย์จึงประกาศก้องทั่วท้องพระโรงว่า "การนี้ข้าเห็นทีว่าอาจเกิดเหตุร้ายในภายหน้าได้ จักต้องป้องกันไว้ล่วงหน้า เหล่าขุนศึกจงเตรียมไพร่พลให้พร้อมสรรพ เพื่อไม่เป็นการประมาทต่ออาณาจักรของข้า" หลังจากวันนั้นแล้วก็ล่วงมาอีกหนึ่งราตี วัตถุประหลาดที่ชาวเมืองเคยพบเห็นมาแล้ว ปรากฏลำเด่นชัดขึ้นอีกท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล เหนือพื้นปฐพีที่มันลอยผ่านไปจะเห็นเป็นลำแสงสว่างวาบเป็นวงกว้างไปทั่ว บริเวณ สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวเมืองยิ่งนัก แต่ครั้งนี้ มันไม่ได้มาตามลำพัง ยังมียานโลหะสีเงินที่เหมือนกันลอยลำตามหลังมาติด ๆ อีก 3 ลำ เสียงผู้คนที่อยู่เบื้องล่างต่างก็เอะอะอีกทึกดังพอ ๆ กับเสียงเครื่องยนต์ที่เล็ดลอดจากตัวจานบินแม้จะอยู่ในระยะสูงก็ตาม เหล่าทหารองค์รักษ์ต่างก็กรูเข้ารายล้อม ปกป้ององค์ฟาโรห์เจ้าเหนือหัวของตนอย่างสุดความสามารถ บ้างก็คว้างหอกเข้าใส่ บ้างก็ยิงธนูเข้าใส่ โดยมีวัตถุประหลาดสีเงิน 3 ลำลอยเด่นให้เป็นเป้าโจมตี แต่สิ่งที่ทหารทั้งกองทัพทำไปนั้นไม่มีผลเสียหายต่อยานนอกโลกแม้แต่นิดเดียว




เหตุการณ์ดำเนินไปชั่วครู่ ยานทั้ง 4 ก็บ่ายหน้าลอยสูงไปทางทิศใต้ ทิ้งความฉงนให้ชาวเมืองได้ขบคิดเป็นปริศนาว่าสิ่งนั้นคืออะไร มาทำไม จากไหน และเพื่อวัตถุประสงค์ใด ซึ่งทุกคำถามไม่มีใครตอบได้ คล้อยหลังเหตุการณ์นี้ไปไม่กี่วัน ราชาแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ก็ได้จัด ทำพิธีสักการะบูชาต่อเทพเจ้า เพื่อให้ปลอดภัยจากสิ่งประหลาดซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร .....

นั่นคือข้อความที่บันทึกโดยอาลักษณ์ชาวอียิปต์โบราณที่บันทึกในม้วนกระดาษปา ปิรัส ในม้วนที่ชื่อ ทัลลี่ (Tulli Papyrus) ที่คนรุ่นหลังไปพบและแปลได้โดยบังเอิญที่พิพิธภัณฑ์วาติกัน (หมายเหตุ - ทัลลี่ปาปิรัสเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ กระดาษปาปิรัสม้วนนี้)

สรุปแล้ว ชาวอียิปต์โบราณเป็นอีกอารยธรรมหนึ่ง ที่ยังท้าทายนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดี ถึงความลี้ลับของพวกเขาอยู่ทุกยุคทุกสมัย เพราะนอกจากการสร้างปิระมิดแล้ว ความลับเรื่องเทพเจ้าจากอวกาศของพวกเขา ก็ยังคงเป็นความลับดำมืดที่ถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้



ที่มา : http://www.mythland.org/v3/thread-167-1-1.html
http://www.mythland.org/v3/thread-166-1-1.html
http://www.mythland.org/v3/thread-165-1-1.html

1 ความคิดเห็น: