วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

"มนุษย์ต่างดาว" มิตรหรือศัตรู


 
ระยะหลังๆมานี้ การพบเห็นยานบินลึกลับ หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ยูเอฟโอ”  มีถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เริ่มมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะใกล้เวลาแล้วที่  “มนุษย์ต่างดาว” จะเปิดหน้าเปิดตามาพบกับคนบนโลกเราอย่างเป็นทางการเสียที  แต่จะมาดี หรือมาร้าย เป็นมิตร หรือศัตรู ยังเป็นเรื่องน่ากังขา

แต่หากถามนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องว่าฉลาดล้ำที่สุดในโลก ปัจจุบัน  คือ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง อัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญด้านจักรวาลวิทยา  ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนจากมุมมองของ ผู้ชายที่ถูกเรียกว่า ไอน์สไตน์ 2 ว่า  “มาร้าย” แน่ๆ
สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านจักรวาลวิทยา.

ฮอว์กิ้งเชื่อเหมือนที่หลายๆคนเชื่อว่า ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้  ไม่ได้มีเราอยู่เพียงลำพัง แต่มีภูมิปัญญาอื่นจากโลกอื่น และถึงวันหนึ่ง  พวกมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ อาจจะบุกโลกเรา  เปิดฉากสงครามเพื่อแย่งชิงทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ ดังนั้น  ฮอว์กิ้งจึงแนะนำแบบจริงจังว่า ต้องเตรียมการป้องกัน และอย่าพยายามหาทาง  “ติดต่อ” กับมนุษย์ต่างดาว เพราะสิ่งที่จะตามมา อาจจะเป็น “หายนะ”  มากกว่ามิตรภาพ

ฮอว์กิ้งบอกว่า เราเคยมีประวัติศาสตร์ให้เห็นมาแล้ว  ในยุคที่พวกผิวขาวจากยุโรปเดินทางล่า อาณานิคม ไม่ว่าจะเป็นทวีปอเมริกา  หรือเอเชีย ต่างก็ถูกรุกราน ขับไล่ จากผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้เจริญกว่า  โดยเฉพาะในอเมริกา ที่ผู้มาเยือนถึงกับยึดดินแดนจากผู้อยู่ก่อน  จนชนเผ่าอินเดียนแดงแทบไม่มี ที่ยืน  แล้วมนุษย์ต่างดาวที่ไม่ต่างจากนักล่าอาณานิคมในหน้าประวัติศาสตร์ ของเรา  จะปรานีเราละหรือ ฮอว์กิ้งจึงมั่นอกมั่นใจมากว่า เมื่อไหร่ที่ “พวกเขา”  เปิดตัวออกมา คือการเปิดฉากของความรุนแรงที่ยากจะหยุดยั้ง  นั่นอาจจะหมายถึงสงครามครั้ง ใหญ่ที่มนุษย์ทุกชนชาติต้องร่วมมือกันต่อสู้
สตีเวน สปีลเบิร์ก

และแม้เราจะพูดถึงมนุษย์ต่างดาวกันจนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว  แต่หาก ถามว่า มนุษย์ต่างดาวมีหน้าตายังไงกันแน่ ก็คงยากจะตอบ  แต่ก็คงต้องยอมรับว่า  คนมากมายหลายล้านคนทั่วโลกมองเห็นและ เข้าใจภาพลักษณ์ของมนุษย์ต่างดาวผ่าน ทางหน้าจอโทรทัศน์  หรือภาพยนตร์ “ฮอลลีวูด”  จึงเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก  ที่ช่วยสร้างภาพมนุษย์ ต่างดาวให้กระจ่างมากขึ้นในจินตนาการของคนเรา

พ่อมดแห่งฮอลลีวูดที่ทำให้ภาพของมนุษย์ต่างดาวกลายเป็นภาพชินตาเรามากที่ สุด  เห็นจะเป็นสตีเวน สปีลเบิร์ก ยอดผู้กำกับผู้ทำให้คนทั้งโลกหลงรัก อี.ที.  จากภาพยนตร์เรื่อง E.T., The Extra Terrestrial ซึ่งสื่อออกมาว่า  แม้หน้าตาจะดูอัปลักษณ์ แต่มนุษย์ต่างดาวมีอุปนิสัยเป็นมิตรและอบอุ่น
มนุษย์ต่างดาวล้างโลกใน War of the Worlds.

และตั้งแต่นั้น คำว่า อี.ที.ก็กลายเป็นเหมือนตัวแทนของคำว่ามนุษย์ต่างดาวไปด้วยแต่ดูเหมือนว่า เมื่อเวลาผ่านไป และสปีลเบิร์กผ่านวันผ่านคืนมากขึ้น  มุมมองที่มีต่อมนุษย์ต่างดาวของพ่อมด ฮอลลีวูดก็เปลี่ยนไปด้วย  ผู้มาเยือนจากนอกโลกในยุคใหม่ๆ ผ่านการสร้างสรรค์ของสปีลเบิร์กไม่ใช่  อี.ที.ที่น่ารักอีกต่อไป แต่ออกแนวโหด และตั้งหน้า  ตั้งตาเป็นศัตรูผู้รุกรานเสมอๆ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง War of the Worlds  หรืออภิมหาสงครามล้างโลก ที่สื่อออกมาให้เห็นภาพชัดๆว่า จู่ๆ  โดยไม่ทันได้ตั้งตัว มนุษย์ต่างดาวก็บุกจู่โจมโลกเสียแล้ว
มนุษย์ต่างดาวบุกใน Cowboys & Aliens.

หรือภาพยนตร์เรื่องที่สปีลเบิร์กช่วยเป็นผู้อำนวยการสร้างอย่าง Super 8 ก็แสดงภาพชัดเจนว่า  มนุษย์ต่างดาวช่างเป็นตัวร้ายเหลือทน จนมาถึงภาพยนตร์เรื่องล่าสุด คือ  Cowboys & Aliens หรือ “สงครามพันธุ์เดือด คาวบอยปะทะเอเลี่ยน”  ที่นำเสนอเรื่องราวของชายแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาในย่าน ทะเลทรายอริโซนา  หลังการมาเยือนของเขา เหล่าสัตว์ประหลาดต่างดาวก็ตามมาทำร้าย  ลักพาตัวชาวเมืองไปทีละคน จนทำให้ทุกคนในเมืองต้องลุกขึ้นมาร่วมกันสู้  ร่วมกับหนุ่มนิรนามที่กุมความ ลับในการต่อกรกับมนุษย์ต่างดาวลึกลับเหล่านี้

ก็ถือเป็นการตอกย้ำภาพที่หนักมากขึ้นไปว่า มนุษย์ต่างดาวอาจจะไม่ใช่มิตร  และหากวันนั้นมาถึง วันที่ เราต้องเผชิญหน้า  ก็อาจจะกลายเป็นสงครามขึ้นมาจริงๆก็เป็นได้
การ์ตูน Cowboys & Aliens.

อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่แนวคิดดั้งเดิมของสปีลเบิร์ก  แต่เป็นการดัด แปลงมาจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันนี้  ซึ่งเป็นผลงานของสก็อตต์ มิเชลล์ โรเซนเบิร์ก ที่ออกวางแผงในปี ค.ศ.2006  และได้ รับการยกย่องว่าเป็นเรื่องราวที่โดดเด่น  ในการสามารถผสมผสานเนื้อหาสไตล์ คาวบอยตะวันตก  เข้ากันกับเนื้อหาแบบไซไฟได้เป็นอย่างดี จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้  ทำให้ Cowboys & Aliens กลายเป็นการ์ตูนฮิต  และถูกสปีลเบิร์กหยิบมาเป็นภาพยนตร์ภายใต้การอำนวยการ สร้างของเขาในที่สุด
เราไม่รู้เลยว่าเผ่าพันธุ์จากต่างดาวจะบุกมาในยุคสมัยใด.

เนื้อหาในการ์ตูนเล่าเรื่องในยุคคาวบอยเฟื่องฟูช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19  ซึ่งในตอนนั้น ฝรั่งผิวขาวและอินเดียนแดงยังรบรากันเพื่อแย่งดินแดนอยู่  แต่จู่ๆ การมีมนุษย์ต่างดาวมาบุกก็ทำให้คนทั้งผองต้องหันหน้าเข้าหากัน  คาวบอยและ อินเดียนแดงต้องเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นเพื่อนร่วมรบ ซึ่งจะว่าไป  เหตุการณ์อย่างนี้ อาจจะเกิดขึ้นกับโลกของเรา โลกที่ทุกวันนี้มัว  แก่งแย่งแข่งขันฆ่าฟันกันเอง แต่หากวันหนึ่ง ถ้ามีภัยนอกโลกมาเยือน  เราทุกคนก็ล้วนต้องหันหน้ามาหากัน ในฐานะ “เพื่อนมนุษย์”  เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องราวที่แฝงด้วยคติสอนใจให้ได้คิด อย่างลึกซึ้งว่า  ในขณะที่เรามัวโกรธเกลียดกันเอง เราอาจจะพลาดโอกาสใน  การเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสิ่งเลวร้ายกว่าที่รออยู่ พูดถึงอริโซนาที่เป็น ฉากหลังของหนังเรื่องนี้แล้ว  ก็อดไม่ได้ที่จะขอเล่าถึงเหตุการณ์จริงที่เคย เกิดขึ้น  และกลายเป็นเรื่องสุดฮือฮาตลอดกาลของเมืองคาวบอยแห่งนี้ ย้อนหลังไปในปี  ค.ศ.1975 ชายหนุ่มนามทราวิส วอลตัน  เกิดหายไปอย่างลึกลับ  ทำให้ตำรวจทั้งเมืองต้องออกตามหากันให้ควั่ก
ทราวิส วอลตัน ผู้เคยถูกเอเลี่ยนจับตัวไป.

ทีแรก วอลตันนั่งรถบรรทุกเล็กกลับจากที่ทำงานร่วมกับเพื่อนๆอีก 5 คน  และระหว่างนั่งกันมาดีๆ ก็เจอแสงสว่างจ้ามาจากเนินเตี้ยๆ เมื่อรถเข้าไปใกล้  ทุกคนก็ได้เห็นยานอวกาศขนาดใหญ่ลอยตัวอยู่ ในขณะที่ทุกคนมัวตะลึง  ทำอะไรไม่ถูก วอลตันกลับใจกล้า กระโดดลงจากรถ วิ่งเข้าไปหายานประหลาดนี้  จากนั้น เพื่อนทุกคนก็เห็นว่า  มีลำแสงพุ่งออกจากยานมากระแทกวอลตันจนกระเด็นไปนอน แผ่สามสลึงอยู่ไม่ห่าง

เพื่อนๆคิดว่างานนี้วอลตัน “ม่องเท่ง” แน่แล้ว  และน่าจะกังวลว่าตัวเองจะเป็นรายต่อไป เลยรีบซิ่งรถหนีแบบห้อสุดเหยียด  ทิ้งเพื่อนเกลอเอาไว้แบบไม่ดูดำดูดีกันล่ะ (จะว่าก็ไม่ได้  เป็นใครก็คงกลัวทั้งนั้น) จากนั้นก็มีการแจ้งความ  จนเกิดการตามหาตัวกันอุตลุด แต่ก็ไม่มีใครหาร่างของวอลตันพบ  ตำรวจเชื่อว่าวอลตันอาจจะถูกฆาตกรรมอำพราง ศพ เพื่อนๆจึงถูกเค้นอย่างหนัก  แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก แต่หลังจากหายไปได้ 5 วัน  วอลตันที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยก็โผล่กลับมาแบบไร้หลักฐาน  ทรุดกายแน่ นิ่งอยู่หน้าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ภาพจำลองการลักพาของพวกต่างดาว.

จากการสอบปากคำภายหลัง วอลตันให้การว่า เขาถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปทดสอบ  โดยพวกที่สูงประมาณไม่ถึง 5 ฟุตหัวโตโล้นเลี่ยน ดวงตาใหญ่  แต่พวกมันจะทำอะไรกับเขาบ้างก็ยากจะบอกได้ เพราะวอลตันถูกทำให้หมดสติไปก่อน  แต่จากการตรวจร่างกายของเขา พบร่องรอยเหมือนถูกเข็มแทง  ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าวอลตันถูกจับไปทดลองนานถึง 5 วัน  ทำให้อริโซนากลายเป็นที่ถูกกล่าวขานว่า  เป็นพื้นที่ที่มีความชัดเจน ที่สุดแห่งหนึ่งที่เคยถูกมนุษย์ต่างดาวมาเยือน และจับมนุษย์โลกไป แต่ยังโชคดีที่วอลตันได้กลับคืนมา  และเราไม่รู้เลยว่ามีสักกี่คนบนโลกที่ ถูกเอาตัวไปโดยไม่ได้หวนคืน  เพราะจำนวนคนหายในโลกนี้มีมากมายทุกวี่ทุกวัน

เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า พวกมนุษย์ต่างดาวทำอะไรอยู่และเตรียมจะทำอะไรต่อไป  ในอนาคตอันใกล้พวกเขาจะ เปิดตัวออกมาเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู ที่รู้ก็คือ  เราคงต้องพร้อมรับมือก็เท่านั้น.

ที่มา : นิตยสาร ต่วย'ตูน
http://www.thairath.co.th/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น