วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

"วิชาโทรจิต" ของมนุษย์ต่างดาว

"วิชาโทรจิต"...ของมนุษย์ต่างดาว? ผลพลอยได้อย่างหนึ่งจากการปฎิบัติธรรมตามแนวทาง "พุทธศาสนา" ก็คือการค้นพบหลักการที่เกี่ยวของกับพลังงานรูปต่างๆ ที่มีความละเอียดสูงมาก จนยังไม่มีเครื่องมือใดๆ ในปัจจุบันจะสัมผัสวัดได้ รวมทั้ง "คลื่นกระแสจิต" ซึ่งมีความคมและละเอียดสูงสุด

"วิชาโทรจิต" เป็น ความสามารถตามธรรมชาติที่แต่เดิมมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งปวง โดยการใช้โทรจิตนี้ผู้ใช้จะสามารถถ่ายทอดความรู้สึก หรือสิ่งที่ตนรู้สึกในใจ ไปให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นได้ โดยต้องเป็นสภาวะแห่งจิตสำนึกที่ตื่นตัว หรือสภาวะที่ทำให้ใจเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "จิตสำนึกแห่งจักรวาล"
"โทรจิตจึงเป็นความรู้แห่งจักรวาลที่มีพรมแดนที่กว้างขวางยิ่ง"

หลักทฤษฎีโทรจิตที่ได้รับถ่ายทอดมานั้น มีอยู่ด้วนกัน 4 ข้อ คือ

1.จะต้องพิจารณาว่า "มหาสากลจักวาล" เป็นองค์แห่งจิตสำนึกอันหนึ่ง

2.สรรพ สิ่งทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในมหาสากลจักรวาลนี้ล้วนเป็นร่าง ที่แบ่งภาคออกมาจากองค์แห่งจิตสำนึกอันนี้ทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงเป็นเรื่อง
ธรรมดาที่มนุษย์แต่ละคนจะมีจิตสำนึกแห่งจักรวาลดำรงอยู่ในตัว

3.จิตสำนึกแห่งจักรวาลอันนี้เป็นทั้งพลังชิวิต เป็นทั้งปัญญา และเป็นความรู้ในสรรพสิ่งอีกด้วย

4.หาก สามารถผนึกใจของตัวเองให้แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกอันนี้ได้ จิตสำนึกอันนี้ จะเป็นตัวจับและรับกระแสคลื่น ที่มาจากภายนอกพร้อมกับส่งต่อข่าวสารนั้นให้กับจิตของมนุษย์คนนั้น

ดังนั้น "ความคิด" ที่คนหนึ่งๆเปล่งออกมา จึงเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถรับคลื่นความคิดนี้ได้ ถ้าคนๆนั้นเปิดเครื่องรับในร่างกายตนรับคลื่นนั้นๆเข้ามา

ใน อีกด้านหนึ่ง ตัวจักรวาลหาใช่เป็นสิ่งที่เป็นศูนย์กลางของข้อมูลนั้นไม่ การกระทำของสรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลต่างเป็นศูนย์กลางโดยตัวมันเองต่างหาก ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะทุกสรรพสิ่งในจักรวาลถูกสร้างขึ้นมาโดยปฐมเหตุของ จักรวาล ดังนั้น รังสีที่เปล่งออกมาจากการกระทำใดๆของสรรพสิ่งนั้นๆ จึงกระจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ด้วยเหตุผลเช่นนี้

เซลล์ แต่ละอันในร่างกายมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่สามารถปล่อยคลื่นความคิดออกมาได้เช่น กัน และในทางกลับกันคลื่นความคิดก็ย่อมสั่นสะเทือนเซลล์แต่ละอันในร่างกายตนเอง ได้ด้วย

ดังจะเห็นได้ว่าความเครียดที่สั่งสมนานๆ เป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่มนุษย์ เพราะคลื่นความคิดเหล่านี้เข้าไปมีผลกระทบต่อร่างกายนั่นเอง การมีความคิดที่ดี แจ่มใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี จึงเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้สำหรับมนุษย์ บางครั้งเราจึงควรหลีกให้ห่างผู้คนที่ปล่อยคลื่นความคิดร้ายๆ ถ้าหากทำได้ จะได้ไม่ไปรับผลสะเทือนที่ไม่ดีของผู้คนเหล่านั้นเข้ามา...
[b]
คลื่นความคิดที่ควรหลีกเลี่ยง[/b]

1.สิ่ง ที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ การไม่ให้คลื่นความคิดจำพวก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไร้สาระในเรื่องเล็กน้อย ความเกลียดชัง เหล่านี้ ไหลเขามาสู่ตัวเรา

2.พวกคลึ่นความคิดชั้นต่ำที่ถูกปล่อยออกมาจากดาวดวงอื่น ที่มีวิวัฒนาการล้าหลังกว่าโลกของเรา ก็เป็นคลื่นที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ

3.คลื่น ความคิดที่ปล่อยออกมาจากความทรงจำของชาวโลกที่เคยอาศัยอยู่บนโลกในอดีต ส่วนใหญ่เป็นคลื่นความคิดที่แตกแยกไม่ปรองดองกัน และอกุศล
มักทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว แต่ความจริงเป็นแค่คลื่นความคิดของผู้ตายที่ยังหลงเหลืออยู่ในอวกาศเท่านั้น

คลื่นความคิดที่ควรรับเข้ามา

1.พลังชีวิต (ปราณ) ของจักรวาลที่ไหลเข้ามา เป็นพลังภายในที่บริสุทธิ์ เป็นทั้งปัญญาแห่งจักรวาลภายในตัวด้วย สามารถแทรกซึมเข้าสู่ทุกสรรพสิ่งได้อย่างเสมอภาค ไม่ลำเอียง ปัญญาและความรู้ที่บริสุทธ์ จึงมักเข้าไปใกล้ผู้ที่ถ่อมตัวและมีจิตใจปิดกว้าง มากกว่าคนใจแคบ
มิใช่เพราะว่าปัญญาและความรู้ลำเอียง แต่เป็นเพราะคนที่ใจแคบนั้นมีความสามารถในการรับปราณหรือพลังจักรวาลน้อยกว่าคนใจกว้างต่างหาก

2.คลื่นความคิดจากรูปธรรมชั้นสูง ทั้งจากในโลกนี้และที่มาจากดาวดวงอื่นที่มีวิวัฒนาการทางจิตสูงกว่าโลกของ เรา คลื่นความคิดนี้เปี่ยมไปด้วยความรักความหวังดี และเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก

3.การสื่อสารไปมาระหว่างเซลหรืออะตอม จากสรรพสิ่งธรรมชาติรอบๆตัวเรา ด้วยภาษาร่วมหรือภาษาจักรวาลที่เป็นสากล

อนึ่ง มีข้อห้ามพึงระวังในการฝึกโทรจิตก็คือ ผู้ฝึกจะต้องไม่ปล่อยคลื่นความคิดที่เป็นอกุศลใดๆ ออกมาเป็นอันขาด แต่จะต้องสร้างความรู้สึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวก้บสรรพสิ่งให้ได้วิธีฝึกโทรจิตของ"อดัมสกี้"ที่เป็นรูปธรรม มีดังนี้ครับ...
ก่อนอื่นผู้ฝึกจะต้องตระหนักถึงปัจจัย 3 ประการในการฝึกโทรจิต คือ

หนึ่ง ในการสัมผัสคลื่นความคิดที่เข้ามาจากข้างนอก จะต้องไม่มีการแบ่งแยกเกิดขึ้นระหว่างใจของเรากับผู้ที่เราต้องการสื่อสารด้วย

สอง สรรพสิ่งล้วนมีชีวิต เซลล์แต่ละอันไม่เพียงแต่ให้พลังชีวิตเท่านั้นแต่ยังมีปัญญาดำรงอยู่ในตัว ด้วย เซลล์แต่ละอันจึงสามารถรับข่าวสาร และปล่อยข่าวสาร ที่เป็นประสบการณ์ของตนออกไปได้

สาม ผู้ฝึกต้องควบคุมเซลล์ในร่างกายของตนโดยผ่านการตอบสนองของประสาทสัมผัสทั้ง 4 ในร่างกายของตน โดยทำให้อวัยวะแต่ละส่วน "เป็นกลาง" เสียก่อน

วิธีฝึก
1.ทดลองส่งโทรจิตระหว่างคนสองคน โดยเริ่มจากการอยู่ในห้องเดียวกันก่อน จากนั้นค่อยๆ เพิ่มระยะห่างระหว่างคนสองคนให้ไกลออกไปเรื่อยๆ
-โดยผู้ส่งจิตจะต้องวาดภาพ หรือจินตการภาพที่จะส่งออกไปขึ้นไว้ในใจก่อน แล้งลองส่งออกไป
-ส่วน ผู้รับโทรจิตก็ต้องมีสมาธิคอยรับด้วยท่าทางและจิตใจที่ผ่อนคลาย ก่อนจะบอกคำตอบออกมา ถ้าทดลอง 5 ครั้ง แล้วตอบถูกเกิน 3 ครั้งขึ้นไปถือว่าใช้ได้

2.ทดลอง รับคลื่นโทรจิตจากสี่งของใกล้ๆตัวของใครคนหนึ่ง เช่นทายราคาของสินค้าอันนั้น (เนื่องจากอะตอมของสิ่งของนั้น ได้รับข่าวสารจากผู้เป็นเจ้าของมาก่อนแล้ว) จะทายข้อความในจดหมาย หรือทายไพ่ก็ย่อมได้..

3.ฝึก โยนเหรียญ และออกคำสั่งให้เหรียญนั้นออก"หัว"หรือ"ก้อย" เมื่อตกลงพื้น โดยตอนออกคำสั่งนั้น ต้องแสดงความปรารถนาและจิตนาการให้ตัวเองแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ เหรียญเสียก่อน นอกจากฝึกกับเหรียญแล้ว ทดลองฝึกกับลูกเต๋าก็ได้..
4.ฝึก ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพื้นน้ำ หากมีโอกาสไปยืนที่สูงๆเหนือแม่น้ำ ทะเลสาบ บึง หรือเหนือทะเลกว้างๆ ลองจิตนาการให้ตัวเองแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคลื่นน้ำ เราจะได้สัมผัสความรู้สึกที่เย็นสดชื่นยิ่งขึ้น

การ พัฒนาความสามารถเชิงโทรจิตในตัวเรานั้น จำเป็นจะต้องฝึกฝนและฝึกฝน ๆ ๆ ในทำนองที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ หากมีใครทดลองฝึกแล้วยังไม่คืบหน้า นั่นย่อมแสดวว่า "อัตตา"(EGO) ของผู้ฝึกนั้นแรงไปนั่นเอง และปัจจัยความ เหนื่อยหน่าย เหนื่อยล้า และความเครียด อาจเป็นอุปสรรคของการฝึกโทรจิต

ต้องรู้จักผ่อนคลาย ให้เป็นเรื่องปกติธรรมชาติไปเองในที่สุด...

การใช้วัตถุธาตุ เพื่อสื่อพลังโทรจิต

ชาว แอตแลนติสในยุคราว 40.000 ปีก่อน ได้เคยสร้างปิรามิดเพื่อใช้สื่อสารกับพลังจักรวาล ยังได้ใช้ผลึกคริสตัลมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพื่อการติดต่อ (รับคลื่น-ส่งคลื่น) กับพลังจักรวาลและจิตสำนึกแห่งจักรวาลด้วยวิธีการดังนี้..

ในการรับคลื่นจิตวิญญาณระดับสูง ให้นำผลึกคริสตัลขนาดเล็ก มาวางเบี้องหน้าเราสองก้อน ให้ตัวเรานั่งอยู่บริเวณยอดสามเหลี่ยมของทรงปิรามิด (ให้ตัวเราเป็นผลึกคริสตัลก้อนที่สาม) จากนั้นใช้ลวดทองแดงหนึ่งเส้นพันรอบผลึกคริสตัน 3 รอบ ก่อนจะนำลวดทองแดงนั้นมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง ในท่าหลับตาเข้าสมาธิ..

จากนั้นให้เพ่งจิตและพลังทั้งหมดของเราไปยัง "ผู้ที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย"

ในทางกลับกัน หากเราต้องการที่จะส่งคลื่นออกไป ข่าว สารของเราไปให้กับผู้ใด ก็ให้กระทำในรูปแบบตรงกันข้ามกับข้างต้น คือใช้สองมือเราแทนผลึกคริสตันสองก้อน (เป็นส่วนฐานของรูปสามเหลี่ยม) ในขณะที่ผลึกมีคริสตันเพียงหนึ่งก้อน มาเป็นปลายยอดของสามเหลี่ยมแทน (ตามรูป)

วัตถุธาตุเหล่านี้เป็นสื่อที่สามารถใช้ติดต่อระหว่างธาตุ หยาบกับธาตุละเอียด หรือของมนุษย์กับเทวดา และรูปธรรมอื่นๆได้ เป็นเครื่องช่วยสื่อสารให้คมชัดขึ้น...(สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์ การโทรจิตจึงเป็นเรื่องที่แพร่หลายมาก)ข้อผิดพลาดของชาวแอตแลนติสในอดีต ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างไปจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ในปัจจุบันหรอกครับ..คือพวกเขาไม่สามารถควบคุม "อัตตา"(EGO) ของเขาได้ จึงนำพลังอันมหาศาลที่อารยธรรมของเขาได้สร้างขึ้นมา ไปใช้ในทางที่ผิดๆ โดยเฉพาะสงคราม (ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ)

ตั้งแต่ มนุษย์คิดค้นระเบิดปรมาณูขึ้นมาได้ และนำมาใช้เข่นฆ่าสังหารมนุษย์ด้วยกันเอง เป็นต้นมา จะว่าไปมนุษย์ในยุคนี้กำลังเจริญรอยตามจุดจบของชาวแอตแลนติสแทบทุกกระเบียด นิ้ว และถ้าหากข้อสัษฐานที่ว่าชาวแอตแลนติสมีเชี้อสายจากมนุษย์ต่างดาวเป็นจริง จึงไม่น่าแปลกที่ปรากฎการณ์จานบิน(UFO) จะมาปรากฎให้มนุษย์เห็นกันอย่างถี่ๆ นับแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา เพื่อมาเตือนภัยแก่มนุษย์เรา ว่ากำลังเดินไปในทางที่ผิดๆกันอยู่...


การใช้ประสาทสัมผัสจากจักรวาล
มนุษย์ต่างดาวถูกอบรมตั้งแต่เด็กให้เข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกาย กับจิต และการ "ควบคุมใจ" เพราะฉะนั้น "ใจแห่งอวัยวะสัมผัส" ของเขาจึงถูกยกระดับให้สูงส่งระดับเดียวกับ "ใจของฟ้า"
(ปฐมเหตุแห่งจักรวาล) ทำให้เซลล์ในร่างกายทั้งหมดของพวกเขาสามารถตอบสนองคำสั่งที่ใจสั่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเขาจึงแข็งแรง และมีอายุยืนยาวเกินกว่าที่ชาวโลกจะคาดคิดได้เช่นกัน..

ชาวโลกก็ สามารถทำได้เช่นเดียวกัน หากแต่บุคคลผู้นั้นต้องมีจิตใจที่กระจ่าง เที่ยงธรรม มีชิวิตอยู่อย่างมีปณิธาน ศรัทธา ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า และมีความคิดในเชิงบวก เซลล์ในร่างกายก็จะตอบสนองต่อจิตใจบุคคลนั้นในทางบวกเช่นกัน ทั้งเรื่องสุขภาพร่างกายและจิตใจ ย่อมได้ผลเช่นเดียวกัน

แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึง จิตสำนึกนี้ กลับมีชิวิตโดยใช้แค่ "ใจ" หรือ "สิ่งรับรู้ในอารมณ์ทั้งหลาย "เท่า นั้น ซึ่งผันผวนง่ายและแปรปรวนอย่างรุนแรง มาเป็นหลักของชิวิต ขณะที่มนุษย์ต่างดาวจะถือว่าจักรวาลเป็นองค์แห่งจิตสำนึก คือพระผู้สร้างหรือพระผู้เป็นเจ้า จึงพยายามประสานใจของตนให้สอดคล้องกับจิตสำนึกนี้...(คนที่นับถือพุทธะก็ยึด ในหลักความเป็นหนึ่งเดียวกับ "ปฐมเหตุแห่งจักรวาล" ความหมายไม่แตกต่างกัน..)

กระแสคลื่นที่มนุษย์ต่างดาวปล่อยออกมา มีลักษณะเป็น "คลื่นความคิด" ซึ่งมีลักษณะคล้ายแสง ถ้ากระแสความคิดถูกส่งเป็นคลื่นออกไปแล้ว มันจะเคลื่อนที่ไปอย่างไม่มีขอบเขต จนกว่าจะถูกดูดซับหรือถูกขวางกั้นโดยสิ่งอื่น หรือวัตถุอื่น...เช่นเดียวกันกับ "คลื่นความคิดของมนุษย์" เป็นคลื่นที่ส่งผ่านไปในอวกาศได้เช่นกัน แต่ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรงทิศทางเดียวเหมือนลูกกระสุนจากปากกระบอกปืน หากแต่มีลักษณะเหมือนรังสีที่เปล่งออกมาเป็นเส้นตรงในทุกๆทิศทาง และแผ่ขยายตัวโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่จุดหนึ่ง....

ที่มา : http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=8936

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น