วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

Space contact : มนุษย์ติดต่อต่างดาว


 
 
   Space contact : มนุษย์ติดต่อต่างดาว
 
 
 
การติดต่อต่างดาว เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ใฝ่ฝัน อย่างให้เป็นจริงอย่างยิ่งเพื่อ
ต้องการคำตอบพิสูจน์ว่า มนุษย์มิได้อยู่เพียงลำพังในจักรวาล แม้ว่าวันนี้ภายใน
ระบบสุริยะ อาจจะไม่พบสิ่งทรงปัญญา ระดับเทียบเท่ามนุษย์ แต่เชื่อว่ามีแนว
โน้มอาจมีระบบชีวิต ของสัตว์บางประเภทบน ดวงจันทร์ยูโรปา (Europa)

วิธีการติดต่อต่างดาว สำหรับผู้ค้นคว้าในด้านนี้ คงมีหลายวิธี บางวิธีคล้ายกับไม่
มีเหตุผล และบางวิธีอาจมีความเหลือเชื่อ จนอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่
การติดต่อต่างดาวที่เป็นรูปธรรม สามารถจะพิสูจน์ตามขบวนการทางวิทยาศาสตร์
ได้ในปัจจุบัน คงมี 2 วิธีเดียวคือ การส่งสัญญานและตรวจสอบโดยใช้คลื่นวิทยุ
ระยะไกล และการถ่ายภาพโดยยานสำรวจจากอวกาศ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
 
 
The Very Large Array หนึ่งในเครื่องมือการสืบค้นอารยะธรรมอื่น จากพื้นโลกด้วยคลื่นวิทยุ
 
 
Spitzer Space Telescope หนึ่งในเครื่องมือสืบค้นจักรวาลระยะไกล โดยการถ่ายภาพ
 
 
สภาพบรรยาการของระบบสุริยะพิเศษ Tau Ceti
 
 
ประวัติศาสตร์การค้นหาสัญญานดาวต่าง

เมื่อราว 50 ปีที่แล้ว เริ่มขึ้นโดย Frank Drake นักดาราศาสตร์ และ ฟิสิกส์ดารา-
ศาสตร์ ชาวอเมริกัน เป็นการสืบค้นต่างดาวโดยใช้คลื่นสัญญานวิทยุจากหอดูดาว
National Radio Astronomy Observatory Green Bank ใน West Virginia
สหรัฐอเมริกา

นับเป็นครั้งแรก ที่ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ค้นหาสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล
(Extraterrestrial Intelligence) ระบบดาวที่ทำการค้นหาคือ Tau Ceti และ
Epsilon Eridani ต่างมีระยะทางห่างจากโลก มากกว่า 10 ปีแสง

ซึ่งเป็นระยะทางที่สามารถตรวจจับค่า การแพร่กระจายของ สัญญานคลื่นวิทยุ
(Radio transmissions) จาก ดาวเคราะห์ใดๆก็ตาม ที่มีอาจอารยะธรรมอื่นซึ่ง
โคจรรอบๆ ดาวหลัก (Host star) ของ Tau Ceti และ Epsilon Eridani ดังกล่าว

การเริ่มขึ้นเช่นนั้นกระทำต่อเนื่องกันยาวนาน จึงได้เกิดความร่วมมือขึ้นอย่างมาก
มายเป็นที่รู้จักในชื่อของ SETI (Search for Extra-Terrestrial Intelligence)
โดยแนวคิดของ Frank Drake ในยุคต้น มีความคาดหวังการพบสัญญานคลื่น
จากดาวอื่น แบบ 50-50

แต่ภายหลังต่อมาอีกนับสิบปีแนว คิดเปลี่ยนไป โดยไม่คาดหวัง และไม่แปลกใจ
และไม่พบค่าสัญญานใดๆ จาก Tau Ceti และ Epsilon Eridani เลย ความเงียบ
เชียบเป็นการบ่งบอกว่า คงไม่มีตัวตนของสิ่งต่างดาวใดๆ

ที่ผ่านมาทั้งหมดของการสืบค้น ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยตลอด
เวลาเริ่มต้นร่วม 50 ปี การสืบค้นสัญญานมีการบันทึกสรุป ทุก 2 เดือนตั้งแต่ปีที่
ผ่านมา การสรุปผลสัญญาน สามารถกระทำได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ได้ภายใน 1 ชั่วโมง
จากเครื่องมือทันสมัยขึ้น โดยทำการสรุปผลดาวแต่ละดวงได้ ภายใน 10 วินาที

การมองเห็นว่าดาว 2 ดวง อยู่ใกล้กัน ในความเป็นจริงมีระยะทางที่ไกลกันมาก
ระยะทางของช่องว่างนั้น กว้างใหญ่ไพศาล ต้องใช้ความถี่ ของคลื่นที่มีความไว
สูง (Higher sensitivity) และใช้หลายช่องสัญญาน (Channels) นับว่าเป็นการ
สืบค้นที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นมากและไม่ช้า
 
 
บริเวณใจกลางของระะบบสุริยะพิเศษ Epsilon Eridani
 
 
National Radio Astronomy Observatory Green Bank ในปัจจุบัน
 
 
Frank Drake นักดาราศาสตร์ และ ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ผู้คิดค้น
สมการ Drake Equation ต้นแบบการสำรวจ สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล
 
20
พัฒนาการสืบค้นต่างดาวทางวิทยาศาสตร์

เพราะต้องมีเหตุผล หลักฐานที่มั่นคง ตอบต่อคนทั้งมวลบนโลกได้ หรือสามารถ
เปิดโอกาสในการติดตามผล อันเป็นปรัชญาของหลักของ SETI จึงเกิด ประชาคม
ร่วมของมหาวิทยาลัย (University community) ในปี ค.ศ. 1999 โดย Professor
William J. Welch ผู้อำนวยการ Radio Astronomy Laboratory แห่ง Berkeley
เป็นประธานคนแรก และทำการอธิบายชี้แจง อย่างเป็นเหตุผล การสืบค้นสิ่งทรง
ปัญญาในจักรวาล ด้วยสมการ Drake Equation ของ Frank Drake
 
 
สมการ Drake Equation
 
 
ความหมายของ Drake Equation

1 = ค่าเฉลี่ยของจำนวนอารยะธรรมในกาแล็คซี่ ทางช้างเผือก ที่สืบค้น
ได้โดย Radio emission (การสะท้อนรังสีวิทยุ) ใดๆก็ตาม
2 = ระดับชั้นของ การก่อกำเนิดของดาว ในกาแล็คซี่
      2010 Update : รวม M star และคัดแยกประเภทข้อมูลที่มีความชัดเจน
3 = จำนวนที่น้อยของดาว ในระบบดาวเคราะห์
      2010 Update : อนุมานดาวเคราะห์ทั้งหมด ที่มีพืชพันธ์
4 = จำนวนของดาวเคราะห์ โดย ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะพิเศษ ที่มีสภาพ
แวดล้อมเหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิต
      2010 Update : อย่างน้อยปรากฎน้ำ เช่น ดาวอังคาร, ดวงจันทร์ Europa
      และดวงจันทร์ Enceladus
5 = จำนวนที่น้อยของดาวเคราะห์ ที่เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิต อย่างประจักษ์แจ้ง
แท้จริง
      2010 Update : มีความเป็นปึกแผ่นเพิ่มขึ้นในแต่ละปี
6 = จำนวนที่น้อยของสิ่งมีชีวิต ด้วยการค้ำจุนของดาวเคราะห์ ซึ่งปรากฎ
สิ่งทรงปัญญาขึ้นมา
      2010 Update : ซึ่งถูกปิดบังในการตรวจหาความจริง
7 = จำนวนที่น้อยของอารยะธรรมนั้น พัฒนาการด้วยเทคโนโลยี ด้วยการ
สืบค้นพบสัญญานในอวกาศ ที่ผ่านมา
     2010 Update : ด้วยค่าเฉลี่ยเดิมจาก 0.1 เป็น 1
8 = จำนวนค่าเฉลี่ย ระยะเวลาของอารยะธรรม ด้วยการสืบค้นพบสัญญาน
ในอวกาศ ที่ผ่านมา
     2010 Update : ยังไม่แน่นอนมาก ไม่ต้องหาค่าเฉลี่ยใหม่

ต้นแบบการสำรวจ สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล

สถาบัน SETI ถือว่าเป็นองค์กรไม่มุ่งหวังประโยชน์ด้านการค้า เป็นที่ยอมรับจาก
สถาบันทางวิทยาศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ในด้านต่างๆทั่วโลกและยังได้รับ
ความร่วมมือจากประชาชนทั่วไป อีกกว่าล้านคน ที่ร่วมโครงการช่วยประมวลผล
ผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เนท

โดยใช้ BOINC software ในโครงการชื่อ New Search for Extraterrestrial
Intelligence (การสืบค้นสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล) ด้วยคลื่นวิทยุระยะไกลส่ง
สัญญานสื่อสารออกไปยัง ส่วนนอกของกาแล็คซี่ทางช้างเผือกใช้หลักเกณฑ์
วิทยาศาสตร์ ใช้เครื่องมือทางวิศวกรรม มากกว่า 50 รูปแบบโดยมีความก้าวหน้า
ของเทคโนโลยี เกื้อหนุนเป็นสาระสำคัญและยึดหลักเกณฑ์ Drake Equation
เป็นที่มาของ ตามล่าหาอารยะธรรมต่างดาว (Searching for an ETI Civilization)
 
 
ตำแหน่งของระบบสุริยะใน Milky Way Galaxy
 
 
ปัญหาและอุปสรรคของมนุษย์ในทางเทคนิค

การพัฒนาประสิทธิภาพ ด้านคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผล ได้พัฒนาทุก 2 ปี
นับแต่เริ่มต้น โดยในวันนี้ได้บรรลุผลการสืบค้นดาว ไปแล้ว 10,000 ดวง เชื่อว่า
ภายใน 30 ปีข้างหน้า ศักยภาพด้านคอมพิวเตอร์ดังกล่าว จะเข้าสุดจุดเพียงพอ
ต่อการสืบค้นดาวถึง 200 พันล้านดวง ในทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy)

นั่นหมายความว่า อาจเริ่มมีคำตอบ อย่างมีเหตุผลต่อ การค้นหา สิ่งทรงปัญญาใน
จักรวาล ว่ามีอารยะธรรมต่างดาว (ETI Civilization) ในทางช้างเผือก เช่นโลกเรา
หรือไม่ทั้งนี้ Frank Drake คาดคะเนว่า ดาวทุกๆ 1 ล้านดวง มีความเป็นไปได้ที่จะ
พบ 1 อารยะธรรม โดยค่าเฉลี่ยของระบบชีวิต ที่มีเทคโนโลยีแห่งอารยะธรรมอัน
มีความก้าวหน้าไม่ด้อยไปกว่าโลกของเราในปัจจุบัน ราวๆ 10,000 ปี จากระยะ
เวลากำเนิดระบบชีวิต

แต่ถ้าสามารถสืบค้นดาวได้ถึง 10 ล้านดวง จะทำให้สามารถคาดคะเนความเป็น
ไปได้ดีกว่าขณะนี้ และถ้าเครื่องมือการสืบค้นต่างดาว มีการพัฒนาดีขึ้นไปอีกจะ
ทำให้ไม่พบข้อผิดพลาดจากพื้นฐานการสรุปรวมของข้อมูล

ความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล (Scale of the Universe) มิใช่เป็นอุปสรรค
ต่อการสืบค้น เพราะสามารถแยกแยะจำนวน ของอารยะธรรมอื่นในกาแล็คซี่ได้
แต่ถ้าการสืบค้นพบว่า มนุษย์มิได้อยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ในจักรวาล อะไรจะ
เกิดขึ้น ? และหลังจากสามารถตรวจพบ สัญญานจากโลกอื่น (Other worlds)
มนุษย์จะสามารถแปลความหมาย ข้อความอารยะธรรมต่างดาวอื่นได้หรือไม่ ?
มนุษย์จะเข้าใจและเรียนรู้วัฒนธรรม ในอารยะธรรมต่างดาวอื่นได้หรือไม่ ?

ท้ายที่สุด การตอบกลับและเปิดเผยตัวตนของมนุษย์ จะสร้างอันตรายต่อโลก
หรือไม่ ? แน่นอนว่า นักวิทยาศาสตร์ไม่ต้องการให้เกิดปัญหา ดังนั้นจำเป็นต้อง
เรียนรู้สิ่งที่ผจญภัยใหม่นี้อย่างรวดเร็ว และคลี่คลายออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ
เพราะอย่างน้อยมีต้วอย่าง สัญญาน Wow จากต่างดาว ตอบกลับมาแล้วเมื่อ
13 ปีที่แล้ว
 
 
ตัวอย่างค่าสัญญานคลื่นวิทยุที่เกิดใน ธรรมชาติของอวกาศ
 
 
การตรวจสอบ และยืนยันสัญญานตอบรับจากต่างดาว

เชื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า โลกต้องได้รับทราบคำประกาศอย่างเป็นทางการ ต่อการ
ค้นพบ สิ่งทรงปัญญาในจักรวาลในอารยะธรรมอื่น แต่ความเป็นจริงวันนี้ เป็นจริง
อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ เข้าใจและมีขอบเขตความรู้เพียงใดวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า
เพียงพอหรือไม่

ความเป็นจริง นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสืบค้นรู้ว่า อะไร แบบไหน คือ
สัญญานจากต่างดาว หรือ สัญญานที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น เพราะจะต่างและขัดแย้ง
กันบนพื้นหลังการสะท้อนในธรรมชาติ ของจักรวาลจากการแผ่รังสีของคลื่นวิทยุ
(Background of natural comic radio emissions)

ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติในจักรวาล เช่น พัลซาร์ (Pulsars) หรือ กลุ่มก็าซใน
ช่องว่างระหว่างดวงดาว ในทางช้างเผือก (Interstellar Medium) สัญญานจะ
กระจัดกระจายออกจากการแผ่รังสีของคลื่นวิทยุ มักมีความต่างกันของความถี่
ถ้าสำรวจพบลักษณะสัญญาน ตอบรับแบบคลื่นความถี่แคบ (Narrowband) ก็
จะเป็นสัญญานที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นอย่าง ไม่ต้องสงสัย

หากวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อสำรวจพบสัญญานแล้ว สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ออกมาเป็นความจริง ว่ามีอารยะธรรมอื่นอยู่จริง อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ชาวโลกจะ
แสดงความยินดี หรือหวาดกลัวจนแตกตื่น แต่อย่างน้อยสัญญานเหล่านั้น จะต้อง
ถูกตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า เป็นสัญญานที่อาจประดิษฐ์ขึ้นจากฝีมือมนุษย์

กรณีสัญญานถูกยืนยัน ด้วยหลักเกณฑ์วิทยาศาสตร์ อย่างชัดแจ้งว่าเป็นสัญญาน
โดยฝีมือของสิ่งทรงปัญญาในอารยะธรรมอื่น มีกรรมวิธีออกแบบการตรวจสอบ
อย่างมั่นคงของเครื่องมือ โดยการตรวจวัดอัตราหรือจังหวะสั่น ของคลื่นความถี่
แคบว่ามีความเพียงของ พลังงานคลื่นลึกเข้าไปในอวกาศนับหลายปีแสงหรือไม่
ถ้าอัตราหรือจังหวะสั่นของตัวคลื่น ไม่มีข้อมูล ก็อาจเป็นฝีมือจากธรรมชาติได้

ในหลักเกณฑ์ ข้อความต่างๆจะถูกบรรจุไว้ โดยการเปลี่ยนแปลงใน Amplitude
(การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการแกว่งตัวของคลื่น) หรือฝังจมอยู่ในความถี่
(Frequency) ภายใน Pulse (จังหวะสั่น)

การตรวจสอบต้องกระทำ อย่างซ้ำซากหลายๆครั้ง จากการสแกน (Scan) ของ
กล้องวิทยุโทรทรรศน์ ขนาดใหญ่ (Radio telescope) กวาดหาสัญญานจังหวะ
การสั่นที่มีความเด่นชัดท่ามกลาง เสียงรบกวนมากมายในอวกาศ

เครื่องมือการตรวจหา สัญญานข้อความจากต่างดาว ปัจจุบันใช้อุปกรณ์จานกลม
ขนาดยักษ์ กว้าง 305 เมตร ที่ Arecibo ตั้งอยู่ที่ Puerto Rico แต่สิ่งที่ต้องการ
คือ จานขนาดใหญ่กว่าปัจจุบัน 10,000 เท่า ซึ่งจะใหญ่โตมโหฬารมาก ทางออก
ในขณะนี้คือ การใช้จานขนาดเล็กติดตั้งเรียงกันบนพื้นที่ขนาดใหญ่ โดยวิธีเชื่อม
ต่อสัญญานทางอีเล็คโทนิค
 
 
Arecibo ตั้งอยู่ที่ Puerto Rico
 
 
ข้อความภาพของ NASA ที่จะอธิบายระบบสุริยะกับต่างดาวในอารยะธรรมอื่น
 
 
เตรียมสร้างภาษาวิทยาศาสตร์สำหรับต่างดาว

ถึงเวลาหรือยังที่โลกต้องการสร้าง กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่มีความไวสูงพร้อม
รับส่งได้ในระยะไกลมากๆ ให้เพียงพอต่อการตรวจสอบสัญญานต่างดาว เพื่อการ
ถอดรหัสจากดวงดาว

สาเหตุสำคัญคือ เพื่อสามารถตรวจสอบสืบค้น ได้กว้างขวางและตลอดเวลา เรา
อาจได้ข้อมูลบาง อย่างที่เกี่ยวกับธรรมชาติของต่างดาวในอารยะธรรมนั้นๆ เพื่อ
มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ก่อนแต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญไปกว่านั้นคือ การแปลความ
หมายในทางวิทยาศาสตร์ ต้องพยามค้นคว้าเพื่อให้เกิดความเข้าที่ถูกต้องจริงๆ

ยังมีความสงสัยว่า สัญญานข้อความจากต่างดาวนั้น จะมีท่าทางดุดัน หรือเฉลียว
ฉลาด ยังไม่สามารถคิดได้เลยในขณะนี้ เพราะไม่มีข้อมูลใดๆว่าเป็นอารยะธรรม
ที่ยิ่งใหญ่เพียงใด เพียงแต่คาดการณ์ไว้ว่า แนวทางของข้อความจะ มีผลสืบเนื่อง
สอดรับจากจำนวนของประชากร และความก้าวหน้าในอารยะธรรมนั้น อะไรทั้ง
หมดจะยืนยันได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อเราพบกับความจริงเท่านั้น

หากมีงบประมาณเพียงพอ สามารถจัดสร้างเครื่องมือให้นักวิทยาศาสตร์ เพื่อการ
จัดทำ ข้อความสั้นสำหรับติดต่อต่างดาว (Shot at cracking an Extraterrestrial
message) โลกก็จะมี Encyclopedia Galactica (สารานุกรมจักรวาล) ซึ่งจะคัด
กรองสรุปด้วยความรอบครอบ จากข้อมูลต่างๆจากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์
โดยเชื่อว่า มนุษย์สามารถสร้างภาษา วิทยาศาสตร์ สำหรับการติดต่อต่างดาวได้

คงไม่สามารถโต้แย้งได้ว่า การสื่อสารกับต่างดาวจะไม่มีปัญหา สำหรับการเผชิญ
หน้าหรือไม่ คงต้องดูเหตุแห่งปัญหาที่เกี่ยวข้อง จากการสื่อสารที่เข้าใจในความ
ต่างภาษากัน หากเป็นสาเหตุนี้ ต้องใช้นักวิทยาศาสตร์-ฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์-
คณิตศาสตร์ จำนวนมากช่วยแก้โดยใช้โครงสร้างทางฟิสิกส์ โดยมีหลักเกณฑ์
พื้นฐานในจักรวาลเดียวกัน

ผู้ที่จะศึกษาหรือประกอบภาษาต่างดาว ขั้นแรกอย่างน้อยต้องมี ข้อความต่างดาว
เพื่อสร้างความเป็นไปได้และแปลภาษาโดยตรง เป็นต้นแบบ (Patterns) อาจมี
อะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เป็นการแสดงลำดับชั้นของความเฉลียว
ฉลาด โดยต้องสร้างโปรแกรมภาษารวบรวมภาษามนุษย์ อย่างน้อย 60 ภาษา
บนโลก มาเป็นฐานข้อมูลเปรียบเทียบในอีกแง่มุม

โปรแกรมภาษาที่จะเกิดขึ้น อาจนำมาเป็นตัวเปรียบเทียบในการสืบค้น วิเคราะห์
ระดับ IQ ของ อารยะธรรมต่างดาว เป็นปฐมมูลระหว่างมนุษย์โลกและต่างดาวได้
ทั้งนี้อาจบรรลุถึงมโนภาพ จิตนาการนิสัยใจคอ ของสังคมดาวนั้นๆ
 
 
Stephen Hawking ปรามาจารย์ผู้มีชื่อเสียง และผู้มีความรอบรู้ด้านจักรวาลวิทยา
 
 
ความเป็นไปได้ต่อการเสี่ยงภัยจากต่างดาว

ความคิดของผู้คนทั่วไป ต่างดาวเป็นสิ่งแปลกประหลาด ถ้าย้อนคิดในมุมกลับกัน
มนุษย์ก็คงเป็นสิ่งแปลกประหลาด ในสายตาของต่างดาวเช่นกัน ถ้าต่างดาวศึกษา
เรียนรู้ ประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ จะพบว่ามีสงครามอย่างไม่จบสิ้น เกิดการฆ่า
ฟันกันเอง แก่งแย่งแข่งขันกันทุกรูปแบบ ภาพรวมเช่นนี้ คงทำให้อะคันตุกะจาก
แดนไกลกังวลเช่นกัน

แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จำต้องหยุดชงัก จากคำกล่าว ของ Stephen Hawking
ปรามาจารย์ผู้มีชื่อเสียง และผู้มีความรอบรู้ด้านจักรวาลวิทยา คล้ายกับการเตือน
ว่า “ข้อความจากต่างดาวที่ตอบกลับมาอาจสร้างอันตราย เพราะมีความเป็นไปได้
ที่ทำให้ต่างดาวรู้ข้อมูลโลก เป็นเหตุให้เกิดการบุกรุกโลกได้”

คำเตือนดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ทันกาลไปแล้ว เพราะที่ผ่านมาโลกได้ส่งสัญญาน
ออกไปในจักรวาลตลอดนับร้อยปี รวมทั้งสัญญานคลื่นวิทยุ หรือคลื่นโทรศัพท์ที่
ประชากรโลกใช้งานตลอดวันตลอดคืน สิ่งเหล่านี้วิ่งออกไปจากโลกทุกวินาที

สำหรับสัญญานการสืบค้นหาสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล ขณะนี้น่าจะครอบคลุมดาว
ต่างๆไปแล้วราว 10,000 ดวง และยังกระจายออกไปเรื่อยๆยังไม่หยุดยั้ง

อย่างไรก็ตาม ต่างดาวคงไม่สามารถหาจุดพิกัดของโลกได้ง่ายนัก สาเหตุจาก
เทคนิคบางอย่าง การค้นหาโดยทั่วไปจะต้องมองหา ดาวหลัก (Host star) จาก
นั้นต้องสืบเสาะไปยังดาวเคราะห์ อีกจำนวนมากมายที่โคจรอยู่ในระบบสุริยะนั้นๆ
ดังนั้นการย้อนกลับมาค้นหา สัญญานยังจะไม่พบโลกโดยทันทีทันใด และอาจจะ
ไม่มีโอกาสพบเลยก็ได้เช่นกัน เพราะทั้งหมดไม่ง่ายอย่างที่คิด

ในบางกรณี ข้อความที่ถูกส่งออกไปจากโลก ต่างดาวอาจได้ยินได้ฟังอีก 1,000
ปีข้างหน้า เพราะสัญญานต้องใช้เวลาเดินทางข้ามจักรวาล หรือบางที่ไกลมากจน
สัญญานอ่อนแอสูญสลาย หายไป หรือบางกรณีต่างดาวนั้น อาจสนใจอยากจะ
สนทนากับมนุษย์ อย่างสันติก็เป็นได้อีกเช่นกัน

คำถามต่อมา สิ่งที่ต่างดาวต้องการบุกรุกโลกนั้นมีเหตุผลใด ในเมื่อโลกเหมือนจุด
ไข่ปลาเล็กๆจุดหนึ่งในจักรวาล มีสิ่งใดที่ล้ำค่าที่ต้องการ ทรัพยากรวันนี้แทบไม่มี
เหลือ ความสวยงามแทบจะหมดไปแล้ว ดาวอื่นมากมายซึ่งไม่ใครเป็นเจ้าของยัง
มีสิ่งล้ำค่า เช่น พลังงาน แร่ธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องมาแย่งชิงต่อสู้กับมนุษย์
ให้เสียเวลาเดินทางนับร้อยปีแสง จะได้อะไรกลับไปไม่คุ้มราคา

ความคิดที่ตระหนกตกตื่นเรื่องต่างดาวต้องการบุกโลก คงคิดฝันคล้ายในภาพยนต์
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญการสืบค้นอารยะธรรมอื่น มิเคยตั้งเป้าหมายเช่นนั้น
เลย เหตุผลจะทราบจริงก็ต่อเมื่อ อารยะธรรมหนึ่งอารยะธรรมใด แสดงตนออกมา
จากโลกอื่น (Other worlds) เท่านั้น กรณีนี้เป็นเหตุที่มนุษย์กลัวเกินไปหรือไม่
 
 
ช่องว่างระหว่างดวงดาว อุดมไปด้วยอะตอมธาตุนับร้อยชนิด ที่สามารถให้กำเนิดระบบชีวิตได้
 
 
จะมีอารยะธรรมต่างดาวอื่นจริงหรือ

ทฤษฎีที่นักฟิสิกส์ชาวอิตาเลียนชื่อ Enrico Fermi ขยายความว่า ถ้ามีอารยะธรรม
อื่นเกิดขึ้น ทำไมเราจึงไม่เคยเห็นจนกระทั้งบัดนี้ ทั้งๆที่ในกาแล็คซี่ทางช้างเผือก
มีดาวอยู่ไม่น้อยกว่า 200 ล้านดวง เพียงพบแต่โลกของเราเท่านั้น

การโต้แย้งเหตุผลดังกล่าว อธิบายได้ว่า การสำรวจพื้นที่ทั้งกาแล็คซี่ไม่ใช่งาน
ขนาดเล็ก แม้แต่บนโลกในป่าเขา ทะเลมหาสมุทร มนุษย์ยังสำรวจชนิดของสัตว์
ยังไม่ครบถ้วนเลย โดยแท้จริงนั้นขนาดใหญ่โตไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องใช้เวลาอย่าง
มาก จำนวนดาวในทางช้างเผือก มีไม่น้อยกว่า 200 ล้านดวง จะต้องคูณด้วยค่า
เฉลี่ย 12 จึงเป็นจำนวนที่แท้จริง เพราะจำนวนดาวเคราะห์ ที่โคจรรอบดาวต่างๆ
จำเป็นต้องสืบค้น

ดาวเคราะห์เหล่านี้หลบซ่อนอยู่ในความมืด ไม่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล
การสืบค้นหรือตรวจจับสัญญานต้องค่อยๆทำ อย่างละเอียดคอบรอบ เพื่อตัดทิ้ง
ออกไปที่ละน้อย จะเปรียบได้ว่ากำลังงมเข็มในมหาสมุทรที่ใหญ่กว่ามหาสมุทร
ที่ละ 1ตารางนิ้วสืบต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมพื้นน้ำที่สับสน

ข้อสรุปแนวคิดที่ตกตะลึ่ง

การติดต่อต่างดาวต้องใช้ระยะเวลานับศตวรรษ เพราะยังมีข้อจำกัดทางเครื่องมือ แต่ในวันหนึ่งมนุษย์จะต้องพบกับ อารยะธรรมอื่นอย่างแน่นอน เหตุผลลึกๆ คือ สิ่งทรงปัญญา (รวมทั้งมนุษย์) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นปกติสามัญในจักรวาล ถ้ามี
อยู่ที่หนึ่งควรจะมีอยู่อีกที่หนึ่งด้วย เปรียบเทียบ ว่าเราคงไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ
บนโลกว่ามีเพียง 1 เดียว โดยธรรมชาติอาจจะดำรงชีวิตอย่าง อิสระเพียงตัวเดียว
แต่ก็มีอีกตัวในที่อื่น และเป็นเช่นนี้อย่างไม่สิ้นสุด

ปัญหาใหญ่คือ การสาบสูญของอารยะธรรม โลกมนุษย์วันหนึ่งข้างหน้าก็จะสาญ
สูญเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้อาจมีอารยะธรรมอื่น ที่อยู่ใกล้ๆระบบสุริยะแล้วสาบสูญ
แล้ววันหนึ่งก็เกิด อารยะธรรมมนุษย์ขึ้น อนาคตอารยะธรรมมนุษย์สาบสูญไปอีก
อาจมีอารยะธรรมอื่นเกิดขึ้น ต่อเนื่องกันไปทดแทนเช่นนี้ไม่จบสิ้น โดยแต่ละ
อารยะธรรมไม่เคยพบปะกันเลย
 
 
 
References :

SETI (Search for Extra-Terrestrial Intelligence)
National Radio Astronomy Observatory
VERA Japanese Radio Astronomy
Spitzer Science Center
 
ที่มา :  http://sunflowercosmos.org/report/report_main/space_contact_1.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น